รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 134
บทที่ 134 เสี่ยวชีฉันไม่อยากเสียเธอไป
ในร้านกาแฟที่เงียบสงบ โจ่วซินที่สีหน้าดูทรุดโทรมนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ใช้ช้อนไปคนแก้วกาแฟบ่อยๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความกังวล
“ตกลงเรื่องอะไร?” หลินเวยมี่นั่งลงตรงหน้าเธอ มองไปทางใบหน้าที่ทรุดโทรมของโจ่วซิน ในใจแอบคิดนี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น? แต่โจ่วซินก็ไม่จำเป็นต้องมาหาตัวเองนี่
“จุนเฟิงยืนยันจะหย่ากับฉัน” โจ่วซินใช้เสียงที่แหบๆ พูด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและไม่ลืมพูดอีกคำว่า “เป็นเพราะเธอคนเดียว!”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วแน่น จิบกาแฟแล้วถามว่า “ที่เธอหาฉันมาก็เพื่อเรื่องนี้หรอ?”
โจ่วซินเงยหน้าขึ้น จิกตาไปทางเธอและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ไม่อย่างงั้นล่ะ? เธอคิดว่าฉันหาเธอเพราะเรื่องอะไร? เธอไม่รู้ข้อดีข้อเสียในเรื่องนี้เลย! เธอรู้อะไรบ้าง!”
โจ่วซินเสียการควบคุมตัวเองไปแล้ว หลินเวยมี่กระแอมเบาๆ และถามต่อว่า “เธอใจเย็นๆ ก่อน ข้อดีข้อเสียในเรื่องนี้เธอไม่พูดแล้วฉันจะรู้ได้ยังไง?”
โจ่วซินจิกตาไปทางเธอ เก็บความโกรธของตัวเองไว้ในใจและพูดทีละถ้อยคำว่า “จุนเฟิงเป็นถึงนายกเทศมนตรี จะมีข่าวฉาวแม้แต่น้อยก็ไม่ได้ พวกเราเพิ่งแต่งงานกันไม่นาน ถ้าหย่ากันกะทันหันจะกระทบต่ออนาคตของเขา”
หลินเวยมี่ตกใจ เพราะสาเหตุนี้เอง เธอแค่นึกไปถึงสีหน้าที่ดูเด็ดขาดของกู้จุนเฟิงก็รู้แล้วว่าเขาไม่สนใจอนาคตของตัวเองแล้วจริงๆ
เธอจะเห็นกู้จุนเฟิงทำลายอนาคตที่เขาพยายามมาตั้งนานพังไม่ได้
“ฉันจะหาโอกาสไปพูดกับเขา” หลินเวยมี่ถอนหายใจแล้วพูด
โจ่วซินเงยหน้ามองไปทางเธอ พูดด้วยน้ำเสียงที่แปลกๆ ว่า “ใครจะไปรู้ว่าพวกเธอจะหนีไปด้วยกันอีกไหม!”
หลินเวยมี่ได้ยินที่โจ่วซินพูดสีหน้าของเธอก็ไม่มีเปลี่ยนแปลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่เฉยชาว่า “ถ้าพวกเราจะหนีไปจริงๆ เธอคิดว่าเธอจะหาพวกเราเจอหรอ?”
พอได้ยินเธอโต้กลับแบบนี้ สีหน้าของโจ่วซินเปลี่ยนไปทันที บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ห้องทำงาน กลางคืนก็ไม่กลับ เธอหาเวลาไปเถอะ แต่ดีที่สุดอย่าไปรบกวนเขาทำงาน” คำพูดที่โจ่วซินพูดนั้นฟังออกได้ชัดมากว่าไม่อยากให้เธอใกล้ชิดกับกู้จุนเฟิงมาก
หลินเวยมี่ยิ้มที่มุมปาก มองไปทางโจ่วซินแล้วส่ายหัว
พอเห็นท่าทางที่หลินเวยมี่ส่ายหัว ยิ่งทำให้โจ่วซินโกรธไปใหญ่ เธอจิกตาและพูดด้วยความไม่พอใจว่า “เธอใส่หัวทำไม?”
“ฉันก็แค่รู้สึกเศร้าแทนจุนเฟิง ไม่แปลกหรอกที่เขาจะหย่ากับเธอ”
“หลินเวยมี่! เธออยากได้คือเอาศอก! ถ้าไม่ใช่เพราะฉันไม่มีวิธีอื่นเธอคิดว่าฉันจะมาหาเธอหรอ?”
