ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 46 ซื้อกิจการ
เมื่อได้เห็นท่าทีที่ดูจริงจังแบบเดาทางไม่ถูก เสี่ยวหยูก็รีบพยักหน้าและพร้อมที่จะทำตามที่เย่เย่สั่งทันที ถึงแม้ว่านางจะยังไม่เข้าใจว่าเย่เย่กำลังคิดอะไรอยู่ก็ตาม แต่นางก็เชื่อว่าเย่เย่นั้นมีความสามารถมากพอที่จะทำให้หอการค้าหยูเย่แห่งนี้เจริญเติบโตยิ่งๆขึ้นไปได้อย่างแน่นอน
ยามที่เห็นเสี่ยวหยูให้คำสัญญาแล้ว เย่เย่ก็เผยรอยยิ้มผ่อนคลายออกมา ในค่ำคืนนั้นเขานำเงิน 600,000 เหรียญทองที่ได้จากการประมูลนั้นมอบให้กับเสี่ยวหยูเพื่อให้นางคอยหาซื้อสิ่งของมาเติมที่ร้านรวมถึงไว้ใช้ในการขยายธุรกิจของหอการค้าต่อไปอีก
ในส่วนของเงินที่เหลือ 530,000 เหรียญทองนั้นเขานั้นมันไปแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญจักรวาลทั้งหมดและได้มา 5,300 เหรียญอยู่ในระบบ
“โอ๊ะ นี่สรุปจะให้ของสมนาคุณแค่ 2 ครั้งจริงๆงั้นเหรอ? ไม่ว่าจะเติมเงินไปมากขนาดไหนในอนาคตก็จะไม่ได้ของสมนาคุณแล้วเหรอ? สวัสดิการห่วยชะมัด!”
เย่เย่นั้นคิดว่าเขาคงจะต้องได้ของสมนาคุณจากระบบบ้างแน่ๆจากการเติมเงินครั้งนี้ ทว่าหลังจากที่รออยู่พักใหญ่ๆ ระบบก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรเขาเลย ดังนั้นเขาคงทำได้แค่ยอมรับความจริง
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้เห็นยอดเงินที่มีมากถึง 5,300 เหรียญจักรวาลแล้วมันก็ทำให้เย่เย่อดที่จะตื่นเต้นขณะเข้าไปเช็กดูสิ่งของที่ต้องการในหน้าต่างๆไม่ได้
“กระบวนท่าพญางูหวนกลับ กระบวนท่าระดับสูงของจิตวิญญาณแห่งงูจงอาง ใช้ได้กับระดับเทพยุทธ์ ราคา 2,500 เหรียญจักรวาล!”
“เกราะมังกรเมฆา เหมาะสำหรับเทพยุทธ์ ทำให้การโจมตีที่เข้ามาโดยตรงไม่เกิดผล ราคา 2,500 เหรียญจักรวาล!”
“ดาบคลื่นสวรรค์! อาวุธโจมตีที่ดีที่สุดสำหรับเทพยุทธ์ ราคา 2,300 เหรียญจักรวาล!”
“วังวนเทพวายุ! พลังแห่งธาตุลมสำหรับเทพยุทธ์ กระบวนท่าระดับสูง ราคา 2,000 เหรียญจักรวาล!”
….
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่จำนวนเหรียญจักรวาลของเย่เย่นั้นสูงจนสามารถมองของที่ราคาสูงเช่นนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่า ทักษะ รวมไปถึงอาวุธต่างๆ กระนั้นแล้วเขาก็รู้ตัวเองดีว่าตนนั้นยังไม่สามารถฝึกฝนหรือใช้อาวุธในระดับเทพยุทธ์ได้อย่างเต็มที่แม้จะแลกมาได้ก็ตาม เพราะฉะนั้นแล้วหลังจากสยบความเร่าร้อนในดวงตาได้ ความยับยั้งชั่งใจของเย่เย่ก็สั่งให้เขาใช้เงิน 2,500 เหรียญจักรวาลเพื่อแลกเกราะมังกรเมฆามาใช้แทน
เพราะจากการที่เขาฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธเพื่อใช้สำหรับต่อสู้ มันทำให้ตัวเขาไม่ต้องรีบร้อนที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งในด้านพลังโจมตีไปพักใหญ่ๆเลย แต่หลังจากที่เขานำเกราะเหล็กดำไปขายประมูลเมื่อครั้งล่าสุดแล้ว พลังป้องกันของเย่เย่ก็กลายเป็นจุดบอดแทน ดังนั้นแล้วเขาจึงแลกเอาเกราะมังกรเมฆามาสวมเพื่อปิดจุดบอดนี้ และทำให้พลังป้องกันกลายเป็นเรื่องหายห่วงไปอีกพักใหญ่ๆ
ด้วย 2,800 เหรียญจักรวาลที่เหลือนั้น เย่เย่ต้องการจะแลกเอากระบวนท่ามาฝึกฝน ทว่าด้วยเหตุผลเดิมที่ตัวเขานั้นยังไม่ได้อยู่ในระดับที่จะฝึกวิชาของเทพยุทธ์ได้ ถึงตัวเขาจะก้าวขึ้นเป็นเทพยุทธ์แล้ว วรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ก็ยังนับว่ามีไม่พออยู่ดีแม้จะอยากแค่ไหนก็ตาม
เพราะฉะนั้นแล้ว หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เย่เย่ก็ตัดสินใจที่จะยังไม่ฝึกฝนกระบวนท่าใดๆเพิ่มจนกว่าฝ่ามือคลื่นพิโรธจะบรรลุในระดับสมบูรณ์และหันไปให้ความสำคัญกับการเพิ่มวรยุทธ์ในกายแทน
เขาจ่าย 2,500 เหรียญจักรวาลไปเพื่อแลกยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่มา 2 ขวดซึ่งดูแล้วจะเหมาะกับเขาในตอนนี้มากที่สุด จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ลงไปและค่อยๆเริ่มสกัดพลังจากยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ควบคู่ไปกับการฝึกฝนทันที
หลังจากที่แลกเปลี่ยนทั้งสองอย่างนั้นแล้ว เย่เย่ก็ยังเหลือเหรียญจักรวาลอยู่อีก 300 เหรียญในระบบ
แต่ด้วยสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ เขาพอใจแล้ว นอกจากนั้นเขายังเชื่ออีกว่าอีกไม่นาน เดี๋ยวยอดเงินมันคงจะกลับมามั่งคั่งดังเดิมแน่ๆ ดังนั้นแล้วจึงไม่ได้รู้สึกเสียดายกับการใช้จ่ายระดับนี้ไป
ในขณะที่เย่เย่กำลังดื่มด่ำกับการสกัดพลังจากเม็ดยา ชื่อเสี่ยงของหอการค้าหยูเย่และตัวเย่เย่เองก็แพร่หลายไปกว้างขวาง ณ ตอนนี้ไม่เพียงแค่ย่านที่ร้านค้าตั้งอยู่แล้ว แต่กว่าครึ่งหลิงเฉิงนั้นล้วนรู้กันถ้วนหน้าแล้วว่าที่หอการค้าหยูเย่แห่งนี้มีสมบัติหายากหลุดออกมาในงานประมูลครั้งล่าสุด
นั่นจึงทำให้งานภายในหอการค้าหยูเย่นั้นมีมากล้นเพราะลูกค้าที่เข้ามาไม่ขาดสายเลย งานเหล่านี้หนักขนาดที่ว่าแม้จะได้เจิ้งซูมาช่วยแล้วก็ยังไม่พอ พวกเขารู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ร้านนั้นขาดคนงานสุดๆ และด้วยความจนตรอก เสี่ยวหยูก็จำเป็นต้องกัดฟันแล้วจ้างคนงานเพิ่มอีกมากมายซึ่งในท้ายที่สุดนางก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
ระหว่างที่หอการค้าหยูเย่นั้นกำลังขาขึ้นสุดๆ หอการค้าแห่งอื่นๆในหลิงเฉิงก็เริ่มหันมาให้ความสนใจกับที่แห่งนี้มากขึ้น กลุ่มคนที่เห็นว่าดูจะเป็นเดือดเป็นร้อนสุดก็เห็นจะเป็นเหล่าเจ้าของกิจการหอการค้าขนาดเล็กรวมไปถึงร้านค้ายิบย่อยที่รู้ข่าวเรื่องความสำเร็จของหอการค้าหยูเย่นี้
หนึ่งในนั้นไม่ใช่ใครอื่น เจ้าของหอการค้าตงหยวน เสวี่ยหยู นางนั้นไม่รอช้าที่จะให้คนไปสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับหอการค้าหยูเย่ทันทีที่ข่าวเริ่มแพร่กระจาย
เมื่อได้รับรู้ว่าเจ้าของกิจการหอการค้าหยูเย่นั้นชื่อเย่เย่ นางก็เข้าใจว่าคนคนนั้นอาจจะเป็นแค่คนที่ชื่อเหมือนและนามสกุลเหมือนเท่านั้น ดังนั้นแล้วจึงไม่ได้สงสัยเลยว่าคนคนนี้อาจจะเป็นผู้ที่ขายโสมราชาแก่ให้นางก็ได้ ยังไงเสียสิ่งที่นางสนใจที่สุดก็คือวิธีที่หอการค้าหยูเย่ได้ผ้าคลุมล่องหนและเกราะเหล็กดำมาต่างหาก
ในวันนั้น เสวี่ยหยูตัดสินใจไปยังหอการค้าหยูเย่ด้วยตัวของนางเองพร้อมกับชายสูงอายุที่ดูแข็งแกร่งคนหนึ่ง จุดประสงค์ที่นางยอมถ่อมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองนั้นก็เพราะว่าอยากจะหารายละเอียดเพิ่มเติมของหอการค้าหยูเย่ ถ้าหากว่าน่าสนใจ เสวี่ยหยูก็วางแผนที่จะซื้อหอการค้าแห่งนี้ไว้เป็นของตนเองเพื่อที่จะช่วยพัฒนาหอการค้าตงหยวนในภายภาคหน้า
ชายชราผู้มากับนางนั้นคือเสวี่ยจ้าน เขาเป็นเทพยุทธ์ที่ถูกตระกูลเสวี่ยเพื่อให้คอยดูแลความปลอดภัยของเสวี่ยหยู และเหตุผลที่เสวี่ยหยูมาพร้อมกับเสวี่ยจ้านนั่นก็เพราะว่านางได้ยินมาว่าผู้เป็นเจ้าของกิจการหอการค้าหยูเย่แห่งนี้นั้นเป็นถึงเทพยุทธ์ นางเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่อ่อนโยนกับนางและมันจะพาลทำเอาแผนที่วางไว้ล่มไปด้วย
เสวี่ยหยูนั้นวางแผนและคาดเดาเหตุการณ์ไว้เกือบทั้งหมดแล้ว ทว่าเมื่อนางได้มาพบเย่เย่ด้วยตนเอง ทุกอย่างที่คิดไว้มันก็กระเจิงหายไปหมด ดูเหมือนว่าการที่เย่เย่ยืนอยู่ตรงหน้านางนั้นมันจะยากเกินกว่าที่จะยอมรับได้ว่าเป็นความจริง
“ท-ทำไมถึงเป็นท่านไปได้น่ะ? เมื่อไม่นานมานี้ท่านเพิ่งจะเป็นจ้าววรยุทธ์เองไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้ท่านกลายเป็นเทพยุทธ์ไปแล้วล่ะ?”
มองไปยังใบหน้าของคนตรงหน้าแล้วเสวี่ยหยูก็ตกใจจนอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัยแบบสุดๆ
“นายหญิงเสวี่ย รู้จักกันมาก่อนหรือขอรับ?”
