ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 183 การุณยฆาต
บทที่ 183
การุณยฆาต
“นายน้อย…” ซูเหลียนหยูลืมตาตื่นขึ้นเพียงเล็กน้อย ตรงหน้าปรากฏให้เห็นใบหน้าของเย่เย่เพียงรางๆ
“ซูเหลียนหยู เจ้าพักก่อนเถอะ” เย่เย่ใช้นิ้วชี้ป้องปากนางเอาไว้ ก่อนที่นางจะสลบไปในอ้อมอกของเขาอีกครั้ง ระหว่างนั้นเย่เย่รีบควักยาสลายแผลกายออกมาจากแขนเสื้อและทำการรักษาขั้นต้นแก่นางในขณะที่โอบอุ้มนางเอาไว้แน่น ก่อนชายตามองเหล่าศิษย์สำนักกระบี่ประหารเทพที่อยู่ในอาการตื่นตระหนก
เมื่อบรรดาศิษย์เห็นฮงเหยียนที่เป็นถึงเทพอสูร ถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาภายในชั่วอึดใจ พวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่คิดที่จะหนี เพราะถึงหนีไปก็คงหนีไม่พ้นอยู่ดีจึงได้แต่ก้มหน้าขอขมาแก่เย่เย่ด้วยร่างกายที่สั่นเทิ้มด้วยความยำเกรง
“พวกเจ้าฆ่าชาวบ้านตาดำๆพวกนี้ไปเพื่ออะไรกัน?” เย่เย่ร่อนตัวลงจากอากาศ และถามพวกเขาขึ้นด้วยความประหลาดใจ ไม่ว่าคิดดูยังไงก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องฆ่าคนบริสุทธิ์พวกนี้
เหล่าศิษย์สำนักกระบี่ประหารเทพมองหน้ากันไปมา ก่อนจะมีศิษย์ผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
“พวกเราสำนักกระบี่ประหารเทพขึ้นตรงกับภาคีแห่งสัจจะ ได้รับคำสั่งให้ลักลอบขุดเหมืองที่ภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อรู้ว่าหุบเขาแสงจันทร์เป็นแหล่งทรัพยากรชั้นยอดจึงรีบบึ่งมาในทันที”
“ขุดเหมืองงั้นรึ? ขุดไปทำอะไรกัน” เย่เย่จับคาง และถามขึ้น
“คือว่าเรื่องนั้น-” ศิษย์คนเดิมลังเลที่จะตอบ
“เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้พวกเขาสำหรับทำอาวุธยุทโธปกรณ์ และเพื่อไม่ให้เป็นการเตะตากองกำลังอื่นๆ เมื่อขุดทรัพยากรในเหมืองจนหมดพวกเขายังสั่งให้กำจัดผู้รู้เห็นทั้งหมดขอรับ พวกเราแค่ทำไปตามหน้าที่ได้โปรดเห็นใจ” ศิษย์อีกคนกล่าวขึ้นด้วยความอัดอั้นตันใจ
“ได้โปรดเห็นใจด้วย” ศิษย์ทั้งหมดพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกเสียจากทำตามคำสั่งเท่านั้น
“ภาคีแห่งสัจจะ? หนึ่งในเจ็ดขุนพลงั้นรึ? ท่าทางเรื่องนี้จะไม่จบลงง่ายๆสินะ…” เมื่อรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น นัยน์ตาของเย่เย่ก็สะท้อนความลำบากใจออกมา
ในขณะที่เหล่าศิษย์สำนักกระบี่กำลังโล่งอกอยู่นั้นเอง ดาบสีดำขลับก็พุ่งมาตัดหัวพวกเขาจนสิ้น
เย่เย่นั้นไม่คิดจะไว้ชีวิตพวกเขาตั้งแต่แรก เมื่อเค้นข้อมูลจนเป็นที่น่าพอใจแล้วก็ไม่ลังเลที่จะกำจัดกำลังพลของฝ่ายศัตรูทิ้ง เขาใช้พลังปราณควบคุมดาบที่ปักอยู่ท่ามกลางสมรภูมิสะบั้นคอพวกเขาอย่างไร้ความปรานี
หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดคลี่คลายลง ซินหลานที่หลบซ่อนอยู่ก็ปรากฏตัวขึ้น ชาวบ้านบุปผาสวรรค์ที่รอดชีวิตก็เข้ามาเก็บกวาดสมรภูมิ ขุดหลุมฝังศพญาติสนิทมิตรสหายของตนด้วยสีหน้าที่โศกเศร้า และเริ่มซ่อมแซมบ้านที่อยู่อาศัยที่พังเสียหายจากเหตุจลาจล
“ข้าซินหลาน น้องสะใภ้ของท่านพี่ซูขอคารวะท่านเย่” นางแนะนำตัว ก่อนที่จะนำทางเย่เย่และพี่สามีของนางกลับไปยังบ้านของนางเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
“รบกวนเจ้าแล้ว” เย่เย่ตอบ
เมื่อมาถึงบ้านของซินหลาน เย่เย่ก็อุ้มซูเหลียนหยูขึ้นเตียง และคอยอาการของนางอยู่ไม่ห่าง พลางมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นสภาพที่น่าอดสูของหมู่บ้านแห่งนี้
แม้แต่เย่เย่เองก็คาดไม่ถึงว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลสุดลูกหูลูกตาที่ตั้งอยู่บนเขาแสงจันทร์แห่งนี้จะได้รับผลกระทบจากไฟสงครามที่เกิดจากคนเพียงไม่กี่คนที่แสวงหาอำนาจตามคำบอกเล่าของ
เหยียนลี่หยาง
นี่เป็นเพียงผลกระทบเล็กๆที่เกิดขึ้น ยังไม่นับคนอีกจำนวนมากทั่วแผ่นดินฉางหลางที่ต้องพลอยติดอวนขนาดใหญ่ไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
‘หากท่านเหยียนยังอยู่ เขาต้องให้ข้ารับสืบทอดพลังจากอารามวิถีสวรรค์เป็นแน่” เย่เย่กุมขมับ จู่ๆภาพของเหยียนลี่หยางที่ระเบิดตัวเองตายไปพร้อมกับกงเจิ้นก็แล่นเข้ามาในหัว
เย่เย่พยายามคิดหาทางออกที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องมานึกเสียดายในภายหลัง แต่ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งคิดไม่ออก ยิ่งมีการเดิมพันสูงเท่าไหร่ การตัดสินใจให้เด็ดขาดนั้นยิ่งยากขึ้นเป็นเท่าทวี
ระหว่างที่เขาคิดไม่ตกอยู่นั้นเอง เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นจากด้านนอก ดูเหมือนว่าพวกชาวบ้านกำลังซุบซิบนินทากันอยู่
“หมู่นี้ ข้าได้ยินมาว่าแม่นางซินน่ะ ขังลูกตัวเองไว้ในห้องเก็บของและบังคับให้เขาปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้ขึ้นมา”
“บ้ากันไปใหญ่แล้ว พ่อเด็กเพิ่งจากไปแท้ๆ ให้เวลาเขาอีกสักหน่อยก็ไม่ได้ ใจไม้ไส้ระกำเสียจริง”
“จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้น่ะ ไม่ใช่ใครก็ปลุกได้สักหน่อย ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับลิขิตสวรรค์ ข้าล่ะไม่เข้าใจแม่นางซินหลานเลยจริงๆ”
เย่เย่ได้ยินดังนั้นก็ตระหนักขึ้นได้ว่า แม่นางซินหลานก็เป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องสูญเสียสามีผู้เป็นเสาหลักของบ้านไป ทำให้นางอาจคิดหวังพึ่งลูกชายที่เพิ่งอายุได้ 9 ขวบหมาดๆเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นให้คนรัก เมื่อได้ยินเรื่องราวจากชาวบ้านทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ จึงแอบสืบเหตุการณ์ใต้ชายคาของตนอย่างลับๆ
“ซูเจี่ย! ถ้าเจ้าปลุกจิตวิญญาณไม่ได้ภายในสิ้นปีนี้ ข้าจะฆ่าตัวตายต่อหน้าเจ้าซะ!” ซินหลานที่สติไม่สมประกอบจากการสูญเสียสามี ทำให้นางเริ่มพูดจากกดดันลูกแท้ๆของตนได้อย่างหน้าตาเฉย
“แม่! ขะ ข้า ข้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้รึเปล่า แต่อย่าคิดสั้นเลยนะ ฮืออ” ซูเจี่ยยังเด็กอยู่มาก เขาร้องห่มร้องไห้ออกมาตลอดเวลา
แต่ซินหลานก็ยังไม่ยอมลดราวาศอก นางยังคงพูดต่อไป “ซูเจี่ย เจ้าลูกทรพี! แกไม่เคียดแค้นคนที่ฆ่าพ่อแกบ้างเลยรึไง? ถ้าแกไม่รีบปลุกจิตวิญญาณอีกล่ะก็ พวกนั้นคงไม่ปล่อยข้ากับแกไว้แน่!”
“แม่ ข้าขอโทษ แต่ข้าไม่รู้จะต้องทำยังไงนี่” หัวใจของ ซูเจี่ยแทบแตกสลาย เขาเอาแต่ร้องไห้และกอดขาของผู้เป็นแม่เอาไว้แน่น
ซินหลานได้ยินดังนั้นยิ่งทำให้นางโมโห ใบหน้าของนางบึ้งตึงด้วยความผิดหวัง และสลัดลูกของนางออกจากขา
“อ่อนแอเหมือนกันไม่มีผิดทั้งพ่อทั้งลูก แล้วตอนนี้ยังจะมีหน้ามาต่อปากต่อคำกับข้าอีก! ถ้าเจ้าไม่รับปากข้า ข้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว!” ซินหลานเดินออกไป และกลับมาพร้อมเชือกฟางยาวและเตรียมแขวนคอตัวเองต่อหน้าลูก ซูเจี่ยรีบคลานมาคว้าขาของแม่และกอดนางแน่น
เย่เย่ที่ทนดูไม่ได้ก็เดินออกมาจากเงามืด พร้อมกับเตือนสติแม่นางซินหลาน “พอได้แล้ว หยุดการกระทำโง่ๆของเจ้าซะ! ข้ารับปากจะปลุกจิตวิญญาณของซูเจี่ยเอง!”
เย่เย่หยิบยาขนาดเม็ดเล็กกว่าฝ่ามือออกมา ก่อนย่อตัวลงพูดกับซูเจี่ยอย่างใจเย็น “กินยานี่ซะ มันจะทำให้พลังปราณของเจ้าควบแน่น และปลุกจิตวิญญาณประจำกายเจ้าขึ้นมา”
ซินหลานที่ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับตัวตนของเย่เย่ ก็จ้องมอง เย่เย่ด้วยสายตาที่คับแคบ อย่างไรก็ตามซูเจี่ยไม่ลังเลที่จะช่วยแม่ของตน เขากลืนยาที่ได้รับเข้าไปในทันที
หลังจากนั้นเย่เย่บอกให้ซูเจี่ยนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น พร้อมสอนวิธีในการควบคุมลมปราณ เพื่อส่งเสริมฤทธิ์ยา
“นี่เจ้า ตั้งใจจะทำอะไรลูกข้ากันแน่!?” ซินหลานถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดุ แต่ไม่นานนักผลลัพธ์ก็ประจักษ์แก่สายตาของนาง
เพียงซูเจี่ยหายใจเข้าออกช้าๆ ลมปราณที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายก็พรั่งพรูออกมา ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นช้าๆ แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาทำให้ซูเจี่ยถึงกับพูดไม่ออก แม้แต่เย่เย่เองก็ไม่ทันคาดคิด
ซินหลานควักมีดออกจากแขนเสื้อ ก่อนแทงมันเข้าตรงหัวใจ ร่างของนางล้มลงเหลือไว้เพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย
“แม่!!!!!!? แม่ ข้าปลุกจิตวิญญาณได้แล้ว เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้ ฮือออ ฮืออ” ซูเจี่ยกรีดร้องจนเสียบแหบ เสียงแห้ง น้ำตาไหลออกมาจนดวงตาของเขาแห้งผาก
เย่เย่รีบพยุงร่างของนางเอาไว้ รีบควักยาสลายแผลกายออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะถูกซินหลานดึงแขนเอาไว้
“ทะ..ท่านเย่ ไม่มีประโยชน์หรอก ตั้งแต่ที่จุ้นตาย หัวใจของข้าก็ได้ตายไปแล้ว…ข้า ข้าคิดมาตลอดว่าการปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ลูกข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกที่โหดร้ายได้…ตอนนี้เจ้าก็ทำมันสำเร็จแล้ว ลูกแม่…ขืนข้าอยู่ต่อไปก็รังแต่จะเป็นตัวถ่วงของเจ้าเสียเปล่าๆ อ่าา จุ้นที่รักข้ากำลังตามเจ้าไปแล้ว…” สิ้นเสียงของนาง มือที่กุมแขนของเย่เย่ก็คลายลง ซูเจี่ยกอดร่างไร้ชีวิตของนางเอาไว้ในอ้อมแขน และร้องไห้ออกมาจนแทบขาดใจ
“ตั้งสติ! หนุ่มน้อย นางได้ไปในที่ที่นางปรารถนาแล้ว เจ้าอย่าได้โทษตัวเองเลย จงใช้ชีวิตที่เหลือที่นางมอบให้ให้คุ้มค่าซะ” เย่เย่จับไหล่ของเด็กหนุ่ม ปลอบประโลมเขาด้วยความใจเย็น
เย่เย่นั้นรู้ดีว่าถึงแม้เขาจะช่วยซินหลานเอาไว้ได้ทัน แต่นางก็คงเลือกที่จะจบชีวิตตนเองอยู่ดี ดังนั้นตราบใดที่มันเป็นความปรารถนาของนางก็ไม่มีใครขัดขวางได้ เขาจึงเคารพการตัดสินใจและปล่อยให้นางเข้าสู่ห้วงนิทราตราบชั่วนิรันดร์…