โจ่วซินโมโห ตบไปที่โต๊ะแรงๆ และยืนขึ้น
หลินเวยมี่เงยหน้ามองไปทางเธอและพูดว่า “โจ่วซิน ถ้าเธอเป็นห่วงเขามากกว่านี้ เรื่องก็อาจจะไม่ถึงจุดจุดนี้ ไม่ใช่วันๆ เอาแต่ไปสืบว่าเขาไปสนิทสนมกับใครและอยู่กับใคร”
โจ่วซินอึ้งไปสักแป๊บ ม่านตาหดตัว “เรื่องของฉันเธอไม่ต้องมายุ่ง”
พูดจบเธอก็หยิบเสื้อกันหนาวแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เหมือนไม่อยากอยู่ในที่เดียวกันกับหลินเวยมี่
หลินเวยมี่ยิ้มอ่อนๆ มองไปทางทางเดินที่เต็มไปด้วยผู้คน อารมณ์ของเธอในตอนนี้นิ่งมาก แต่พอนึกไปถึงเรื่องที่จะไปพบกับกู้จุนเฟิง เธอก็ยังรู้สึกกังวล
เพราะวันนั้นเธอไม่สนใจเขาและไปกับฉู่เฉินซี ตอนนี้ก็ยังคงรู้สึกผิดต่อเขา
ในห้องทำงาน กู้จุนเฟิงก้มหน้าเคลียร์เอกสารอยู่ ประตูถูกเปิดกะทันหันและมีเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้น
“วางบนโต๊ะเสร็จก็ออกไปเลย” กู้จุนเฟิงไม่ได้ไงหน้าขึ้น เพราะคิดว่าเป็นเลขาที่ชงกาแฟให้
“นายกยุ่งจริงๆ ” เสียงผู้หญิงที่เย็นชาดังขึ้นในห้องทำงาน
มือของกู้จุนเฟิงที่จับปากกาหยุดนิ่งไปและไงหน้ามองไปทางคนที่พูด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสุขุมแล้วพูดว่า “เธอมาที่นี่ทำไม?”
“มาหานายกก็ต้องมีธุระสิ” ผู้หญิงไปดึงเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าเขาและนั่งลงไป “ภารกิจยังทำไม่เสร็จนายก็อยากจะไปแล้วหรอ? นายไม่อยากได้ของที่ไหนต้องการแล้วหรอ?”
ม่านตาของกู้จุนเฟิงหดตัว ดวงตาที่คมลึกประกายแสงออกมา “ถ้าฉันอยากจะออกล่ะ?”
“มีอยู่จุดจบเดียว” เสียงของผู้หญิงเย็นชามาก “คนตายคือคนที่พึ่งได้มากที่สุด ฉันคิดว่านายกคงไม่อยากจะเป็นคนตายมั้ง?”
มือของกู้จุนเฟิงที่จับปากกาไว้เริ่มออกแรงเยอะ แต่บนใบหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งเหมือนเดิม
“ขอคิดดูก่อน”
“ไม่ใช่ทุกเรื่องจะมีโอกาสคิด ฉันต้องการคำตอบภายใน1นาที จะเป็นหรือตาย” ผู้หญิงไม่ให้โอกาสเขาเลยแม้แต่น้อยพูดดำน้ำเสียงที่เยือกเย็น
กู้จุนเฟิงเม้มปาก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโหดร้าย ผู้หญิงคนนี้กล้าขู่เขา!
ทั้งสองคนแอบสบตากันเงียบๆ เหมือนกำลังแข่งความอดทนอยู่
“พวกเธอต้องการให้ฉันทำอะไร?” กู้จุนเฟิงถอนหายใจ รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองทำยังไงก็ลำบาก
“หากุญแจหนึ่งด้าน”
กู้จุนเฟิง พยักหน้าและหรี่ตา “ข้อมูลหล่ะ?”
