ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 42 หอการค้าหยูเย่
หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เฉิงเทียนเฉิงก็กัดฟันและเค้นเสียงพูดกับเย่เย่ “ข-ข้าจะยอมจ่าย 30,000 เหรียญทองเพื่อชดใช้ให้ก็แล้วกัน เพราะงั้นห้ามเอาแขนของไว้แล้วปล่อยข้าไป ตกลงนะ?”
ในฐานะที่เป็นจ้าววรยุทธ์ เงิน 30,000 เหรียญทองนั้นถือว่าค่อนข้างเยอะเลย จ้าววรยุทธ์หลายๆคนก็ยังไม่สามารถหาเงินจำนวนนี้ได้ แต่เพื่อไม่ให้เสียแขนไปและกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต เฉิงเทียนเฉิงจึงตัดสินใจใช้เงินในการแก้ปัญหาแทน
“เจ้าเองก็ไม่ได้โง่กว่าที่จะเจรจาไม่ได้นี่ เพราะงั้นก็วางเงินไว้แล้วรีบๆไปได้แล้วไป อ้อ แล้วก็นะ ห้ามเข้ามาเหยียบร้านข้าอีกจากนี้และตลอดไปเลย!”
เย่เย่คลายโซ่พลังงานที่รั้งตัวอีกฝ่ายไว้พร้อมกับพูดขู่ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ข-เข้าใจแล้ว! ข้าไม่กล้ามาแล้ว!”
เฉิงเทียนเฉิงไม่กล้าที่จะปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น เขาวางเงิน 30,000 เหรียญทองไว้แล้ววิ่งออกไปทันทีราวกับว่ากลัวเย่เย่จะเปลี่ยนใจ
คนอื่นๆที่มาดูเหตุการณ์ก็ไม่กล้ายืนอยู่นานนัก โดยเฉพาะพวกที่เคยสนับสนุนเฉิงเทียนเฉิงเมื่อครู่
พวกเขาต่างรีบซื้อของแล้วรีบออกไปกันด้วยความกระสับกระส่าย เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำเอาพวกเขาลืมเสียด้วยซ้ำว่าจะมาซื้ออะไร
สิ่งเดียวที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้พวกเขาในตอนนี้ก็คือ ความกลัวที่กลัวว่าเย่เย่อาจจะกลับมาเล่นงานตนด้วยอีกคน พวกเขาได้เฉิงเทียนเฉิงเป็นไก่ที่โดนเชือดเป็นตัวอย่างไปแล้ว ดังนั้นท่าทีของคนเหล่านี้ที่ดูตื่นตูมจึงเป็นที่น่าขบขันให้กับคนทั่วไปอย่างมาก
เจิ้งซูที่ยืนอยู่ด้านนอกนั้นเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ตลอด และมันทำให้เขายิ่งมั่นใจขึ้นว่าจะติดตามเย่เย่
เขานั้นตามเย่เย่ไปทุกหนทุกแห่งเพื่อหาโอกาสที่จะได้อยู่กับเย่เย่ และในตอนนี้หลังจากสังเกตการณ์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในร้านนั้น เขาก็คิดอะไรได้ขึ้นมา
“นายน้อย เสี่ยวหยูนั้นไร้ความสามารถ เอาแต่คิดแบบเด็กๆ ถ้าข้าไม่ไล่ลูกค้าไปแบบนั้น เรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดตั้งแต่ต้น นั่นเป็นเพราะข้าไม่คิดไตร่ตรองให้ดีก่อน!”
หลังจากที่ทุกๆคนออกไปหมดแล้ว เสี่ยวหยูก็หันกลับมาโค้งให้เย่เย่พร้อมกับมองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด
ทันใดนั้นเอง เย่เย่ก็ยกตัวนางขึ้นก่อนจะแสร้งทำเป็นโกรธ “อย่างที่ข้าบอกไปแล้วว่าแค่เจ้าตั้งร้านให้ข้าได้ขนาดนี้ในเวลาสั้นๆข้าก็พอใจมากๆแล้ว เพราะฉะนั้น ในเมื่อข้ามาถึง หลิงเฉิงแล้ว ที่เหลือข้าจะจัดการต่อเอง”
ขณะที่เขากำลังจ้องหน้าเด็กสาวอยู่ เขาก็สังเกตเห็นได้ถึงความอ่อนล้าที่สลักลงไปบนผิวหน้าขของเสี่ยวหยูขึ้นมา ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่กล้าที่จะกล่าวว่าอะไรนางแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องในวันนี้เองถ้ามันโด่งดังออกไป มันก็เหมือนเป็นการกระจายชื่อเสียงของร้านนี้ไปด้วยอยู่แล้ว เพราะงั้นแล้วมันอาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ซะทีเดียวก็ได้
“เสี่ยวหยู ข้าวางแผนจะจัดงานประมูลเล็กๆวันพรุ่งนี้ แม้จะต้องเสียเงินกันเพิ่มสักหน่อยแต่ข้าคิดว่ามันน่าจะช่วยกระจายชื่อเสียงของร้านของพวกเราให้มากขึ้นกว่าเดิมอีกก็ได้! ถ้ายังไงเจ้าช่วยจดรายชื่อของพวกคนมีชื่อเสียงในละแวกนี้มาให้ข้าหน่อยก็แล้วกันนะ ข้าจะเขียนจดหมายเชิญพวกเขามางานประมูลของพวกเราเอง”
ถึงแม้ว่าเย่เย่จะไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับสมาคมพ่อค้ามากนัก แต่เขาก็ค่อนข้างประทับใจกับงานประมูลที่หอการค้าชิงเฟิงจัดไม่น้อยเลย ในสายตาของเขา วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่จะใช้เพิ่มชื่อเสียงของร้านได้อย่างง่ายๆเลย
หลังจากที่ได้ยินดังนั้น แววตาของเสี่ยวหยูก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที แต่เพียงครู่เดียวมันก็ฉายแววกระอักกระอ่วนออกมาแทน
“นายน้อยเจ้าคะ ละแวกนี้มันค่อนข้างจะเงียบเหงาน่ะเจ้าค่ะ เพราะข้าไม่สามารถหาทำเลที่ครึกครื้นกว่านี้ได้ ธุรกิจต่างๆแถวๆนี้ไม่ว่าจะเป็น โรงเตี๊ยม ร้านอาหาร หรือพวกร้านค้าใหญ่ๆล้วนแต่เป็นร้านที่เปิดกันมานานแล้วทั้งนั้น เพราะงั้นข้าเลยคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะสนใจงานประมูลที่เรากำลังจะจัดกันสักเท่าไหร่…”
เพราะเสี่ยวหยูนั้นอยู่ในย่านนี้มาพักใหญ่ๆแล้ว ดังนั้นนางจึงพอจะรู้ถึงสถานการณ์ความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐานของที่แห่งนี้ด้วย
พูดกันง่ายๆก็คือ ไม่ว่าใครจะมาทำมาค้าขายหรือธุรกิจใดๆในย่านนี้ ส่วนมากจะอยู่กันได้ไม่เกิน 1 ปี เพราะงั้นแล้วเหล่าธุรกิจต่างๆที่เห็นอยู่ในย่านนี้ แต่ละเจ้าจึงล้วนฝังรากลึกจนเหมือนผูกขาดตลาดไปหมดแล้ว และเพราะมันเต็มไปด้วยร้านเก่าๆ มันจึงไม่ค่อยมีใครที่อยากจะเข้ามาย่านนี้นักหากไม่ได้มาซื้อในร้านพวกนี้จริงๆ
แม้เสี่ยวหยูนั้นจะไปเยี่ยมชมร้านของพวกเขาเหล่านี้มาตลอดตั้งแต่เปิดร้าน แต่กลับไม่มีใครเลยที่กลับมาเยี่ยมชมร้านของนางคืน ดังนั้นนางจึงค่อนข้างจะมั่นใจว่า ต่อให้ส่งหมายเชิญไป ยังไงเสียคนเหล่านี้ก็คงจะไม่สนใจมางานประมูลกันอยู่ดี
แต่หลังจากเรื่องในวันนี้ ชื่อเสียงและตัวตนของเย่เย่นั้นได้กระจายออกไปยังวงกว้างแล้ว อย่างน้อยๆก็น่าจะมีคนจากย่านอื่นสนใจงานประมูลบ้าง ยังไงซะภายในหลิงเฉิงนั้น มันไม่ใช่เรื่องปกติที่จะมีผู้ที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นมาอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่งที่ว่านั่นมาเปิดธุรกิจของตนเองแบบนี้ทั้งๆที่รู้ว่ามันจะไม่ช่วยให้วรยุทธ์ในกายแข็งแกร่งขึ้นสู้เอาเวลาไปฝึกฝน นั่นแสดงให้เห็นว่าเย่เย่จะต้องมีของดีติดตัวมาแน่ๆ ดังนั้นงานประมูลครั้งนี้จะต้องไปได้สวยแน่นอน!
หลังจากที่คิดไตร่ตรองเรื่องนี้ดีแล้ว เย่เย่ก็ตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นกับเสี่ยวหยูอย่างใจเย็น “ไม่เป็นไร! ในเมื่อการประมูลทั่วๆไปไม่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ ข้าจะจัดการหาของที่เลิศล้ำสุดๆมาล่อตาล่อใจพวกเขาให้เอง! ข้าเชื่อว่าด้วยของเหล่านี้พวกเขาจะต้องสนใจแน่ๆ!”
ถึงแม้ว่าเย่เย่จะเหลือเหรียญจักรวาลอยู่เพียง 50 เหรียญเท่านั้น แต่มันก็ไม่ได้มีปัญหาหากจะแลกเอาสมบัติจากภายในออกมาสักนิดสักหน่อย เพราะยังไงเสียภายในระบบก็ยังมียาอยู่มากมายให้เลือกสรร แถมราคาของยาเหล่านี้ยังถูกมากๆด้วย แต่ถึงแม้ราคาจะถูก แต่คุณภาพก็สูงกว่ายาที่ขายตามท้องตลาดอยู่มาก ต่อให้เย่เย่ขายเท่าทุน ยังไงมันก็ยังสร้างชื่อเสียงให้ร้านเขาอยู่ดี
ไม่เพียงเท่านั้น เย่เย่เองตั้งใจจะนำเกราะเหล็กดำที่เขาสวมอยู่กับผ้าคลุมล่องหนไปวางประมูลเป็นของอย่างสุดท้ายด้วย เนื่องจากตอนนี้เขาได้เข้าสู่ขั้นเทพยุทธ์แล้วรวมถึงฝ่ามือคลื่นพิโรธที่ฝึกไว้นั้นมันช่วยเสริมความแข็งแกร่งของเขาได้มากกว่าชุดเกราะเหล็กดำเสียอีก
ในส่วนของผ้าคลุมล่องหน ถึงแม้ว่ามันจะช่วยซ่อนเร้นกายกับลมหายใจของเขาได้ก็จริง แต่มันไม่สามารถซ่อนความผันผวนของคลื่นพลังในตัวเขาได้อีกต่อไปแล้ว ในเมื่ออยู่ในระดับนี้แล้ว ถ้าหากยังใช้ของแบบนี้ก็คงไม่ต่างกับพวกไก่อ่อนเสียเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามของพวกนี้ล้วนเป็นของที่หายาก หากมันได้เข้าสู่การประมูล เขามั่นใจเลยว่าบรรยากาศภายในงานจะต้องครึกครื้นสุดๆแน่
เสี่ยวหยูที่ยืนมองความมั่นอกมั่นใจผ่านแววตาของเย่เย่ นางก็เผยรอยยิ้มที่แสดงถึงความหวังออกมาจากนั้นก็รีบไล่รายชื่อคนใหญ่คนโตในละแวกนี้ให้แก่เย่เย่ทันที พร้อมๆกับแนะนำตัวแต่ละคนในระดับพื้นฐานให้เย่เย่รู้ด้วย
ได้เห็นเสี่ยวหยูดูมีท่าทีวุ่นไปหมด เย่เย่ก็เริ่มเอะใจได้ว่า ร้านนี้ไม่มีคนช่วยดูแลร้านคนอื่นเลยนอกจากเสี่ยวหยู เขาจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย “เสี่ยวหยู เจ้าจัดการทุกอย่างในร้านนี้ตั้งแต่มาถึงหลิงเฉิงแล้วงั้นเหรอ? ไม่ได้จ้างใครมาช่วยเลย?”
นางหันหน้าไปทางอื่น “ก็แหม การจ้างคนงานเพิ่มมันต้องใช้ค่าใช้จ่ายนี่เจ้าคะ งานพวกนี้ข้าทำคนเดียวก็พอแล้ว”
เย่เย่ปวดหัวใจขึ้นมาทันที เขารีบพูดกับเสี่ยวหยูต่อ “มันก็ดีที่เจ้ารู้จักประหยัดอดออม แต่เมื่อไหร่ที่ร้านเราต้องขยาย มันจะมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างต้องจัดการนะ เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าคิดว่าจะจัดการทุกสิ่งอย่างด้วยตัวคนเดียวได้หรืออย่างไร? เพราะฉะนั้นถ้ามันจำเป็นต้องใช้เงินก็ใช้ๆไปเถอะน่า”
“เจ้าค่ะ นายน้อย! ข้ารู้ว่ามันไม่ได้นะเจ้าคะ!”
สาวน้อยแลบลิ้นอย่างขี้เล่น ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่านางผิดก็จริง แต่พอรู้ว่าเย่เย่เองก็เป็นห่วงนาง แววตากลมใสนั้นก็เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขทันที
ตอนนั้นเอง เจิ้งซูที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ที่หน้าประตูก็สัมผัสได้ถึงโอกาสทอง ดังนั้นเข้าจึงรีบวิ่งเข้าไปในร้านทันทีหลังจากได้ยินบทสนทนานั้น
“ข้าเป็นผู้ช่วยได้นะ! แล้วก็ข้าไม่ต้องการเงินเดือนด้วย! ข้าหวังเพียงนายท่านจะยอมให้ข้าติดตามไปด้วยก็พอ!”
เขานั้นคอยตามเย่เย่ตลอดทุกหนทุกแห่งจนกระทั่งมาถึงร้านของเย่เย่ แถมเขายังรู้อีกว่าเย่เย่นั้นไม่ใช่คนหลิงเฉิง พอได้ยินว่าร้านของเย่เย่กำลังขาดคน เขาก็เดาได้เลยว่าเย่เย่ต้องเตรียมจะจ้างคนงานเพิ่มเร็วๆนี้แน่ เพราะฉะนั้นจึงรอดักฟังให้จบอยู่ด้านนอกประตูก่อนถึงจะเข้ามา
ถึงแม้ว่าเย่เย่จะรู้ว่าเจิ่งซูนั้นอยู่ที่หน้าประตูร้านเกือบจะตลอด เต่เข้าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีกฝ่ายเลย รวมไปถึงไม่ได้คาดหวังด้วยว่าเจิ้งซูนั้นจะปรากฏตัวเข้ามาเช่นนี้พร้อมกับแสดงท่าทีให้เห็นว่าเขาจะไม่เรียกร้องเงินเดือนจริงๆ ดูท่าตอนนี้หากจะไล่ไปมันก็น่ากระอักกระอ่วนใจแล้วสิ
ขณะที่เย่เย่กำลังครุ่นคิดถึงวิธีการที่จะจัดการกับเจิ้งซูตรงหน้านั้น เสี่ยวหยูก็เกิดสนใจในสิ่งที่เจิ้งซูพูดขึ้นมา นางรีบเดินเข้าไปดูเจิ้งซูด้วยแววตาที่เปล่งประกาย จากนั้นก็ถามไถ่เพื่อความชัดเจน “เจ้าพูดจริงๆเหรอ? เจ้าจะทำงานโดยไม่เรียกร้องเงินตอบแทนจริงๆใช่ไหม?”
“แน่นอน!”
เจิ้งซูพยักหน้าให้แก้เสี่ยวหยูด้วยความจริงใจในสายตา
“ดีเลย! ข้าชื่นชมในความถวายตัวของเจ้า ตอนนี้เจ้าเป็นลูกจ้างของร้านนี้แล้ว!”
เสี่ยวหยูตบบ่าของเจิ้งซูด้วยสีหน้ามีความสุข ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเจิ้งซูเป็นใครมาจากไหน แต่นี่มันก็เหมือนฝันเลยที่จะมีลูกจ้างโดยที่ไม่ต้องใช้เงิน แถมคนคนนี้ยังมาเสนอตัวถึงหน้าประตูด้วย เพราะงั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่เสี่ยวหยูจะปฏิเสธทั้งนั้น
แม้ว่าทางเย่เย่คิดจะปฏิเสธเจิ้งซู แต่เมื่อเห็นแววตาที่สุดแสนจะพอใจของเสี่ยวหยูแล้ว ถึงตัวเองจะไม่ชอบปัญหา แต่ก็ไม่ได้กลัวซะทีเดียว ในเมื่อเจิ้งซูนั้นได้รับความเห็นชอบจาก เสี่ยวหยู บางทีนี่อาจจะเป็นชะตาที่ถูกลิขิตไว้ก็ได้
มองเด็กๆทั้งสองคนที่กำลังทำให้ร้านดูมีสีสันมากขึ้น เย่เย่ก็ค่อยๆลดความหวาดระแวงลง เขาคิดในใจว่าถ้าหากเจิ้งซูทำตัวดีๆต่อไปล่ะก็ บางทีในอนาคตเขาอาจจะช่วยให้อีกฝ่ายปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาก็ได้
วันรุ่งขึ้น เย่เย่ตั้งชื่อร้านของเขาอย่างเป็นทางการแล้วว่า “หอการค้าหยูเย่” จากนั้นเขาก็ไปขอให้ช่างไม้ช่วยสลักป้ายให้และนำมาติดที่หน้าประตู
เสี่ยวหยูดูป้ายชื่อร้านหยูเย่หอการค้าแล้วก็รู้สึกหลงใหลราวกับเธอได้ลิ้มลองน้ำผึ้งอันเลอค่า ต่างกับเย่เย่ที่ตัวเขานั้นไม่มีเวลามาคิดชื่นชมสิ่งนี้มากนัก หลังจากที่ให้เจิ้งซูส่งจดหมายเชิญไปยังร้านค้าอื่นๆในละแวกนี้แล้ว เขาก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการประมูลทันที
ในเย็นวันนั้น งานประมูลครั้งแรกของหอการค้าหยูเย่ก็ได้ถูกจัดขึ้นดั่งที่วางแผนไว้และมันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดมากๆที่หอการค้าเปิดใหม่แห่งนี้จะได้รับความสนใจขนาดที่ค้นล้นระดับนี้ ผู้คนส่วนใหญ่นั้นถูกสมบัติล้ำค่าในจดหมายเชิญของเย่เย่ล่อมา
คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางความคึกคักค่อยๆเดินเข้ามาภายในหอการค้า
ชายตัวเตี้ยและอ้วนผู้เป็นเจ้าของร้านแลกเงินชิงหลง มาในชุดที่ดูงดงาม เพราะเขานั้นถือว่าตนเองเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในย่านนี้ รวมไปถึงเขานั้นเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากด้วย
ทางด้านซ้ายของชายอ้วนเตี้ยนั้นมีชายร่างสูงและผอมบางมาด้วย เขาคนนี้คือเจ้าของกิจการร้านอาหารฉางเฟิง ตัวเขาเองก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งที่มีฐานะด้อยกว่าชายอ้วนเตี้ยนิดหน่อยเท่านั้น
ส่วนอีกคนหนึ่ง สาวอวบที่เดินเข้ามาทางด้านขวาของชายอ้วนเตี้ยคือเจ้าของโรงเตี๊ยมเหรินซิง ความสวยงามของนางนั้นแพร่หลายไปทั่วทั้งย่านจนนางกลายเป็นสาวในฝันของผู้ชายเกือบทุกคนไปแล้ว
ทันทีที่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 นี้ปรากฏตัวขึ้น แขกมากมายก็เข้ามาอยู่โดยรอบของพวกเขาจนพื้นที่ภายในที่คิดว่าน่าจะจัดเตรียมไว้อย่างเหมาะสมโดยเจิ้งซูและเสี่ยวหยูแล้วนั้นยังดูคับแน่นขึ้นมาทันที แต่บรรยากาศภายในกลับมีชีวิตชีวาเพราะความอัดแน่นนี้ด้วย
“ท่านซุน ท่านคิดว่าหอการค้าหยูเย่ที่เพิ่งจะก่อตั้งได้ไม่นาน กล้าที่จะจัดงานประมูลภายในแบบนี้น่ะ พวกเขาจะมีใครหนุนหลังอยู่หรือเปล่าน่ะ?”
เฉินเชียนซิง ชายอ้วนเตี้ยที่เพิ่งจะนั่งลงไปเอ่ยถามซุนเชียน ชายร่างสูงโปร่งที่อยู่ข้างๆกัน ถึงแม้ว่าทำเลที่ตั้งของหอการค้าหยูเย่แห่งนี้จะตั้งอยู่ในย่านที่ตกต่ำมากที่สุด และถือเป็นโถงประมูลที่ดูค่าน้อยที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเห็น แต่ เฉินเชียนซิงกลับไม่ได้แสดงท่าทีเหยียดหยามออกมาเลย ราวกับเขาเชื่อมั่นในตัวหอการค้าแห่งนี้อยู่ไม่น้อย
“ท่านเฉินจะคิดมากไปแล้ว ถ้าหากหอการค้าหยูเย่มีใครหนุนหลังจริงๆ พวกเขาไม่จำเป็นต้องจัดงานประมูลอย่างเร่งรีบแบบนี้เพื่อกระจายชื่อเสียงหรอก ถึงแม้ว่าพวกนี้จะบอกว่ามีสมบัติอยู่ในงานประมูลด้วย แต่ข้าว่าพวกเขาไม่น่าจะนำมันออกมาได้จริงอย่างที่กล่าวไว้แน่ๆ มาค่อยๆรอดูกันดีกว่า”
ซุนเชียนนั้นเป็นคนละเอียด เขามองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งไปหมด ในขณะที่กำลังลูบเคราแพะของตนเองนั้น เขาก็ค่อยๆวิเคราะห์สถานการณ์ให้เฉินเชียนซิงฟังพร้อมกับเหตุผลที่หอการค้าหยูเย่ต้องทำแบบนี้ ชัดเจนเลยว่าลึกๆแล้วเขากำลังเยาะเย้ยที่นี่อยู่