ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 36 คำขอร้องของเหล่ยถิง
หลังจากที่บอกกล่าวดังนั้นแล้ว เหล่ยถิงและเหล่าข้ารับใช้ก็หันหลังกลับและไปเดินเคียงข้างเย่เย่ออกจากอารามจ้าววรยุทธ์ไปด้วยกัน
ถึงแม้ว่านางจะได้รับมอบหมายให้มาแสดงความยินดีกับหลินหยูฉีในนามของจ้าววายุก็จริง แต่นางนั้นไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนของหลินหยูฉีเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นในเมื่องานของนางเสร็จแล้วและเผอิญได้พบกับคนที่หาตัวยากอย่างเย่เย่แล้วด้วย เหล่ยถิงจึงไม่ชักช้าที่จะออกมาจากอารามจ้าววรยุทธ์พร้อมกับเย่เย่เลย
มองย้อนกลับไปยังเส้นทางที่ทั้งสองเดินออกไป หลินหยูฉีก็รู้สึกสับสนงุนงงก่อนที่สีหน้าของนางจะค่อยๆแสดงความอิจฉาออกมา
“ดูเหมือนข้าจะดูถูกเจ้ามากเกินไปสินะเย่เย่! ได้! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้เติบใหญ่ไปมากกว่านี้แน่ๆ! เดี๋ยวเราจะได้เห็นดีกัน!”
ความชั่วร้ายปรากฏขึ้นในแววตาของหลินหยูฉีก่อนที่นางจะตัดสินใจเข้าไปยังที่พำนักของผู้อาวุโสอู๋เทียน
อีกฟากหนึ่ง เหล่ยถิงที่ติดตามเย่เย่ออกมาจากอารามจ้าววรยุทธ์นั้นก็ไปถึงบ้านตระกูลเย่เรียบร้อยแล้ว
เย่เทียนและเย่เฉิง รวมถึงคนอื่นๆที่ได้เห็นว่าท่านหญิงแห่งจ้าววายุเข้ามาเยี่ยม พวกเขาต่างก็พากันออกมารับหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน อย่างไรก็ตาม เหล่ยถิงเองก็ยังไม่ได้แสดงท่าทีถือตน โดยเฉพาะครั้งนี้ นางมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเย่เย่ นางยิ่งไม่กล้าอวดเบ่งต่อหน้าเย่เทียนและคนอื่นๆเข้าไปอีก
“ท่านลุง ข้าเป็นเพื่อนของเย่เย่ ดังนั้นเรียกข้าด้วยชื่อก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจข้าขนาดนั้น”
ยามที่เห็นเย่เทียนเคร่งครัดในมารยาทใส่ เหล่ยถิงก็ยิ้มและโบกไม้โบกมือเหมือนเด็กสาวธรรมดาทั่วไปรวมถึงแสดงท่าทีที่เป็นมิตรออกมาด้วย
“ให้ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกขอรับ ท่านหญิงน่ะยิ่งใหญ่กว่าเงินทองนับหมื่นแสนที่กองตรงหน้าอีก พวกข้าไม่กล้าที่จะกล่าววาจาประดุจสามัญชนได้หรอก”
เมื่อเย่เทียนได้ยินเหล่ยถิงเรียกตนว่าท่านลุง แม้เขาจะดีใจขนาดไหน แต่เขาก็พยายามเก็บความดีใจนั้นไว้ภายในและพยายามทำตัวให้อยู่ต่ำกว่าอีกฝ่าย
เหล่ยถิงเห็นดังนั้นก็แสร้งทำเป็นโกรธพร้อมกับเอ่ยราวกับไม่พอใจจริงๆ “ดูเหมือนว่าท่านลุงยังพยายามจะปฏิบัติตัวต่อข้าราวกับเป็นคนนอกสินะ ข้าต้องทำตัวให้ท่านหันมาดูถูกข้ามากกว่านี้ก่อนหรือเปล่า?”
“ไม่ ไม่ ไม่ได้นะขอรับท่านหญิง ข้าแค่เกรงว่าถ้าหากข้าทำตัวละเลยท่านในฐานะท่านหญิงแห่งจ้าววายุ แล้วเรื่องนี้มันหลุดออกไปสู่หูของคนอื่น มันอาจจะทำให้ชื่อเสียงของสำนักจ้าววายุหม่นหมองได้น่ะขอรับ แต่ในเมื่อท่านหญิงยืนยันด้วยตัวท่านเอง ข้าก็จะพยายามเรียกท่านว่า ท่านเหล่ย ให้ได้!”
เขายังคงยิ้มไม่หยุดไม่หย่อน ยิ่งได้เห็นเหล่ยถิง เขาก็ยิ่งยิ้มมากขึ้นไปอีก
“ลูกเย่ ไหนๆท่านเหล่ยก็มาเยี่ยมบ้านตระกูลเย่ของพวกเราด้วยตนเองทั้งที ลูกเองก็ต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วยนะ ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกพ่อได้เลย!”
สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังนั้นหันมองเย่เย่และมอบความสนับสนุนให้แก่เขาอย่างเต็มที่
ทางด้านเย่เฉิงเองก็แอบยกนิ้วโป้งชื่นชมเย่เย่ด้วยเช่นกันที่สามารถพาสาวงามที่ทรงอิทธิพลระดับนี้กลับมาบ้านได้ด้วยหลังจากที่เสี่ยวหยูเพิ่งจะถูกส่งตัวไปหลิงเฉิงเพียงแค่วันเดียว นี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ!
เย่เย่นั้นไม่มีทางเลือก เขาได้แค่กลอกตาไปมา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่ยถิงแล้วเขาคงไม่สามารถพูดอะไรได้มากนักเหมือนปกติ ดังนั้นแล้วเขาจึงทำได้แค่เชื่อฟังไปก่อน “ข้าเข้าใจแล้ว ไว้ใจข้าได้เลย”
เมื่อพูดดังนั้นแล้วเย่เย่ก็พาเหล่ยถิงไปยังลานของเขาเองเพื่อหาที่นั่งก่อน ทว่าก่อนที่เขาจะได้ถามถึงจุดประสงค์ของ เหล่ยถิง เหล่ยถิงก็ชิงเป็นฝ่ายพูดออกมาเสียเอง
“เย่เย่ เจ้าต้องช่วยข้านะ ตอนนี้ข้าไว้ใจเจ้าได้เพียงคนเดียวเท่านั้น!”
มองไปยังท่าทีที่ดูเคร่งขรึมของเหล่ยถิง เย่เย่ก็ตกใจและค่อยๆพูดต่อด้วยความลังเล “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
ในฐานะที่เหล่ยถิงนั้นเป็นท่านหญิงแห่งจ้าววายุ ไม่ว่าจะด้านไหนมันก็ชัดเจนเลยว่านางนั้นเหนือกว่าเย่เย่ทุกประการ ดังนั้นเย่เย่เลยคิดไม่ออกว่ามันยังมีเรื่องอะไรอีกที่นางไม่สามารถทำได้และมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่นางคิดว่าทำให้ได้ แต่ด้วยท่าทีของนางแล้ว เย่เย่คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องดีแน่ๆ ลางสังหรณ์ของเขามันว่ามางั้น
และมันก็เป็นอย่างที่เขากังวลจริงๆ ทันทีที่เหล่ยถิงเปิดปากอธิบายถึงเหตุผลของนาง เย่เย่ก็เดาได้แล้วว่านางอยากจะให้ช่วยอะไร และสิ่งนั้นก็ถือเป็นเรื่องปวดหัวของเขาเลยด้วย
“เย่เย่ อย่างที่เจ้ารู้ว่าข้านั้นเป็นองค์หญิงรวมไปถึงท่านหญิงแห่งจ้าววายุด้วย ซึ่งด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของข้านั้นมันทำให้ข้าต้องเข้าไปพัวพันกลายสิ่งหลายอย่างโดยที่ข้าไม่ต้องการ โดยเฉพาะการแต่งงาน”
นางเล่าพร้อมกับถอนหายใจอยู่หลายครั้ง ซึ่งมันทำให้ เย่เย่อยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นางจะเล่าจบ
“ในเมื่อพวกข้านั้นถือว่าอยู่อันดับล่างสุดของ 3 สำนัก ท่านพ่อของข้าจึงอยากจะใช้อิทธิพลของสำนักอัคคีเพื่อขยับตำแหน่งขึ้นไปจากล่างสุด ดังนั้นบ่อยครั้งแล้วที่เขาพยายามยกข้าให้กับจางคุน ผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศแห่งสำนักอัคคี ถึงแม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่าข้านั้นไม่ได้สนใจอะไรในตัวจางคุนเลยแม้แต่นิดแต่เขาก็ยังยืนยันว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของข้าเลย”
“เว้นเสียแต่ข้าสามารถหาชายผู้มีฝีมือเก่งกล้ากว่า จางคุนได้ เขาก็จะไม่ยัดเยียดความคิดของเขาให้ข้าอีก! เย่เย่ ถ้าเจ้ายังเห็นข้าเป็นเพื่อน เจ้าต้องช่วยข้านะ!”
เมื่อเหล่ยถิงพูดจบแล้ว นางก็หยุดพูดไปและจ้องมองมายังเย่เย่พร้อมแสดงท่าทีน่าสงสารอันสุดแสนจะหายากออกมาเพื่อให้เขาใจอ่อน
เย่เย่มองแววตานั้นด้วยความอึดอัดใจและคิดย้อนกลับไปว่าอันที่จริงแล้วเขาและนางก็เพิ่งจะเคยพบกันได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทำไมความสัมพันธ์ถึงกลายมาเป็นเพื่อนกันได้นะ? แต่เมื่อคิดไปถึงเมื่อครั้งที่เขาช่วยเหล่ยถิงซ่อมดาบจิตรวารีไปนั้น เหล่ยถิงเองก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวและให้เงินเขาเพิ่มอีกตั้ง 80,000 เหรียญทอง ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่อาจจะด่วนสรุปหรือปฏิเสธห้วนๆแบบคนอื่นๆได้
“ยังไงเสียท่านพ่อของท่านก็ยังคงเป็นท่านพ่อนะ เขาเองก็น่าจะเป็นห่วงอนาคตของสำนักจ้าววายุนั่นแหละ ข้าเชื่อว่าหากท่านค่อยๆคุยกับเขา เขาอาจจะยอมเปลี่ยนความคิดดูสักวันหนึ่งแน่ๆ!”
แม้จะไม่ได้ปฏิเสธโดยตรง แต่เย่เย่ก็แสดงให้เห็นถึงการปฏิเสธที่จะเข้าไปพัวพันกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ดังนั้นเขาจึงคิดว่าการให้เหล่ยถิงประนีประนอมและค่อยพูดค่อยจากับพ่อของนางเองน่าจะได้ผลที่ดีกว่า
หลังจากที่ได้ฟังดังนั้น เหล่ยถิงก็แสดงความไม่พอใจออกมาทันทีกระนั้นนางก็ยังพูดเชิงกระแซะแบบสุภาพอยู่
“ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ามาแต่งงานกับข้าแล้วมาเป็นลูกเขยให้สำนักจ้าววายุเสียหน่อย การที่ให้เจ้าช่วยแสร้งเป็นคนรักของข้านั้นมันยากมากหรือไงน่ะ? มีผู้คนมากมายที่ต้องการโอกาสนี้แต่เจ้ากลับลังเลงั้นเหรอ?”
ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น เหล่ยถิงเฝ้าคิดแต่เรื่องนี้มาตลอดจนกระทั่งได้ยินเรื่องเย่เย่ที่โด่งดังไปทั่วทั้งเมืองถึงได้คิดหาวิธีนี้ได้ นางคิดว่าแค่ล่อหลอกด้วยเสน่ห์ของนางนิดๆหน่อยก็น่าจะมัดใจเย่เย่ได้แล้วแท้ๆ
ไม่คิดเลยว่าเย่เย่จะตอบเนรคุณลืมเรื่องที่นางเคยแสดงความมีน้ำใจเมื่อกาลก่อนจนหมดสิ้น
ถึงสำนักอัคคีนั้นจะถือเป็นอันดับที่ 1 ในบรรดา 3 สำนักก็จริง แต่ด้วยเย่เย่ในตอนนี้ที่เป็นผู้โด่งดังไปทั่วทั้งเฟิงเจิ้น แถมยังเป็นผู้สมัครเข้าอารามจ้าววรยุทธ์อีก แน่นอนว่าสำนักทั้งหลายต้องไม่กล้าที่จะทำอะไรเย่เย่อยู่แล้ว ดังนั้นเหล่ยถิงจึงไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่เย่เย่ลังเลเช่นนี้
แต่สิ่งหนึ่งที่เหล่ยถิงไม่รู้เลย และเหมือนจะเป็นเหตุผลที่ค้ำคอเย่เย่จริงๆนั่นก็คือ แม้ภายนอกจะดูเป็นเด็ก 16-17 ปี แต่ภายในนั้นก็คือวิญญาณของผู้ใหญ่ที่หลุดมาจากโลกอื่นต่างหาก
และด้วยประสบการณ์อันมากมายที่เย่เย่ผ่านพ้นมาตลอดช่วงชีวิตนั้น ยิ่งเลขอายุมากขึ้น มันก็ทำให้เขายิ่งไม่อยากพัวพันกับคนอื่นมากขึ้นไปเรื่อยๆ การตีตัวออกห่างของเขานั้นบางครั้งมันถึงกลับทำให้กลายเป็นที่น่ารังเกียจในสายตาคนอื่นไปเลย แม้จะคิดแล้วคิดอีกว่าเรื่องนี้สำหรับเขามันก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่กระนั้นประสบการณ์มันก็ยังคงตีคู่มากับความต้องการของเขาอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นเหล่ยถิงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา เย่เย่ก็อดที่จะเมินเฉยไม่ได้ หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้ว เขาก็พูดออกไปด้วยความผ่อนคลาย “ท่านลองไปคุยกับท่านพ่อดูอีกครั้ง คราวนี้ถ้ายังไม่สำเร็จข้าสัญญาว่าจะช่วยท่านส่งจางคุนกลับสู่ที่ที่ควรอยู่แล้วนำพาอิสรภาพกลับมาให้ท่านเอง!”
“จริงเหรอ? เยี่ยมไปเลย! ขอบใจเจ้ามากเลยนะเย่เย่!”
เหล่ยถิงเมื่อเห็นว่าเย่เย่ให้คำสัญญาดังนั้น นางก็กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขพร้อมกับมองเย่เย่ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความขอบคุณ
นางนั้นไม่ได้โง่ การกระทำของเย่เย่มันทำให้นางเห็นว่าเย่เย่ไม่ได้ใจร้ายกับนาง กลับกันเขายังยอมที่จะช่วยนางอีก ดังนั้นแล้วนางจึงรู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก
เย่เย่ยิ้มอย่างขมขื่นขณะที่โบกมือน้อยๆ ในขณะที่เขาเตรียมจะถามถึงเรื่องของจางคุณเพื่อที่จะได้นำมาประกอบการเตรียมตัวรับมือ ข้ารับใช้ของเขาก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ไม่ดีแล้วนายน้อยขอรับ! กลุ่มคนจากที่ไหนไม่รู้บุกเข้ามาในบ้านตระกูลเย่และต้องการจะพบนายน้อยกับท่านเหล่ยถิงขอรับ! ในตอนนี้คนเหล่านั้นกำลังเผชิญหน้ากับท่านเจ้าตระกูลและคนอื่นๆอยู่ ได้โปรดช่วยไปจัดการทีขอรับ!”
ได้ยินเช่นนี้นเย่เย่ก็รีบพาเหล่ยถิงกลับไปยังโถงบ้านตระกูลเย่ทันที ที่นั่นเขาพบชายหนุ่มและพวกข้ารับใช้ของเขากำลังยืนกันอยู่ท่ามกลางข้ารับใช้ของอีกฝ่าย โดยเย่เทียนและคนจากตระกูลเย่ยืนอยู่ฝั่งหนึ่งพร้อมกับสีหน้าที่ดูจะโกรธแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ?”
เย่เย่มองไปยังชายหนุ่มตรงหน้าและถามเย่เทียนด้วยความใจเย็น
เย่เทียนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทว่าเหล่ยถิงที่อยู่ฝั่งเขากลับแสดงความโกรธเคืองออกมาและชี้ไปยังชายหนุ่มคนนั้นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากสีหน้าตอนนี้ “จางคุน เจ้ามาทำอะไรที่นี่?! ทำไมเจ้าถึงชอบตามข้าไปทุกหนทุกแห่ง ฮะ? คิดว่าเป็นใหญ่เป็นโตแล้วเจ้าจะสามารถบุกเข้าในภายในบ้านตระกูลเย่เช่นนี้ได้หรืออย่างไร!”
เมื่อได้เห็นเหล่ยถิง ชายหนุ่มที่ชื่อว่า จางคุน ก็ดูจะมีความสุขขึ้นมา เขาไม่ได้สนใจมองเย่เย่และหันไปหาเหล่ยถิงในทันที “ถิงถิง ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามาแสดงความยินดีกับหลินหยูฉีแล้วมาที่บ้านตระกูลเย่ต่อ ข้ากลัวว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า ข้าก็เลยมาที่นี่ด้วยตนเองเพื่อจะตรวจดูก็เท่านั้น”
อย่างที่รู้กันว่าสำนักอัคคีนั้นเป็นสำนักอันดับ 1 ท่ามกลางทั้ง 3 สำนักนอกเมือง ดังนั้นแล้วพวกเขาเองก็รู้ข่าวสารต่างๆไวไม่ต่างกับสำนักจ้าววายุหรอก เพราะงั้นแล้วพวกเขาเองจึงรู้เหมือนกันว่าหลินหยูฉีนั้นบรรลุขั้นเทพยุทธ์แล้ว
จางคุณเองก็ถือเป็นตัวแทนของสำนักอัคคีที่เข้าไปแสดงความยินดีกับหลินหยูฉี และหลังจากที่เขารู้ว่าเหล่ยถิงนั้นตาม เย่เย่กลับมายังบ้านตระกูลเย่ด้วย เขาก็รีบตามมาที่นี่โดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น
“อย่าเรียกข้าว่า ถิงถิง! แค่นี้ข้าก็โกรธเจ้าเพียงพอแล้ว! เจ้าไม่ใช่คนดูแลของข้า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องมาคอยห่วงหรือกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้าก็ได้! เพราะงั้นตอนนี้ ออกจากบ้านตระกูลเย่ไปซะ! มิเช่นนั้นแล้วข้าจะไม่ยอมพบหน้าเจ้าอีก!”
เหล่ยถิงโกรธพร้อมชี้นิ้วไปทางประตูบ้านตระกูลเย่เพื่อสื่อเป็นนัยว่าให้จางคุนและคนอื่นๆออกไปทันที แต่จางคุนผู้นี้มีหนังหน้าหนาเกินกว่าจะสะทกสะท้านและยืนยันที่จะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อปกป้องเหล่ยถิง ชัดเจนเลยว่าเขากับเหล่ยถิงนั้นไม่ลงรอยกัน
“ท่านเหล่ยถิงนั้นเป็นแขกของตระกูลเย่ แต่เจ้าไม่ใช่ เช่นนั้นถ้าเจ้าไม่รีบออกไป อย่าหาว่าคนของข้าโหดร้ายเสียล่ะ!”
เพราะรู้ถึงภูมิหลังของจางคุนและคนอื่นๆแล้ว เย่เย่จึงไม่ได้อดกลั้นความโกรธของเขาไว้แต่อย่างใด เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นก็เป็นศิษย์ของสำนักอัคคีพร้อมทั้งบอกให้พวกเขาเหล่านั้นกลับไปโดยปราศจากความสุภาพอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ที่เหล่ยถิงขอให้เขาช่วยขับไล่จางคุนให้นั้น เขาเองก็ไม่เต็มใจเสียเท่าไหร่ แต่ในครานี้ อีกฝ่ายมาเยือนเขาถึงหน้าประตูแล้ว ดังนั้นเย่เย่ก็จะไม่เกรงใจที่จะทำอะไรอีกต่อไป
“เจ้าพูดอะไรนะไอ้หนู? พูดใหม่อีกทีซิ”
จ้าววรยุทธ์ด้านหลังจางคุนนั้นค่อยๆแทรกตัวขึ้นมา ซึ่งถ้าคิดตามสิ่งที่เห็น คนคนนี้ก็น่าจะมาจากสำนักอัคคีด้วย เขาไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับตระกูลเย่และเมื่อได้ยินเย่เย่กล่าวเตือน เขาก็ลุกพรวดมาข่มขู่เย่เย่ทันที
*ครืน!*
ทันทีทันใด เย่เย่พุ่งเข้าใส่ชายคนตรงหน้าประดุจสายฟ้าฟาดและตบเข้าไปที่อีกฝ่ายโดยตรง
“เพี๊ยะ!”
ชายคนนั้นล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมแก้มข้างหนึ่งที่บวมตุ่ยขึ้นมา ร่างนั้นนอนนิ่งอยู่บนพื้นโดยไม่ได้พูดอะไรหรือขยับไหวติงอะไรอีก เย่เย่นั้นโค่นคนคนนี้ด้วยการตบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!
“ที่นี่คือตระกูลเย่ เป็นอาณาเขตของข้า เย่เย่! หากเจ้าไม่ดูแลหมาของเจ้าให้ดี ก็อย่าปล่อยให้มันมาทำเรื่องเสื่อมเสียกับคนอื่น!”
เมื่อโค่นจ้าววรยุทธ์คนนั้นไปแล้ว เย่เย่ก็หันหน้าไปมองยังจางคุนด้วยความดุร้ายพร้อมกับระเบิดพลังของเทพยุทธ์ออกมาในทันที
“เจ้า?!”
จางคุนและคนอื่นๆถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว พวกเขาตระหนักขึ้นมาได้ทันทีว่าถึงแม้ตระกูลเย่จะเปรียบเสมือนมดปลวก แต่เย่เย่นั้นทรงพลังและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งเฟิงเจิ้น การที่พวกเหยียบเข้ามาในถิ่นของเย่เย่ถึงที่บ้านตระกูลเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการหยามเกียรติเย่เย่แต่อย่างใด!
ถึงแม้ว่าจางคุนนั้นจะถือว่าเป็นจ้าววรยุทธ์ระดับสูงและถือเป็นผู้มีพรสวรรค์ท่ามกลางเพื่อนพ้องรุ่นเดียวกันซึ่งหาตัวจับได้ยากก็จริง แต่มันไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อเทียบกับเย่เย่ ณ ตอนนี้