“หลินเวยมี่” เสียงของผู้หญิงยังคงเย็นชาเหมือนเดิม เหมือนเป็นเสียงที่ดังขึ้นมาจากนรกแม้กระทั่งคำพูดก็ไม่มีคลื่นแม้แต่น้อย
กู้จุนเฟิงมองไปทางผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่สุขุม เรื่องเกี่ยวกับหลินเวยมี่อีกแล้ว ถ้ามีโอกาสเขาอยากจะหนีจากที่นี่ไปจริงๆ
หลินเวยมี่ออกจากร้านกาแฟก็จะไปหากู้จุนเฟิง ไปถึงที่สถานที่ราชการเธอยังไม่ลงรถก็เห็นคนที่คุ้นเคยแว๊บผ่าน
เธอรีบลงจากรถไปดูคนคนนั้น แต่คนๆนั้นขึ้นรถแท็กซี่ไปแล้ว
หลินเวยมี่ส่ายหัว จะเห็นเธอในที่นี้ได้ยังไง? อาจจะเป็นเพราะต่างฝากก็เป็นไปได้?
เดินเข้าไปในสถานที่ราชการ หลังจากที่มีคนไปบอกถึงจะเข้าไปได้ เปิดประตูห้องทำงาน ก็เห็นกู้จุนเฟิงที่หน้าตึงเครียดนั่งอยู่ข้างโต๊ะทำงาน
สีหน้าของกู้จุนเฟิงในตอนนี้แย่มาก อาจจะเป็นเพราะทะเลาะกับโจ่วซินเรื่องแต่งงานมั้ง?
“เสี่ยวจื๋อ” เธอยิ้มแล้วเข้าใกล้ ความรู้สึกผิดในใจยิ่งอยู่ยิ่งลึก
กู้จุนเฟิงมองไปทางผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ในสมองมีแต่คำพูดที่คนเมื่อกี้พูด เขารู้สึกลังเลมาก
“เสี่ยวชีเธอมาที่นี่ได้ยังไง?” สีหน้าของเขาดูปกติ
หลินเวยมี่ไปนั่งตรงหน้าของเขา แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงกับเขา ห้ามเขาว่าไม่ต้องอยากกลับโจ่วซิน? แต่ถ้าพูดแบบนี้เขาคงจะรู้ว่าโจ่วซินมาหาตัวเองแล้วแน่ๆ
“เสี่ยวจื๋อ เรื่องของวันนั้นฉันขอโทษ” เธอตาตก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ที่จริงเธอเป็นห่วงฉู่เฉินซีมากใช่ไหม? ในใจของเธอยังมีค้างอยู่” ไม่ใช่ประโยคคำถามแต่เป็นคำพูดที่แน่ชัด
“เสี่ยวจื๋อที่ฉันมาวันนี้ไม่ได้จะมาคุยเรื่องนี้ อีกอย่างฉันไม่ได้อยู่กับฉู่เฉินซีแล้ว” พอได้ยินชื่อของฉู่เฉินซี ในใจของหลินเวยมี่ก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“ที่ฉันมาเพราะเรื่องของนาย นายจะหย่ากับโจ่วซินไม่ได้!”
กู้จุนเฟิงมองไปทางเธอ อย่างประหลาดใจ จากนั้นสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปปกติ เพราะเขารู้แล้วว่าเหตุผลที่เธอมาที่นี่เพราะอะไร
“โจ่วซินให้เธอมาหรอ?”
หลินเวยมี่รู้สึกทำตัวไม่ถูกเม้มปากและพูดต่อว่า “นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือนายอย่าไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นไม่มีผลดีกับนายเลยและการงานของนายก็เพิ่งจะเริ่มขึ้น นายจะทำร้ายการงานของตัวเองพังไม่ได้”
กู้จุนเฟิงมองไปทางผู้หญิงที่นั่งตรงหน้า รอยยิ้มที่ขมขื่นปรากฏที่มุมปาก ผู้หญิงคนนี้จะรู้ได้ยังไงว่าทั้งหมดที่เขาทำเพราะเธอคนเดียว
เขาอยากจะให้ท้องฟ้าที่สดใสสะอาดกับเธอแต่ไม่มีความสามารถ ทั้งหมดที่คิดนั้นเป็นเพียงการเพ้อฝัน ถอนหายใจและตอบอย่างไรเรี่ยวแรง “แค่เธอพูดมาฉันก็จะทำตาม”
พอ หลินเวยมี่ ได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกเจ็บใจมากไม่รู้ว่าควรจะตอบเขายังไง เธอรู้สึกว่าที่ตัวเองติดค้างเขายิ่งอยู่ยิ่งเยอะแล้ว
“ที่จริงโจ่วซินรักนายมาก ไม่อย่างงั้นคงไม่แคร์นายขนาดนี้” หลินเวยมี่ก้มหน้าพูดเบาๆ ถ้าจะบอกว่าไม่แคร์ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ว่ายังไงก็เคยแอบชอบกู้จุนเฟิงมานานหลายปี
“แล้วเธอล่ะ?”
หลินเวยมี่ไม่รู้จะพูดยังไง รู้สึกว่าหลายปีนี้ที่ผ่านมา นอกจากเธอจะแอบรักฝ่ายเดียวแล้ว เธอกับเขาไม่คุ้นเคยกันเลย เธอไม่เคยเข้าใจเขามาก่อน
“เสี่ยวจื๋อในบางครั้ง ให้ความทรงจำยังมีภาพอันสวยงามจะดีกว่าไม่ใช่หรอ?”
นัยน์ตาของกู้จุนเฟิงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ที่แท้เขาก็เป็นเพียงความทรงจำของเธอ แล้วฉู่เฉินซีล่ะ? จะเป็นวิวที่สวยที่สุดในโลกของเธอไหม?
ในใจรู้สึกขมขื่น สิ่งที่พลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว ไม่มีวันจะหากลับมาได้อีก
“ไม่ดี” เขายิ้มอย่างขมขื่นที่มุมปากและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดื้อด้าน
ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นหลินเวยมี่อึ้งไปเลย เธอมองไปทางกู้จุนเฟิงนิ่งๆ ไม่รู้ควรจะพูดอะไร
“เสี่ยวชี ฉันไม่อยากพลาดเธอไป”
หลินเวยมี่รู้สึกปวดใจ พวกเขาไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว เขามีโจ่วซินและเธอเองก็มีเยื่อใยกับฉู่เฉินซี ทั้งสองคนไม่เหมือน10ปีก่อนแล้ว
เวลาผ่านไป สิ่งที่เหลือให้ทั้งสองก็มีแต่ความทรงจำ
ไม่ว่าจะอดทนขนาดไหนก็เป็นเพียงก้อนเมฆที่จับต้องไม่ได้ พวกเขาจะอยู่ด้วยกันสองคนโดยที่ไม่คิดอะไรทั้งนั้นไม่ได้แล้ว ระหว่างพวกเขามีอะไรกีดขวางมากมาย
เธอจะให้กู้จุนเฟิงเสียไปทุกอย่างไม่ได้
“เสี่ยวจื๋อ ถ้านายยังเป็นแบบนี้อีก ฉันไปแล้วนะ” ลอยยิ้มเธอแข็งๆ
สีหน้าอันทรมานของกู้จุนเฟิงยากที่จะปกปิด นัยน์เต็มไปด้วยความทุกข์ “ฉันจะไม่หย่ากับโจ่วซิน”
เธอตอบกลับเบาๆ มองไปทางนาฬิกา เธอจะกลับแล้ว ถ้าคุยต่อไปก็ไม่มีงั้นๆ เขาตกลงจะไม่หย่ากับโจ่วซินก็พอแล้ว
“งั้น……ฉันไปแล้ว”
“เสี่ยวชี! ” กู้จุนเฟิงรีบเรียกหลินเวยมี่ที่กำลังจะไปและพูดอย่างลำบากใจว่า “เธอเคยเห็นรูปทรงกุญแจที่พิเศษไหม?”
หลินเวยมี่มองไปทางกู้จุนเฟิงอย่างประหลาดใจ เธอคิดไปถึงกุญแจที่หลินจ่านหงเอาให้เธอ กุญแจที่กู้จุนเฟิงพูดจะคืนกุญแจด้ามนั้นไหม?
“กุญแจอะไร? ฉันไม่รู้”
กู้จุนเฟิงมองไปทางหลินเวยมี่นิ่งๆ คิดว่าเธอไม่สังเกตมาก่อน ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เสี่ยวชี ถ้านึกได้ว่ากุญแจอยู่ที่ไหนก็บอกฉันด้วย”
เธอมองไปทางผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า หัวใจของเธอเริ่มเย็นลงทีละนิดๆ คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าทำไมกู้จุนเฟิงถึงรู้ตัวตนของกุญแจ
“กุญแจด้ามนั้นสำคัญมากเลยหรอ?”