เสวี่ยจ้านที่คอยช่วยเหลือเสวี่ยหยูนั้นเตรียมจะทำตัวหัวโบราณงัดเอาพลังแห่งเทพยุทธ์สุดแกร่งของเขาออกมา แต่เมื่อเขาเห็นว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนั้นไม่เหมือนกับที่คิดไว้ซะทีเดียว เขาเลยรั้งการกระทำไว้ก่อน
“ข้าเคยเจอเขาเมื่อเดือนก่อนและเขาเนี่ยแหละ คนที่ขายโสมราชาแก่ให้หอการค้าตงหยวนของพวกเรา!”
เสวี่ยหยูหันไปพูดเสียงเบาๆกับเสวี่ยจ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ ขณะที่ตาของเสวี่ยจ้านไม่ละไปจากเย่เย่เลยราวกับกำลังพยายามอ่านใจเขาอยู่
ในแววตาของเสวี่ยจ้าน มันมีแสงสว่างอยู่เพียงน้อยนิดอันเนื่องมาจากประสบการณ์การพบปะผู้คนมามากมายมันจึงทำให้เขาไม่ได้เป็นมิตรกับคนนอกเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เสวี่ยหยูมาที่นี่เพื่อเจรจาธุรกิจซึ่งเกี่ยวพันกับหอการค้าตงหยวนโดยตรง ดังนั้นแล้วแม้เสวี่ยหยูจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ของตระกูล แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหากเขาเผลอเอื้อมมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้มากเกินไป
“อ้าว นายหญิงเสวี่ยหยู สบายดีไหม?”
เย่เย่ไม่ได้ตอบคำถามของเสวี่ยหยู เขาโค้งทำความเคารพให้นางและเชิญแขกทั้งสองไปยังสวนด้านหลังของหอการค้าเพื่อพูดคุยกัน
สายตาของเย่เย่เหลือบมองผ่านเสวี่ยจ้านโดยไม่ได้ตั้งใจ เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากชายคนนี้และเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายนั้นต้องเป็นเทพยุทธ์ที่แข็งแกร่งอีกคนหนึ่งแน่ๆ แต่กระนั้นสีหน้าของเย่เย่ก็ไม่ได้แสดงความคาดไม่ถึงใดๆออกมา นั่นเพราะถึงแม้ตระกูลเสวี่ยจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่ในหลิงเฉิง แต่การมีอยู่ของเทพยุทธ์ในตระกูลน่ะ มันไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินเอื้อมอยู่แล้ว
เมื่อครั้งที่เย่เย่สกัดพลังจากยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่เสร็จ เขาได้รับข่าวมาว่าเสวี่ยหยูมาเยี่ยม ในตอนนั้นเขาได้คิดถึงความเป็นไปได้ของเหตุผลที่อีกฝ่ายมาหาถึงที่นี่ไว้มากมาย แต่ในท้ายสุด เย่เย่ก็ไม่ได้เลือกที่จะหลบหน้าแต่อย่างใด กลับกันเขากลับเลือกที่จะไปต้อนรับเสวี่ยหยูด้วยตนเองแทน
“ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ เมื่อครู่นี้ข้าใจร้อนไปหน่อย ถ้ายังไงข้าขอแนะนำตัวอีกครั้งหนึ่ง ข้ามีนามว่าเสวี่ยหยู เป็นเจ้าของหอการค้าตงหยวน ส่วนท่านผู้นี้คือเสวี่ยจ้าน เป็นผู้อาวุโสของตระกูลเสวี่ย ได้โปรดให้อภัยที่ตัวข้านั้นบุ่มบ่ามมาที่นี่โดยไม่ได้นัดแนะท่านไว้ล่วงหน้า”
หลังจากที่ตระหนักได้แล้วว่าคำถามก่อนหน้าของตนนั้นดูจะรีบร้อนไปหน่อย นางจึงรีบกล่าวขอโทษจากเย่เย่พร้อมกับแนะนำตัวเสวี่ยจ้านให้เย่เย่รู้จัก
เย่เย่โบกมือราวกับเขาไม่ได้ใส่ใจอะไร และเมื่อ เจิ้งซูรินชาให้พวกเขาแล้ว เขาก็ไม่รอช้าที่จะเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมากับเสวี่ยหยูเลย “แล้วเหตุอันใดที่ทำให้นายหญิงแห่งหอการค้าตงหยวนอุตส่าห์สละเวลามายังหอการค้าหยูเย่กันล่ะ?”
เสวี่ยหยูไม่คาดคิดเลยว่าเย่เย่จะถามนางตรงๆเช่นนี้ เพราะงั้นนางจึงลิ้นพันกันพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ๆ แต่อย่างไรเสียท้ายสุดก็สามารถคุมสีหน้าให้กลับมายิ้มอย่างสุภาพให้เย่เย่ได้ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าได้ยินมาว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนงานประมูลครั้งแรกของหอการค้าหยูเย่นั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ดังนั้นข้า เสวี่ยหยู จึงตั้งใจจะมาแสดงความยินดีกับหอการค้าแห่งนี้ด้วย แต่ข้าไม่คาดคิดจริงๆว่าเจ้าของหอการค้าหยูเย่จะเป็นท่าน นี่มัน ราวกับถูกกำหนดไว้อยู่แล้วเลยว่าพวกเราต้องกลับมาเจอกันอีก!”
“เช่นนั้นเอง ข้า เย่เย่ ต้องขอขอบคุณในความมีไมตรีของท่าน แต่การที่นายหญิงเสวี่ยมาด้วยตนเองเช่นนี้ คงไม่ใช่ว่ามาแสดงความยินดีกับข้าหรอกใช่ไหม? ถ้าหากท่านมีจุดประสงค์อื่นใดก็ขอให้พูดมาได้เลย อย่าได้เกรงใจ!”
หลังจากที่กล่าวขอบคุณเสวี่ยหยูแล้ว เขาก็ยังคงไม่ละสายตาจากเสวี่ยหยูราวกับว่าพยายามเข้าประเด็นเดิมเพื่อไม่ให้เสียเวลามากไปกว่านี้
เห็นดังนั้น เสวี่ยจ้านก็เริ่มขมวดคิ้วและเริ่มไม่พอใจเย่เย่ขึ้นมาทีละนิด แต่เมื่อเขาเตรียมจะระเบิดความโกรธออกมา เสวี่ยหยูก็ยกมือขึ้นห้ามเขาไว้ก่อน
“งั้นข้าจะไม่เกรงใจก็แล้วกัน ถึงแม้ว่าหอการค้าหยูเย่ของท่านจะประสบความสำเร็จในการประมูลที่จัดเมื่อไม่กี่วันก่อนจนชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ในหลิงเฉิงก็ยังมีหอการค้าเล็กๆน้อยๆอีกมากมายที่เหมือนๆกับหอการค้าหยูเย่ และพวกเขาเกือบทั้งหมดล้วนไม่มีทางรอดพ้นปีนึงไปได้ นี่มันเร็วเกินไปที่ท่านเย่จะมีความสุข”
นางพูดถึงสถานการณ์ภายภาคหน้าที่หอการค้าหยูเย่จะต้องเจอ จากนั้นจึงเริ่มพูดต่อด้วยความจริงจัง “ท่านรู้หรือเปล่าว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ส่วนหนึ่งก็เพราะหอการค้าขนาดใหญ่นั้นคอยกดหัวไว้ และอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่าเป็นส่วนสำคัญเลยนั่นก็คือ ความไม่มั่นคงในการหาของล้ำค่ามาให้หอการค้าของตนเองยังไงล่ะ! บางทีพวกเรา หอการค้าขนาดเล็กก็จำเป็นต้องร่วมมือกันจัดงานประมูลเพื่อนำของในร้านออกมาประมูล ทั้งนี้ก็เพื่อให้สามารถดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้นกว่าจัดการประมูลด้วยตนเอง”
พูดถึงจุดนี้เสวี่ยหยูก็ถอนหายใจแบบช่วยไม่ได้ออกมา นั่นเพราะหอการค้าตงหยวนของนางเองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหอการค้าที่เลอค่ามากที่สุดท่ามกลางหอการค้าขนาดเล็กเองก็ยังไม่มีค่าอะไรให้พูดถึงเมื่อเทียบกับหอการค้าขนาดใหญ่กว่าเลย หลายต่อหลายครั้งที่กิจการของนางต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมายและไปฟื้นฟูได้หลังจากการร่วมกันจัดงานประมูล
เพราะแบบนี้ การจัดงานประมูลร่วมกันของหอการค้าขนาดเล็ก จึงเป็นเรื่องปกติภายในหลิงเฉิงไปแล้ว ทุกๆครั้งพวกเขาจะมีสมบัติหายาก 1-2 ชิ้นและจัดงานประมูลให้ใหญ่โตเพื่อดึงดูดลูกค้า และเหตุผลที่ต้องเป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะขนาดของหอการค้าเล็กๆเพียง 1 แห่งนั้นไม่เพียงพอที่จะดึงดูดผู้คนให้มากพอนั่นเอง การจัดงานประมูลประเภทนี้นั้นถือว่าได้ผลดีเลยทีเดียว บางครั้งหากหอการค้าที่ร่วมในงานประมูลนั้นมีกำลังมากพอ ก็สามารถจัดงานที่ใหญ่ไม่น้อยหน้าหอการค้าขนาดใหญ่ได้เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม เย่เย่นั้นไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้นขณะที่นั่งฟังอยู่อย่างนี้ เสวี่ยหยูเมื่อเห็นว่าเย่เย่ไม่ได้พูดอะไร นางก็ตัดสินใจพูดจุดประสงค์ของนางออกไปตรงๆ “เพราะงั้นแล้วกิจการหอการค้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแบบที่ท่านเย่คิดอยู่หรอก ถ้าหากท่านเย่คิดจะถอนตัว มันยังพอมีเวลา พวกเรา หอการค้าตงหยวนจะเป็นคนรับช่วงต่อของทุกชิ้นของหอการค้าหยูเย่เอง ท่านเย่ ท่านสามารถเสนอราคาได้นะ! ตราบใดก็ตามที่ราคานั้นสมเหตุสมผล พวกเราก็จะได้สามารถเจรจากันต่อได้ง่ายๆ!”
หลังจากที่พูดจบ เสวี่ยหยูก็นั่งลงและจิบชาเบาๆ จากนั้นนางก็สบตามองเย่เย่ราวกับรอคำตอบเขาอย่างใจจดใจจ่อเลย เสวี่ยจ้านเองก็คอยจับตาดูเย่เย่อยู่ เขาอยากให้เรื่องนี้จบลงด้วยดีขนาดที่ค่อยๆปล่อยพลังของเทพยุทธ์ในตัวเขาออกมาด้วย ซึ่ง เย่เย่เองก็สามารถรู้สึกได้ถึงแรงกดดันนี้ดี
ตอนนั้นเอง เย่เย่จู่ๆก็ยิ้มขึ้นมาโดยไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงยกนิ้วขึ้นมา 3 นิ้วให้เสวี่ยหยูเท่านั้น
“ สามแสนงั้นหรือ?”
เสวี่ยหยูขมวดคิ้วช้าๆก่อนจะคิดตริตรองอีกครั้ง แล้วจึงพูดกลับไป “ถึงแม้ว่าของส่วนใหญ่ในร้านแห่งนี้จะดูไม่ได้มีค่าสูงถึงขนาดนั้น แต่เพราะมูลค่าทางการตลาดของที่นี่ในปัจจุบันนั้นถือว่าสูงขึ้นมามากพอตัว เช่นนั้นแล้ว 300,000 เหรียญทองนั้นถือว่ายังพอรับได้”
กระนั้นเย่เย่กลับค่อยๆส่ายหน้าช้าๆและกระดิกนิ้วทั้งสามใหม่อีกครั้งโดยที่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังไม่จางหายไปไหนแม้แต่นิดเดียว