รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 141
บทที่ 141 เธอกำลังหึง
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านตระกูลหลินด้วยกัน ที่น่าตกใจที่สุดก็คืออานหยาน ไม่เพียงแต่เห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน ในเวลานั้นนัยน์ตาแดงระเรื่อ แต่ทางด้านฉู่หรานนี้สิ แค่นเสียงเหอะทำเหมือนไม่เห็นพวกเขา
หลินเวยมี่ก็คร้านจะสนใจพวกเขา ก้าวฉับๆ เดินเข้าห้องของตัวเอง หูกลับได้ยินเสียงนุ่มนวลของอานหยาน
“เฉิน คุณไปไหนมา? โทรหาคุณไม่ติดเลย แล้วทำไมถึงอยู่กับพี่เวยมี่ล่ะ?”
“บังเอิญเจอกันน่ะ”
มุมปากของหลินเวยมี่ยกยิ้มเย็นๆ เธอส่ายหน้าแล้วเดินเข้าห้องไป เธอพยายามมองข้ามความเจ็บปวดในก้นบึ้งหัวใจอย่างสุดความสามารถ
จริงอยู่ที่ฉู่เฉินซีเป็นคนที่ร้ายกาจที่สุด อย่างน้อยก็ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดถึงที่สุดในห้วงเวลานี้
เมื่อเข้ามาในห้อง เธอถอดเสื้อโค้ทวางไว้อีกฝั่ง ในขณะที่กำลังคิดไปห้องอาบน้ำ ก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แม้ว่าภายในห้องจะไม่ต่างจากตอนที่ออกไป ทว่าเธอกลับรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามาในห้องของเธอ อีกทั้งยังเข้ามาหยิบจับข้าวของของเธอด้วย
ตั้งแต่เด็กเธอก็มักรู้สึกไวกับเรื่องพวกนี้ ขอเพียงมีคนสัมผัสสิ่งของของเธอ เธอล้วนรับรู้ได้ ดังนั้นถึงได้มั่นใจว่ามีคนเข้ามาในห้องเธอ ถึงขนาดค้นของของเธอด้วย
เธอนั่งบนเตียงใหญ่เงียบงัน รู้สึกกลัดกลุ้มภายในใจ ใครกันนะที่เข้ามาค้นของของเธอ? มีเป้าหมายอะไร? ภายในห้องของเธอไม่มีของมีค่าเลยนะ
เมื่อชำระล้างร่างกาย เธอก็เดินเอื่อยๆ ลงชั้นล่าง แล้วเก็บตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้อง แต่กลับไม่มีสมาธิเลย อ่านยังไงก็ไม่รู้เรื่อง
“พี่ กลับมาแล้ว” หลินซินหยานเดินเข้ามา ในมือถือถือดอกลิลลี่สีขาวหนึ่งดอก กลิ่นดอกลิลลี่ช่างหอมสะอาดสดชื่น อีกทั้งยามสูดดมเข้าไปยังให้ความรู้สึกสบายอีกด้วย
“ซินหยาน วันนี้บ้านเรามีแขกเหรอ?”
หลินซินหยานอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “ไม่มีหรอก ทำไมเหรอ พี่?”
“แล้วใครเข้าไปในห้องของฉัน?” เธอเอ่ยถามต่อ
หลินซินหรานมองเธอ แล้วตอบอย่างระมัดระวัง “มีของหายเหรอ?”
หลินเวยมี่สังเกตสีหน้าท่าท่างของเธอก็รู้ว่าหลินซินหรานต้องรู้อะไรแน่ จึงรีบถามจี้ต่อ ”เธอเห็นใครเข้าไปในห้องของฉัน?”
“ฉันก็ไม่แน่ใจ ตอนที่ฉันลงมากินน้ำ ก็เห็นคนเปิดประตูห้องพี่” หลินซินหยานมองพูดทีหยุดที สายตาดูลุกลี้ลุกลน
“เป็นใคร?”
“อานหยาน”
หลินเวยมี่เหม่อไปสักหนึ่ง สีหน้าเผยความแปลกใจชั่วแวบหนึ่ง อานหยานเข้ามาทำอะไรในห้องของเธอ? อีกอย่างอานหยานไม่รู้ว่าเธอไปข้างนอกไม่ใช่เหรอ?
“พี่ ของอะไรในห้องพี่หายเหรอ?” หลินซินหยานเอ่ยถามด้วยดวงตาเบิกกว้างเครียดๆ
หลินเวยมี่พยักหน้า สายตาหม่นแสง ยังไงก็ไม่เข้าใจว่าอานหยานเข้าไปในห้องของเธอทำไม ทั้งยังข้าวของของเธอ
หรือว่าเพียงเพราะเธอมีความสัมพันธ์กับฉู่เฉินซี?
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ ไม่แล้วคิดอะไรแล้ว กลับกันเธอกลับค้นหา ในห้องไม่มีของหาย แต่ก็มั่นใจได้ ว่าถูกค้นหาอย่างละเอียด เหมือนกับกำลังค้นหาสิ่งของอะไรบางอย่าง
ภายในสมองพลันนึกถึงกุญแจที่หลินจ่านหงให้เธอไว้ก่อนตายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว มันจะเกี่ยวกับเรื่องนี้รึเปล่านะ? ”
อีกอย่างกู้จุนเฟิงดูเหมือนกำลังตามกุญแจ หลินจ่านหงย้ำเตือนเธอว่าอย่าเชื่อใจใคนทั้งนั้น ดังนั้นเธอจะไม่บอกที่อยู่ของกุญแจกับใคร
ต่อให้เป็นกู้จุนเฟิงที่เธอเชื่อใจที่สุดก็ตาม
เช้าตรู่วันถัดมา หลินเวยมี่ตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน อานหยานก็เปิดประตูเดินเข้ามา ในมือถือแอปเปิลหนึ่งจานเข้ามาด้วย
“พี่เวยมี่ ทานแอปเปิลไหมคะ?” อานหยานนั่งลงข้างกายเธออย่างคุ้นเคย แล้วหยิบมีดปอกผลไม้ปอกแอปเปิลอย่างระมัดระวัง
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว เกิดความรู้สึกเกลียดชังในตัวของอานหยาน ไม่รู้เป็นเพราะเธอเป็นผู้หญิงของฉู่เฉินซี หรือเป็นเพราะพวกเธอมีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายกัน
วันนี้อานหยานสวมใส่เสื้อผ้าคอเสื้อต่ำมาก เผยให้เห็นเส้นทางทำมาหากินที่อยู่ลึกเข้าไป และบนลำคอก็มีรอยสีชมพูประทับอยู่
หลินเวยมี่นั่งอยู่อีกฝั่งเงียบๆ มองร่องรอยบนลำคอมุมปากยกขึ้นเย้ยหยัน อานหยานจะมาเพื่อโอ้อวดเธอโดยเฉพาะเลยงั้นเหรอ?
สายตามองต่ำลงอย่างเหยียดหยาม มองเธอเงียบๆ รอจนเธอเอ่ยปากขึ้น
“พี่เวยมี่รู้จักกับเฉินนานรึยังคะ? ดูเหมือนพวกพี่จะสนิทกัน”อานหยานพลางปลอกแอปเปิลไปด้วยถามไปด้วย
น้ำเสียงเรียบนิ่ง ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูไม่ออกเลยว่าเธอรู้สึกยังไงกันแน่
“เขาเป็นน้องชายของภรรยา”
อานหยานสีหน้าหนักใจเล็กน้อย ทว่าในใจกลับรู้ดีว่าฉู่เฉินซีมีความสัมพันธ์ยังไงกับเธอ ระหว่างเขาและเธอในสายตาของคนทั่วไปคงพอจะเดาออก
“แต่ว่าหลินซินหยานกับเฉินมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีต่อกัน อีกทั้งเธอกับเฉินก็ไม่ได้เป็นญาติกันยิ่งไม่ลงรอยไม่ใช่เหรอ?” อานหยานถามอย่างไม่เชื่อ
หลินเวยมี่รู้สึกปวดหัวจนต้องนวดขมับ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “งั้นเธอคิดว่าพวกเราเป็นอะไรกันล่ะ?”
อานหยานได้ยินคำพูดของเธอก็สำลักไปเล็กน้อย แม้ในใจยังนึกสงสัยแต่ก็ไม่กล้าฟันธง แต่พวกเธอหน้าตาคล้ายตาขนาดนี้ ขนาดระดับความสนิทของฉู่เฉินซีและหลินเวยมี่ แทบอธิบายทั้งหมดได้
“พวกเราหน้าคล้ายกันขนาดนี้ บังเอิญจัง” อานหยานกึ่งขบขำ ทว่าสีหน้าดูขมขื่น
“พวกเราเหมือนกัน? ไม่เห็นรู้สึกเลย ”หลินเวยมี่พูดขวานผ่าซาก แล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ อานหยานสูดหายใจเข้าลึก แม้ว่าจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ใบหน้ากลับไม่ได้เปิดเผยอารมณ์ออกมา
“ก็ใช่น่ะสิ พวกเราเหมือนกันออก พี่ไม่รู้เหรอว่าเวลาเฉินอยู่กับฉัน เขาชอบ…”
“คุณอาน ฉันไม่ได้อยากฟังเรื่องของเธอและเขาเลย มันไม่เกี่ยวกับฉันเลยสักนิด” สีหน้าของหลินเวยมี่กล้ำกลืน นิ้วมือที่กำลังถือหนังสืออยู่ซีดเซียว
รู้สึกเกลียดคนตรงหน้าเสียจริง พูดจาหนีไม่พ้นเรื่องผู้ชายคนนั้นเลย ชั่ววินาทีนั้นอยากขุดคุ้ยถึงเบาะแสของเธอและฉู่เฉินซีให้ได้สักครึ่งหนึ่ง
ผู้หญิงแบบนี้มันเฟค น่าเบื่อซะไม่มี
สีหน้าของอานหยานมึนตึงขึ้นทันที แล้วยื่นมีดที่มีแอปเปิลที่ผ่าแล้วออกไป “พี่เวยมี่ กินแอปเปิลดีกว่าค่ะ”
หลินเวยมี่มองมีดที่ยื่นมาทางเธออย่างนิ่งเฉย แววตาพลันเย็นยะเยือกขึ้น ไม่ยื่นมือไปรับ
“เธอว่า เฉินจะแคร์ใครมากกว่ากัน?” จู่ๆ อานหยานก็พูดโพล่งขึ้นมา ความบริสุทธิ์ในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นเย้ยหยัน
“เหอะ เธออยากลอง?” เธอแค่นหัวเราะเสียงเย็นเยียบ
ตั้งแต่ตอนที่อานหยานยื่นมีดมาทางเธอก็พอเดาได้ว่าผู้หญิงคนนี้อยากทำอะไร
“เอาสิ แต่เธอร่วมมือกับฉัน” เธอคลี่ยิ้ม ในรอยยิ้มแอบแฝงไปด้วยแผนการ แล้วหยิบมีดยื่นมาทางเธอกรีดบนมือ ใบมีดกรีดลงบนมืออย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องดังก้อง
หลินเวยมี่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ แววตาเหยียดยาม มีดปอกผลไม้ในมือยังไม่ได้โยนออกไป
ชั่วพริบตา ฉู่หรานและคนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงก็วิ่งเข้ามา ก็เข้าใจทันที
“น้องหญิง อานหยานเป็นแขกนะ เธอทำแบบนี้ทำไม?”
หลินเวยมี่เม้มปากไม่พูดอะไร รอจนกระทั่งฉู่เฉินซีเข้ามา เธอก็อยากจะรู้จริงๆ ว่าฉู่เฉินซีจะช่วยใคร?
“เฉิน…” อานหยานเรียกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาๆ หยาดน้ำตาเม็ดโตร่วงหล่น แล้วรีบมุดเข้าอ้อมแขนของฉู่เฉินซี
ฉู่เฉินซีปรายตามองเธอนิ่งๆ เขาเห็นบาดแผลบนมือของเธอ จากนั้นก็เคลื่อนสายตาไปมองหลินเวยมี่ หลินเวยมี่ก็นั่งอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ แม้ว่าในมือจะถือมีดปอกผลไม้อยู่ ทว่าใบหน้ากลับไม่ได้ฉายแววหวาดกลัวแต่อย่างใด
เกิดอะไรขึ้น? ” เขาถามขึ้นด้วยท่าทีเฉยชา จับมือของอานหยาน บาดแผลไม่ลึก ทว่าเลือดกลับไหลออกมาเยอะมาก
อานหยานพลางสะอึกสะอื้นแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เฉิน ไม่เกี่ยวกับพี่เวยมี่ ล้วนเป็นฉันที่ผิดเอง…”
หลินเวยมี่มุมปากยกขึ้นเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน เมื่ออานหยานพูดจบ ก็เหมือนกับเธอเป็นคนกระทำจริง
“หลินเวยมี่! เธอจะโกรธอะไร อานหยานเป็นคนรักของเฉิน เธอไม่ส่องกระจกดูบ้างล่ะว่าเธอเป็นคนยังไง! ถึงกับใช้ลูกไม้แบบนี้มาทำร้ายอานหยาน!” ฉู่หรานทนฟังไม่ได้อีกต่อไป จึงพ่นคำด่าออกมาอย่างโกรธเคือง
“หึหึ” หลินเวยมี่แค่นหัวเราะเบาๆ เหมือนกับไม่ได้ยินคำด่าของฉู่หรานเลย กลับกันกลับเคลื่อนสายตามองฉู่เฉินซี เธอกอยากจะเห็นเหมือนกันว่าฉู่เฉินซีจะมีท่าทางอย่างไร
“หล่อนทำร้ายเธอ?” ฉู่เฉินซีถามขึ้นนิ่งๆ ทำให้คนแยกไม่ออกว่ากำลังยืนฝั่งไหนกันแน่
อานหยานสูดลมหายใจเข้าอย่างรู้สึกไม่เป็นธรรม เธอไม่กล้าพยักหน้า แล้วมองฉู่เฉินซีอย่างอึ้งๆ สะอื้นเสียงเบา
ช่างเป็นฉากที่น่าเห็นใจจริงๆ เพียงพอที่ทำให้คนอื่นๆ คิดว่าหลินเวยมี่เป็นคนทำร้ายเธอ
“หลินเวยมี่ เธอว่ายังไง?” ฉู่เฉินซียังคงจ้องตาเธอเขม็ง แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
หลินเวยมี่มีท่าที่สบายอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะปักมีดปอกผลไม้ลงบนโต๊ะดังปึ้ก แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบนิ่ง “ทำไมต้องถามฉัน? ”
ฉู่เฉินซีมุมปากยกขึ้นเผยรอยยิ้มบางๆ เขาปรายตามองอานหยานที่กำลังร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่ ก่อนจะดึงมือของเธอออกแล้วเดินแกไป
“เฉิน…” อานหยานมองเขาอย่างแปลกใจ ยังไม่ได้ในสิ่งที่เธอต้องการ ไม่คิดเลยว่าเขาจะไปแล้ว?
“เดี๋ยวฉันเรียกคนมาช่วยพันแผลให้” เขาพูดอย่างเฉยเมย น้ำเสียงไม่หยี่หระ
อานหยานหันหน้ามองหลินเวยมี่ครั้งหนึ่ง สายตาดูไม่ยอมถึงที่สุด
หลินเวยมี่เอนพิงอยู่บนเตียงอย่างได้อกได้ใจ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจางๆ แล้วเคลื่อนสายตาไปมองฉู่หราน ก่อนจะถามขึ้นอย่างนิ่งเฉย “ยังไม่ออกไปอีก?”
“ฉันบอกเธอไว้ก่อนเลยนะ ต่อไปนี้เธออย่าได้คิดทำเรื่องไร้สาระอีก!”
“ออกไป! ”น้ำเสียงของหลินเวยมี่เปลี่ยนเป็นเย็นเหยียบทันที สีหน้าเผยแววรำคาญอย่างถึงที่สุด ฉู่หรานกรอกตาก่อนจะออกไป ตามาด้วยเสียงปัง ปิดประตูอย่างแรง
หลินเวยหลินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองที่มีดปอกผลไม้เปื้อนเลือดบนโต๊ะแวบหนึ่งพลันรู้สึกนึกรังเกียจ แล้วทิ้งลงถังขยะไปพร้อมกับแอปเปิล
เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง ฉู่เฉินซีเดินเข้ามา แล้วนั่งลงข้างๆ เตียงกับเธอ ดวงตากวาดมองแอปเปิลในถังขยะ แววตาพลันฉายแววขบขันออกมา
“ทำไมไม่อธิบายล่ะ?”
หลินเวยมี่คร้านจะสนใจเขา หันหน้าหนีไปอีกทาง แล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ
หนังสือกลับถูกแย่งออกไป มือของเขาวางลงบนไหล่ของเธอ สายตาจดจ้องบนร่างกายของเธอ
“บอกฉันสิ ทำไมไม่อธิบายมา?”
“เรื่องไร้สาระทำไมต้องอธิบายด้วย? น่าเบื่อ” เธอปรายตามองเขา แล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย “ทำไมไม่ไปโอ๋แม่หนูหลินของนายล่ะ? ”
“แม่หนูหลิน?” เขาบีบแก้มของเธออย่างขบขัน
เธอปัดมือเขาออกอย่างรังเกียจ “ต่อหน้าผู้ชายก็ทำเป็นหญิงสาวอ่อนแอ ก็เป็นเพราะแม่หนูหลินไม่ใช่เหรอ?แต่แม่หนูหลินของตระกูลหลินก็อ่อนแอจริงๆ เธอยังต้องเสแสร้ง”
“เธอกำลังหึง” ฉู่เฉินซีพูดออกมาอย่งมั่นใจ เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกดีใจ