ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 195 ผู้ท้าชิง
บทที่ 195
ผู้ท้าชิง
กงซุนชิ่งแห่งตระกูลกงซุนนั้นคลั่งไคล้ในการสะสมอาวุธอย่างมาก ดาบดาวฤกษ์ประจำกายเขานั้นถูกสั่งทำขึ้นพิเศษโดยฝีมือช่างตีเหล็กที่โด่งดังที่สุดในยุทธภพ ดังนั้นด้วยวรยุทธ์ขั้นเทพอสูรผนวกกับดาบดาวฤกษ์แล้วทำให้เกราะแสงอาทิตย์นี้ไม่อยู่ในสายตาเขาเลยแม้แต่น้อย
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาลงทุนถ่อมาถึงหอการค้าหยูเย่ก็คือข่าวคราวของเทพกระบี่สยบมารที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขาตั้งแต่งานชุมนุมจอมยุทธ์ครั้งก่อน
อีกด้านหนึ่ง เมื่อผู้ท้าชิงคนแรก ชักดาบใหญ่ออกมาฟาดฟันไปที่เกราะแสงอาทิตย์ ความจริงก็ปรากฏ การโจมตีที่หนักหน่วงของเขาไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้กับเกราะได้เลยแม้แต่น้อย
แม้เวลาผ่านไป 2 ชั่วยามก็ยังไม่มีผู้ใดก้าวข้ามเกราะแสงอาทิตย์นี้ไปได้เลย
เคร้ง!
“ไม่อยากจะเชื่อ เจ้าใช้ลูกไม้อะไรกันแน่!?”
“คนต่อไป” เย่เย่เท้าคางพลางหาวหวอดอย่างเบื่อหน่าย ปล่อยให้ลู่จุ้นอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงอยู่อย่างนั้น
“หน็อย ไอ้หมอนี่มันลงอาคมเอาไว้!” ผู้ท้าชิงที่ไม่พอใจกับผลลัพธ์ตรงหน้า ก็ป่าวประกาศเพื่อหวังทำรายชื่อเสียงเย่เย่ ก่อนจะใช้กำปั้นทุบเกราะอีกครั้งอย่างฉุนเฉียว
ผลั่ก!
ไม่ทันไรชายผู้นั้นก็ถูกเย่เย่ถีบหัวส่งตีลังกาหกคะเมนตกบันไดไปอย่างดูไม่ได้
“หนึ่งคนต่อหนึ่งครั้ง ใครไม่พอใจก็เข้ามา” เย่เย่กล่าวขึ้นพลางชายตาไปที่เหล่าผู้ท้าชิง
ฝูงชนที่เห็นชายชั้นจ้าววรยุทธ์ถูกถีบหัวส่งลงมาอย่างง่ายดาย ต่างกลืนน้ำลายด้วยความยำเกรง
เวลาผ่านไปค่อนวัน ก็ยังไม่มีผู้ใดคู่ควรกับเงินรางวันหนึ่งแสนตั๋วทอง
“ท่านเย่เย่ ไม่ทราบว่าเกราะนี้ท่านขายหรือไม่ ได้โปรดเสนอราคามาได้เลย”
“ใช่แล้ว ไม่ว่าเท่าไหร่ ข้าก็ยอมจ่าย!”
“เฮ้ยน้องชาย เกทับกันนี่หว่า!? เจ้ากับข้ามาดวลกันสักสามกระบวนไหม?”
เย่เย่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนยกมือห้ามปรามจอมยุทธ์ทั้งสองเอาไว้
“ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ข้าเกรงว่าจะขายเกราะแสงอาทิตย์นี้ให้กับพวกท่านไม่ได้ งานชุมนุมเล็กๆนี้จัดขึ้นเพื่อให้พวกท่านทำความรู้จักกับประสิทธิภาพของสินค้าในร้านเราเพียงเท่านั้น ท่านจอมยุทธ์ได้โปรดอย่าถือสา”
เมื่อรู้ว่าเย่เย่ไม่คิดจะขายตั้งแต่แรก ฝูงชนก็ผิดหวังกันไปตามๆกัน บางคนถึงกับเดินคอตกกลับบ้านไป
“ช้าก่อนท่านทั้งหลาย นอกจากเกราะแสงอาทิตย์ชิ้นนี้ ร้านข้ายังมีสินค้าอื่นๆให้เลือกสรร ขอเชิญทุกท่านมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันเปิดร้านอย่างเป็นทางการ ข้ามั่นใจว่าจะมีสินค้าที่ถูกใจท่าน อย่างแน่นอน”
คำพูดเย่เย่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนได้เป็นอย่างดี ยิ่งเมื่อพวกเขานึกย้อนถึงพลังป้องกันอันทรงพลังของเกราะแสงอาทิตย์ ก็ยิ่งทวีความคาดหวังในตัวหอการค้าเพิ่มขึ้นไปอีก
“ถึงตอนนั้นถ้าข้าพาแขกมาเยอะๆ ต้องขอส่วนลดกันสักหน่อยล่ะ!”
“ท่านเย่วางใจเถอะ ข้าและพี่น้องร่วม 11 ชีวิตจะแวะเวียนมาอีก!”
“ข้าด้วยๆ”
วิธีการประชาสัมพันธ์ของเขานั้นได้ผลตอบรับดีเกินคาด ทำให้เจ้าตัวอดยิ้มออกมาไม่ได้
เดิมทีลู่จุ้นนั้นคิดว่าเย่เย่เป็นเพียงพ่อค้าหน้าเลือดคนหนึ่ง แต่เมื่อเห็นกลยุทธ์อันยอดเยี่ยมของเขาแล้ว ความศรัทธาที่มีต่อเย่เย่ก็เพิ่มมากขึ้น
“ลู่จุ้น? มีอะไรติดหน้าข้างั้นรึ?”
“ปะ เปล่า” ลู่จุ้นเบือนหน้าหนี
ทันใดนั้นเอง ผู้ท้าชิงปริศนาก็ปรากฏตัวขึ้น ร่อนตัวลงมาเหนือฝูงชนที่ตื่นตะลึง
“ขอข้าทดสอบพลังของเกราะนั่นด้วยคน หวังว่าผู้อาวุโสเย่จะไม่รังเกียจ”
‘จะรังเกียจก็เพราะเจ้าเรียกข้าผู้อาวุโสเนี่ยแหละ’ เย่เย่คิดในใจ
หนุ่มน้อยปริศนาผู้นี้ สวมชุดจอมยุทธ์สีฟ้า มีฝักกระบี่ห้อยอยู่ที่หลัง เมื่อพินิจพิเคราะห์จากใบหน้าแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าเจิ้งซูอีกคราวหนึ่ง
“น่ะ นั่นมัน จอมยุทธ์น้อยเสี่ยวหยุนเฟยนิ นึกไม่ถึงว่าเขาเองก็จะมาร่วมประลองด้วย!”
“ว่ากันว่าแม้จะเป็นเพียงเทพยุทธ์ แต่เขาก็โค่นเทพอสูรมาแล้ว”
“จริงหรือเนี่ย ข้าไม่อยากจะเชื่อ”
“พูดแล้วจะหาว่าคุย ฉายาเทพกระบี่สยบมารของเขาไม่ได้มาง่ายๆนะจะบอกให้ อีกอย่างในยุทธภพนี้นอกจากเขาแล้ว ข้าก็ไม่เห็นเคยได้ยินว่าจะมีผู้ใดเอาชนะผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่งกว่าได้เลย
นี่? อัจฉริยะไม่ถูกจำกัดด้วยอายุจริงๆ”
“จริงด้วยๆ”
เสียงซุบซิบของชาวบ้านเซ็งแซ่ไปทั่วโถงหอการค้า ถึงแม้เสี่ยวหยุนเฟยจะได้ยินเต็มสองหู แต่เขาก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจอะไรให้มากความ
“ขออนุญาตท่านผู้อาวุโส”
“ไม่ต้องมากความ เจ้าลงมือได้ทุกเมื่อ” เย่เย่กล่าว
เมื่อจอมยุทธ์น้อยเสี่ยวชักกระบี่ออกจากฝัก สายตาทุกคู่ก็จดจ้องมาที่เขาอย่างใจจดใจจ่อ แต่ทว่า
“ช้าก่อน!”
ทันใดนั้นเอง กงซุนชิ่ง ลูกหลานตระกูลกงซุนแห่งหวางตู้ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเดินแทรกฝูงชนเข้ามาหาเสี่ยวหยุนเฟยด้วยความรีบร้อน ก่อนคว้าไหล่ของจอมยุทธ์น้อยเอาไว้ “ออกไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเด็กอย่างเจ้า!”
ฝูงชนที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจกับท่าทียโสโอหัง และพร้อมใจกันประณามการกระทำอันไร้มารยาทของเขา
“เฮ้ๆ น้องชาย อย่าลัดคิวเซ่ ไปต่อท้ายแถวนู่น” จอมยุทธ์ผู้หนึ่งกล่าว
“เหอะ! เจ้าพูดแบบนี้ไม่รู้รึไงว่าข้าเป็นใคร?” กงซุนชิ่งพูดพร้อมผายอก ชี้นิ้วเข้าตัวอย่างองอาจ
เมื่อมองใบหน้าดูดีๆแล้ว จอมยุทธ์ท่านนั้นก็เข่าอ่อนลงอย่างกะทันหัน “รึว่าท่านก็คือ กงซุนชิ่ง! ต้องขออภัยที่ล่วงเกินด้วยขอรับ ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่”
บุตรชายแห่งตระกูลกงซุนผู้นี้ เคยพ่ายแพ้ให้กับจอมยุทธ์น้อยเสี่ยวหยุนเฟยในงานชุมนุมครั้งที่แล้ว ทำให้คุณชายที่เอาแต่ใจผู้นี้ผูกใจเจ็บมาโดยตลอด และเก็บตัวฝึกฝนวรยุทธ์เป็นเวลานานจนในที่สุดเขาก็บรรลุขั้นเทพอสูรด้วยการสนับสนุนจากตระกูล ทันทีที่รู้เบาะแสของเสี่ยวหยุนเฟยเขาก็รีบบึ่งมาเพื่อล้างอาย
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวหยุนเฟยนั้นฝักใฝ่สันติ เขาจึงไม่สนใจคำพูดของกงซุนชิ่งแม้แต่น้อย ก่อนหันหน้าไปมองเย่เย่โดยที่ไม่ได้เอ่ยปากขออะไร
“ข้าสัญญาจะไม่ให้ใครมารบกวนเจ้าได้” เย่เย่ตอบรับจอมยุทธ์น้อยราวกับอ่านใจเขาออก
“แต่ว่าท่าน-” กงซุนชิ่งพยายามแย้ง
“ไม่พอใจอะไรงั้นรึ” ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยและเย็นชาของเย่เย่ ก็เพียงพอที่จะทำให้กงซุนชิ่งเย็นสันหลังวาบขึ้นมา
“ข้าน้อยเลินเล่อชั่วขณะ เถ้าแก่เย่ได้โปรดอภัย” กงซุนชิ่งประสานมือขอโทษเย่เย่ ด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจเท่าไรนัก…