รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 189
บทที่ 189 ฉู่เฉินซี เอาแบบนี้แล้วกัน
ฉู่เฉินซีสายตามีแต่ความเย็นชา มองหน้าหลินเวยมี่ด้วยสายตาเรียบเฉย สุดท้ายก็ยิ้มออกมา
“นายกเทศมนตรีกู้ คำพูดของคุณทำให้ผมยากที่จะเข้าใจนะครับ”
กู้จุนเฟิงหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาแล้วจิบลงไป แล้วก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นในาสายตาของเขา “เข้าใจยากหรอครับ? ถ้ายังงั้นคุณชายฉู่เข้าใจว่ายังไงหรอ?”
หลินเวยมี่มองหน้าพวกเขาด้วยสายตาอัดอั้นใจ ในใจยังคงคิดเรื่องที่พวกเขามาเลือกชุดแต่งงานกัน ไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่พวกเขากำลังข่มกันเลยแม้แต่นิดเดียวฐาลี่มองหน้ากู้จุนเฟิงแล้วยิ้มออกมา “ยังไงคนเราก็ต้องเลือกสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตัวเองสิคะ แจกันไม่ว่าจะสวยแค่ไหนก็เป็นได้แค่แจกัน เอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้”
คำพูดของฐาลี่เหมือนมีดที่ปักเข้าที่หัวใจของหลินเวยมี่ แต่ว่าสิ่งที่เธอพูดก็ถูกต้องแล้ว สำหรับฉู่เฉินซีแล้วนั้น เธอไร้ประโยชน์มาก
แต่ว่าฐาลี่นั้นไม่เหมือนกัน ยังไงระหว่างพวกเขาก็มีความรู้สึกให้กันอยู่แล้ว และฐาลี่ยังช่วยเหลือเขาได้อีก ถ้าเกิดว่าต้องเลือก เธอก็คงจะเลือกฐาลี่เหมือนกัน
แต่ว่าการเลือกนั้นไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบนี้งั้นหรอ? หรือว่าบางทีมันอาจจะเหมือนที่ฉู่เฉินซีเคยพูดไว้ ว่าความสัมพันธ์มันก็มีไว้เพียงแค่แก้เบื่อเท่านั้น
“ผู้หญิงที่ฉลาดยังไงก็สามารถดึงดูดผู้ชายได้จริงๆนั่นแหละครับ เพราะฉะนั้นหลินเวยมี่ก็เป็นแค่ผู้หญิงซื่อบื้อ ซื่อบื้อจนรู้สึกรักเข้าจริงๆ”
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้นมา แล้วมองไปที่กู้จุนเฟิง กัดริมฝีปากแน่น เธอก็เป็นผู้หญิงที่โง่จริงๆ โง่จนไม่รู้จะโง่ยังไงแล้ว
“เฉิน พวกเราไปตรงนั้นกันเถอะ” ฐาลี่เห็นว่าสีหน้าของฉู่เฉินซีไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็รีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว
หลินเวยมี่เงยหน้ามองหน้ากู้จุนเฟิง สายตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “นี่คือสถานการณ์ในตอนนี้ของฉัน”
“แล้วทำไมไม่บอกฉัน?” กู้จุนเฟิงขมวดคิ้วแน่น สายตาลึกซึ้ง ถ้าเกิดว่าเป็นเมื่อก่อน หลินเวยมี่ต้องเลือกมาหาเขา แต่ว่าตอนนี้ไม่มีเลย
“ไม่จำเป็นหรอก เสี่ยวจื๋อ อย่าลืมสถานะของนายนะ” หลินเวยมี่ถอนหายใจยาวออกมา แล้วก็ดื่มกินซุปฟักทองเข้าไป เธอรู้สึกชอบรสชาติหวานๆนี้จริงๆเลย
กู้จุนเฟิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น แล้วก็มองหน้าเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง
หลินเวยมี่ที่ก้มหน้าอยู่สามารถรู้สึกได้ถึงสายตาที่แหลมคมที่กำลังมองมาที่เธอ และแน่นอนเธอก็รู้ว่าเจ้าของสายตานั้นคือใคร
เธอรู้สึกไม่สบายใจ แล้วก็กินซูปต่อ แต่ว่าไม่ทันระวัง ช้อนซุปก็ตกลงที่เสื้อผ้าของเธอ
เธอมองเสื้อผ้าที่เปียกอย่างเก้ๆกังๆ แล้วก็รีบเอาทิชชู่เช็ดทันที
“ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ”
หลินเวยมี่ล้างเสื้อด้วยน้ำสะอาด แต่ว่าคราบซุปฟักทองนั้นกลับเลอะมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมองยิ่งดูแย่
ทันใดนั้นประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก สีหน้าของเธอค้างแข็ง แล้วก็ทำเหมือนไม่สนใจก้มหน้าเอากระดาษเช็ดเสื้อของตัวเองต่อ
เธอรู้สึกได้ว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้าเธอ บรรยากาศของความกดดันทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่เป็นจังหวะ
“ทำไม?” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว
ฉู่เฉินซีจุดบุหรี่ หรี่ตามองหน้าผู้หญิงตรงหน้า ตอนที่เห็นเธออยู่กับกู้จุนเฟิงก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ว่ามันก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกไร้อำนาจแทน
เขาจะแต่งงานกับฐาลี่แล้ว มีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับเรื่องของเธออีก?
“ไม่มีอะไร”เขาถอนหายใจออกมา แล้วก็จับข้อมือของเธอไว้ หยิบกระดาษทิชชู่มาช่วยเธอเช็ดเสื้อ “ฉันก็พูดตลอดว่าเธอซุ่มซ่าม”
หลินเวยมี่เงยหน้ามองหน้าเขา สีหน้าของเขาลึกซึ้งมาก ดวงตาสีน้ำตาลสวยงาม ริมฝีปากบางๆคลี่ยิ้มออกมา แต่ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย ทำให้เธอไม่สามารถละสายตาจากใบหน้าของเขาได้
“ไม่ใช่ว่าฉันซุ่มซ่าม” เธอหัวเราะออกมาอย่างขมชื่น รู้สึกว่าการรักใครซักคนนี่มันเหนื่อยจริงๆ
ฉู่เฉินซีนิ่งไป แล้วก็ดึงเธอมากอดไว้ตรงอ้อมอก แต่ว่าก็ไม่ได้พูดอะไร
“ฉู่เฉินซี พอแค่นี้เถอะ” เธอถอนหายใจออกมา แล้วผลักเขาออก ก้าวออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
“เธอจะคบกับเขาหรอ?”
หลินเวยมี่หยุดเดินเพราะคำพูดของเขา หันหน้ากลับมามอง “มันก็เป็นเรื่องของฉัน”
ฉู่เฉินซีแข้งทื่อ เม้มปากแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ กำหมัดแน่น
หลินเวยมี่ถอนหายใจออกมา แล้วก็กลับมานั่งตรงหน้ากู้จุนเฟิงอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “เสี่ยวจื๋อ ฉันเหนื่อยมากเลย กลับก่อนนะ”
กู้จุนเฟิงพยักหน้า แล้วเม้มปากแน่น “เดี๋ยวฉันไปส่ง”
เหมือนกับว่าเรื่องราวทั้งหมดกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่าหลินเวยมี่จะไม่เคยพูดกับฉู่เฉินซีเรื่องแต่งงานเลย แต่ใครจะสามารถหยุดความเร็วของเรื่องราวต่างๆได้บ้างล่ะ?
สิบห้าวัน สำหรับเธอแล้วมันมีค่ามาก แต่ว่ามันก็แค่แวบเดียวเท่านั้น
หลินเวยมี่กำลังจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเอง ฉู่เฉินซีกอดเธอจากทางด้านหลัง “เวยมี่ ฉันจะส่งเธอไปอเมริกา”
“อเมริกา?” หลินเวยมี่ยิ้มออกมาอย่างเรียบ “ให้ฉันรออยู่ในห้องที่กว้างขวาง รอวันที่นายกลับมางั้นหรอ?”
ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ไม่มีทางยอมรับสถานการณ์แบบนั้นได้ ความสัมพันธ์ของเธอกับฉู่เฉินซีไม่สามารถซ่อนไว้ได้ตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าจะทำแบบนั้น แต่ว่าก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสายเลือดของตัวเองได้
ฉู่เฉินซีเม้มปากแน่น จ้องมองหน้าเธอแต่ว่าก็ไม่ได้พูดอะไร
“ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันจะมีชีวิตที่ดี ดีมากๆ” เธอเขย่งเท้าแล้วจุ๊บลงที่ริมฝีปากของเขา แล้วก็เก็บเสื้อผ้าต่อ
ฉู่เฉินซีรู้สึกหมองหม่นมาก ยืนพิงอยู่ข้างๆตู้เสื้อแล้วมองเธออยู่แบบนั้น
“พี่ พี่จะไปอยู่ที่ไหน?” หลินซินหยานเดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
หลินเวยมี่เงยหน้ามองหน้าเธอ สายตาเปล่งประกายความสงสัย มันไม่มีทางเป็นเหมือนที่กู้จุนเฟิงพูด หลินซินหยานที่อยู่ต่อหน้าเธอตรงนี้จะเป็นคนแบบนั้นได้ยังไง?
เธอส่ายหน้า ไม่คิดอะไรมากอีกต่อไป ยังไงถ้าออกไปจากที่นี่แล้ว ก็จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธออีก
“ไปเที่ยวพักผ่อนจิตใจน่ะ”
พอหลินซินหยานได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็ดูสบายใจขึ้นมา “แล้วพี่จะกลับมาเมื่อไหร่? พี่จะไม่เข้าร่วมงานแต่งงานของคุณอาหรอ?”
ฉู่เฉินซีขมวดคิ้วแน่น แล้วก็มองหน้าหลินซินหยานด้วยสายตาที่แหลมคม เหมือนเป็ยการเตือน
หลินซินหยานกัดริมฝีปากแน่น แล้วก็ทำท่าทีเหมือนกลัว
“ยังไม่ได้จองเลย” หลินเวยมี่ยิ้มออกมานิ่งๆ แล้วก็เงยหน้ามองหลินซินหยาน “ซินหยาน เมื่อวานฉันไปดูตามที่เธอบอก แต่ว่าไม่เห็นอะไรเลย เธอพูดจริงหรอ?”
“อะไรหรอ?” ฉู่เฉินซีมองหน้าหลินซินหยาน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขู่
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่มี เป็นความลับของฉันน่ะ” หลินซินหยานตอบอย่างหวาดกลัว สายตามองไปที่หลินเวยมี่
หลินเวยมี่มีท่าทีเหมือนไม่แคร์ แล้วก็เก็บข้าวของทั้งหมด แล้วเดินออกไปด้านนอก
จนเธอออกไป ฉู่เฉินซีก็ต่อยไปที่ตู้เสื้อผ้าอย่างแรง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไม่มีสิทธิ์แบบนี้ มันช่างเหลือทนจริงๆ
หลินเวยมี่ขึ้นรถของโจ่วชิงช๋วน แล้วก็นั่งพิงหน้าต่างรถเงียบๆ สายตามองเมืองนี้อย่างคิดถึง
“ทำใจไม่ได้หรอ?” โจ่วชิงช๋วนยิ้มแล้วถามออกมาเบาๆ “ถ้าเกิดว่าทำใจไม่ได้เราจะไม่ไปก็ได้นะ”
“ไม่ พวกเราไปกันเถอะ” หลินเวยมี่หลับตาลงแล้วก็พูดออกมาอย่างแน่ใจ
โจ่วชิงช๋วนส่ายหน้า แล้วก็ขับรถต่อไป
ทันใดนั้น ก็มีการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“เกิดอะไรขึ้น?” หลินเวยมี่มองไปอย่างตกใจ ก็เห็นว่ามีรถสีดำคันหนึ่งตามมาด้านหลัง แล้วก็ชน แล้วรถก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง
โจ่วชิงช๋วนสบถออกมา “เวยมี่ ระวังนะ”
สีหน้าของหลินเวยมี่ตึงเครียดขึ้นมาทันที กำเข็มขัดนิรภัยแน่น แล้วรถก็แล่นไปด้านหน้าด้วยความเร็ว
แต่ว่ารถด้านหลังนั้นยังตามพวกเขามาอยู่ บางทีก็ชนพวกเขา
“ด้านหลังเป็นใครกันแน่?” หลินเวยมี่ขมวดคิ้วแน่นแล้วก็ถามออกมา แล้วก็โดนชนอีกครั้ง โจ่วชิงช๋วนเบรกอย่างรวดเร็ว แต่ว่ารถก็คว่ำทันที ทำให้พวกเขาสลบไป
ตอนที่หลินเวยมี่ตื่นมีอีกครั้ง ก็อยู่ในโรงแรม เธอลุกขึ้นมาทันที แต่ก็รู้สึกได้ว่าเจ็บหัวมาก
“ตอนนี้เธอไม่ควรจะขยับ ไม่ยังงั้นแผลที่หน้าผากอาจจะแยกได้” มีน้ำเสียงที่ขี้เกียจกังขึ้นมาในห้อง
สีหน้าของเธอค้างแข็งทันที แล้วก็มองไปที่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงโซฟา
เสื้อของฉู่เฟยหยางเปิดครึ่งหนึ่ง ในอ้อมอกของเขากอดผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง มือของเขาล้วงเข้าไปในเสื้อผ้าของผู้หญิงคนนั้นอย่างไร้ยางอาย แล้วก็บีบคลำไม่หยุด
“นายเอง!” สายตาของหลินเวยมี่เต็มไปด้วยการดูถูก ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นฉู่เฟยหยาง!
“เห็นฉันแล้วแปลกใจขนาดนั้นเลยหรอ? หรือว่าคิดถึงฉัน?” ฉู่เฟยหยางยิ้มออกมาอย่างอันธพาล ผลักผู้หญิงตรงหน้าอกออก แล้วก็ลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ
แล้วก็จับไปที่คางของเธออย่างไม่เกรงใจ น้ำเสียงหยอกล้อ “ไม่เจอกันแค่เดือนเดียวเอง คิดถึงฉันแล้วงั้นหรอ?”
หลินเวยมี่หันหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมให้เขาจับ
“นายจะเอายังไงกันแน่? แล้วโจ่วชิงช๋วนล่ะ?”
“โจ่วชิงช๋วน? เธอหมายถึงผู้ชายที่จะพาเธอหนีงั้นหรอ?” ฉู่เฟยหยางยิ้ม แล้วก็ลูบไปที่แก้มของเธอ “เธอมีผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ผู้ชายอะไรของนาย! ปากของนายสามารถพูดแค่เรื่องพวกนี้ได้งั้นหรอ?”
“คุณผู้หญิง อย่าลืมนะ ว่าตอนนี้เธออยู่ในกำมือของใคร!” ทันใดนั้นเขาก็บีบที่คางของเธอ สีหน้ามืดมนลงทันที
หลินเวยมี่เคยมีประสบการณ์อยู่แล้ว พวกคนในตระกูลฉู่ก็ต่างมีนิสัยที่ไม่ธรรมดาทั้งนั้น ฉู่เฉินซีก็แล้ว แม้แต่ฉู่เฟยหยางก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน
“โจ่วชิงช๋วนอยู่ไหนกันแน่?” เธอถามออกมาทีละคำ น้ำเสียงเย็นชาแต่ไม่ได้ดูหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ผู้ชายคนนั้นน่ะหรอ? โยนทิ้งไปแล้ว ใครจะไปรู้ว่าอยู่ที่ไหน อาจจะโดนหมาคาบไปแล้วก็ได้” สายตาของฉู่เฟยหยางเต็มไปด้วยความหยอกล้อ ยิ้มออกมา แล้วก็เอานิ้วไล่ไปตามแก้มของเธอ
“เธอเป็นห่วงผู้ชายคนนั้นมากเลยหรอ?”
“นายมันเลว! สรุปแล้วจับเขาไว้ที่ไหนกันแน่?” สายตาของหลินเวยมี่เต็มไปด้วยความเตื่อนตระหนก เธอไม่แน่ใจว่าคนอย่างฉู่เฟยหยางจะทำอะไรกับโจ่วชิงช๋วนบ้าง
คนในตระกูลฉู่สติไม่ดีทั้งตระกูล เธอกลัวจริงๆว่าฉู่เฟยหยางจะทำร้ายโจ่วชิงช๋วน ถ้ายังงั้นเธอไม่มีทางให้อภัยตัวเองตลอดชีวิตแน่
“จุ้ๆๆๆ พอเห็นอาการเป็นกังวลของเธอแล้วเนี่ย ผู้ชายคนนั้นสำคัญกับเธอมากเลยงั้นหรอ? เขาเป็นผู้เป็นที่รักของเธอหรือยังไง?” เขายิ้มกว้างออกมา มือก็ค่อยๆขยับลงไปด้านล่างเรื่อยๆ
“เอามือของนายออกไปเดี๋ยวนี้!” เธอด่าออกมาอย่างดุร้าย สายตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง