รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 195
บทที่ 195 พบกันอีกครั้ง
เพิ่งจะกินข้าวไปได้ครึ่งกระเพาะอาหารได้เอง เสียงโทรศัพท์ของหลินเวยมี่ก็ดังขึ้นมา สีหน้าของเย่หนิงเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็แย่งโทรศัพท์ในมือหล่อนมา ก็เห็นว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ของเดวิด
เย่หนิงถึงกลับกรอกตามองบน จากนั้นแย่งโทรศัพท์แล้วเตรียมพร้อมที่จะขว้างไปอีกทางแทน
“ตาคนนี้ประสาทแดกไปแล้วหรือป่าวเนี่ย? ปกติก็ไม่สนใจพวกเธอสองแม่ลูกอยู่แล้ว แล้วทำไมตอนนี้ถึงเกิดอยากจะสนใจขึ้นมาแล้วล่ะ?”
หลินเวยมี่ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย “เขาโทรมาหาฉันคงจะมีเรื่องเร่งด่วน”
“เรื่องเร่งด่วน? เขานะหรอจะมีเรื่องเร่งด้วย น่าเบื่อจริงๆ!” เย่หนิงจ้องตาหล่อน จากนั้นเอายัดโทรศัพท์ใส่มือหล่อน “ได้ ฉันไม่จะไม่ยุ่งกับเธอแล้ว เธอชอบแบบไหนก็แบบนั้น รบเร้ากับเธอก็ไม่มีทางสู้ได้อยู่ดี”
สีหน้าหลินเวยมีเบื่อหน่ายเต็มทน แล้วโทรศัพท์กลับไป
พูดเพียงแค่สองประโยค ก็ตัดวางสายแล้ว
“เย่หนิง ฉันต้องกลับแล้ว อีกสักพักรบกวนเธอช่วยพาเสี่ยวหลงไปโรงเรียนอนุบาลด้วยนะ”
“รีบกลับขนาดนั้นเลยหรอ?” เย่หนิงเลิกคิ้วถาม สีหน้าไม่พอใจ “เขามาหาเธอมีธุระอะไร?”
“หม่ามี้ครับยังไม่ได้เป่าเทียนเค้กวันเกิดเลยนะ” เสี่ยวหลงจ้องมองหล่อนด้วยสีหน้าน้อยใจ พร้อมทำท่าทาง ไม่พอใจจริงๆ
หลินเวยมี่ถึงกลับใจอ่อน จากนั้นก็ กอดเสี่ยวหลงไว้ในอ้อมอก “งั้นเสี่ยวหลง มาเป่าเค้กเป็นเพื่อนหม่ามี้ ”
เจ้าตัวเล็กกับคนตัวโตเป่าเค้กวันเกิดด้วยกันจนดับ หล่อนถึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา “เดวิดบอกว่าจะพาฉันไปออกงานเลี้ยง”
“ฉันรู้แล้ว นอกจากเรื่องพวกนี้แล้วเขาก็คงไม่มาตามหาเธอ” เย่หนิงมองหล่อนด้วยหางตา พร้อมกับแย่งเสี่ยวหลงที่อยู่ในอ้อมกอดของหล่อนออกมา แถมยังพูดด้วยหน้าตาโมโห “เสี่ยวหลง ไม่ต้องอยู่กับหม่ามี้แล้ว เย่หนิงหม่ามี้ดีกับลูกเนอะ งั้นมาเป็นลูกชายให้เย่หนิงหม่ามี้ก็แล้วกันนะ”
“เสี่ยวหลงชอบหม่ามี้นี่” เสี่ยวหลงเบะปากอย่างน้อยใจ พร้อมทั้งเอนตะเกียกตะกายไปหาหลินเวยมี่แทน
หลินเวยมี่กอดเสี่ยวหลงที่อยู่ในอ้อมกอดเอาไว้แน่นแล้วถอนหายใจ “ฉันช่วยเดวิดได้แค่นี้แหละ ไม่งั้นให้ฉันช่วยทำอะไรได้ล่ะ?”
“เธอไม่ควรแต่งงานกับเขา!” เย่หนิงพ่นไฟใส่ นัยน์ตาแสดงความโศกเศร้า
“แต่ตอนนี้ฉันก็มีความสุขดีนี่ มีงานทำ มีลูกชายที่น่ารัก แถมยังมีเพื่อนที่รักฉันอยู่ด้วยคนหนึ่ง แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว” หลินเวยมี่ยิ้มร่า แล้วก็หอมแก้มเสี่ยวหลงจากนั้นก็พูดต่อ “เสี่ยวหลง หม่ามี้ไปแล้วนะ อยู่กับเย่หนิงหม่ามี้แล้วต้องฟังน้าเขานะรู้เรื่องไหม?”
“แต่เย่หนิงหม่ามี้จะให้ผมกินลูกอม ก็หม่ามี้บอกเองว่าเสี่ยวหลงกินลูกอมเข้าไปแล้วมันไม่ดี”
“เจ้าจิ้งจ้องจ้าเล่ห์! ให้ลูกอมกินแล้ว ยังเอาน้ามาขายอีก!” เย่หนิงจ้องหน้าเสี่ยวหลงอย่างโมโห
หลินเวยมี่ได้แต่ส่ายศีรษะไปมา แล้วเอื้อนเอ่ยอย่างเบื่อหน่ายเต็มทน “ขอบคุณนะเย่หนิง”
“ไปเรียนการขอบคุณมาตั้งแต่ตอนไหน?” เย่หนิงเลิกคิ้วใส่ ทำสีหน้าแปลกๆพิกล
หลินเวยมี่นั่งรถออกไป ตอนที่นั่งอยู่บนรถก็เบนหน้าหันออกไปมองนอกหน้าต่างอย่างเคยชิน เพื่อดูวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเมือง หล่อนไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าตนเองอาศัยอยู่ที่เมืองนี้มาห้าปีแล้ว
หลังจากที่คลอดเสี่ยวหลงออกมาจนถึงเวลานี้นั้นมันไม่ง่ายเลย แรกเริ่มช่างลำบากลำบนมาก ดีที่ว่ามาเจอกับเดวิดเข้า สำหรับเดวิดแล้วหล่อนซาบซึ้งเขามาตลอด
หลังจากกลับไปถึงคอนโด เดวิดกำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจก เขาสวมใส่ชุดสูทอย่างเป็นทางการยิ่งทำให้ร่างกายรูปร่างสูงใหญ่ เหมาะสมกับเขามาก ดูโดดเด่นอย่างมีเสน่ห์
หลินเวยมี่เดินไปด้านหน้าของเขา มือเล็กๆก็วางพาดบนหน้าอกแกร่ง จากนั้นก็ติดกระดุมให้เขา แล้วจัดการผูกเนคไทให้เขาใหม่
“งานเลี้ยงครั้งนี้สำคัญมากเลยหรอ?”
เดวิดตอบรับอยู่ในลำคอ ถือว่าเป็นการตอบคำถามของหล่อน เขามีสายเลือดฝรั่งเศสแท้ๆ ผมสีทองหยักศก นัยน์ตาสีฟ้า ใบหน้าขาว แก้มโหนก ใบหน้าได้รูป ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ตามก็คือคนหล่อคนหนึ่ง
“ชุดราตรีอยู่นั่น” เขาชี้มือไปทางเตียง สีหน้าราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์
หลินเวยมี่พยักหน้ารับ แล้วหยิบชุดราตรีขึ้นมาพร้อมเดินไปห้องที่อยู่ติดกัน เป็นชุดราตรีสีม่วงอ่อน ยิ่งเธอใส่แล้วยิ่งดูเปิดเผย ผมหยักศกเป็นหล่อนคลอเคลียอยู่บริเวณหัวไหล่ของเธอ ใส่แล้วทำให้หล่อนดูอ่อนโยนแล้วสวยสง่า
สง่างาม เปิดเผย แผ่รัศมีออกมาเฉกเช่นคนชนชั้นสูง
หลินเวยมี่คลี่ยิ้มอย่างเย็นชา ไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งตนเองจะเปลี่ยนแปลงไปจนเป็นผู้หญิงแบบนี้ไปแล้ว หลายครั้งที่หล่อนเคยแอบอิจฉาฐาลี่และยังรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างต่ำต้อย
ตอนนี้กลับมาคิดดู ความจริงแล้วก็ไม่ต่างจากกัน
หล่อนคล้องแขนเดวิดออกจากบ้าน หล่อนหรี่ตาลง ประสาทหูได้ยินเสียงเดวิดถามไถ่ขึ้นมา “ที่โรงแรมยุ่งมากหรอ?”
“อืม เมื่อคืนยุ่งจนถึงเวลาเที่ยงคืน มีปัญหานิดหน่อย” หลินเวยมี่ตอบอย่างขอไปที น้ำเสียงดูเหนื่อยล้า
“ถ้าเหนื่อย ก็ไม่ต้องไปทำงานสิ เสี่ยวหลงเป็นถึงหลานคนโปรดของคุณปู่ อย่าให้เกิดเรื่องขึ้นแม้แต่น้อย” เดวิดพูดขึ้นมาอย่างไร้อารมณ์ ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะพูดเรื่องที่ไม่สำคัญมากนัก แต่ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ทั้งสองคนไม่ค่อยสนิทสนมกัน
หลินเวยมี่เบิกตาโต แล้วส่ายศีรษะไปมา “ไม่ได้ ฉันไม่สามารถอยู่บ้านเฉยๆได้”
“อืม” น้ำเสียงเย็นชา ถือว่าเป็นการตอบรับความหมายของหล่อนแล้ว นอกจากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรเอ่ยขึ้นมา
หลินเวยมี่ถอนหายใจ ถ้าให้หล่อนเป็นแม่เต็มตัว น่ากลัวว่าหล่อนคงไม่ผ่านเกณฑ์
ถ้าไม่ใช่ว่าเสี่ยวหลงพูดรู้เรื่องมาตั้งแต่เด็กแล้ว หล่อนไม่รู้ว่าต้องระมัดระวังตัวมากขนาดไหน
ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงที่อายุยี่สิบปีเข้าไปแล้ว ไม่ใช่เด็กสาวที่หนีหัวซุกหัวซุนแบบนั้นอีกแล้ว
งานเลี้ยงที่ว่าก็เป็นงานประมูลเพื่อการกุศล คนที่ประมูลสิ่งของนั้นต่างเป็นคนที่มีชื่อเสียงมีหน้ามีตาในสังคม
ทั้งคู่คล้องแขนเข้างาน ต่างตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนโดยรอบ
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ พวกคุณมาแล้ว” ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาโดดเด่นถลามาทางพวกเขา แล้วยืนประชิดกับหลินเวยมี่ ทั้งยิ้มและประเมินหล่อนอยู่ พร้อมพูดขึ้นอย่างเบาเสียง “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ เมื่อคืนแม่บอกว่าให้พวกพี่กลับไปกินข้าวที่บ้าน”
“ไม่มีเวลา” เอ่ยขึ้นเดวิด ด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
เจกที่เสนอความคิดขึ้นมาแต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นดังคาดหวังไว้ เลยถามคำถามตามเดิม “พี่ไม่มีเวลา งั้นให้พี่สะใภ้ใหญ่กลับมาบ้านก็แล้วกัน”
“ฉันต้องไปรับเสี่ยวหลง” หลินเวยมี่ไม่ค่อยชอบการใช้ชีวิตในขอบเขตของบ้านแม่สามีสักเท่าไหร่ มันยากมากในการที่จะเอาตัวเข้าไปอยู่ในสังคมนั้นจริงๆ ดีที่ว่าความสัมพันธ์ของเดวิดกับพวกเขาไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นหล่อนเลยไม่ค่อยได้กลับไปสักเท่าไหร่
“ก็ไปรับเสี่ยวหลงแล้วไปด้วยกันสิ” เจกที่ยังไม่เข้าใจยังคงทำท่าทางเชื้อเชิญต่อไป
สีหน้าเยือกเย็นของเดวิดจ้องมองเขา เจกเลยไม่กล้าพูดอะไรต่อ
การประมูลสิ่งของเริ่มขึ้น แต่หลินเวยมี่กลับรู้สึกเบื่อหน่ายสุดจะทน หล่อนเลยมองบริเวณโดยรอบ จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก
รองเท้าส้นสูงกัดเท้าเธอจนเลือดไหลออกมา รองเท้าที่ไม่เหมาะสมยังไงมันก็ไม่เหมาะสมอยู่วันยังค่ำ มันคงกัดเท้า จนเท้าได้รับบาดเจ็บ
ดีที่ยังมีเก้าอี้โยกตัวเล็กอยู่หนึ่งตัวด้านนอกงานประมูล เธอลงไปนั่งแล้วรู้สึกว่าอาการดีขึ้นเยอะ จากนั้นก็ย่อตัวลงเพื่อนวดผ่อนคลายบริเวณข้อเท้าของตนเอง แต่กลับรู้สึกว่ามีคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาทางนี้
“เหมือนว่าเรามาช้าไปนะ”
“สิ่งของที่เราต้องการยังอยู่ช่วงท้ายของงาน มาเร็วก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี?”
น้ำเสียงของผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่งทำให้ร่างกายของหลินเวยมี่แข็งทื่อ หายใจช้าๆ ความรู้สึกราวกับว่าอยู่โลกคนละใบ น้ำเสียงอันคุ้นเคย คุ้นเคยซะจนหล่อนไม่อาจลืมเลือน
รอจนพวกเขาห่างจากตัวเธอไปแล้ว หลิยเวยมี่ถึงได้เงยศีรษะขึ้นมา ด้านหลังที่คุ้นเคยเช่นนั้นมันสามารถรับประกันได้
หล่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็รีบเข้าไปในงานการประมูลอย่างรีบร้อน
“พี่สะใภ้ พี่รีบร้อนอะไร?” เจกถามไปด้วยหัวเราะไปด้วย
“ป่าวนี่” หลินเวยมี่ลูบผมอย่างร้อนรน พยายามควบคุมสายตาของตนเองไม่ให้มองไปทางอื่นเพราะว่าหล่อนหวาดกลัวสายตาที่หล่อนไม่กล้าจะมองมันได้
เดวิดไม่สนใจใยดีสิ่งของที่อยู่ในงานการประมูล กำไลข้อมือคริสตัลชิ้นสุดท้ายนั่นแหละที่ดึงดูดความสนใจจากเขาได้
“ชอบไหม?”
หลินเวยมี่ตะลึงอยู่สักพัก สีหน้าดูประหลาดใจ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เดวิดกำลังพูดถึงอยู่นั้นมันคืออะไร
“ฉันหมายถึงกำไลข้อมือ เธอชอบหรือป่าว?” เดวิดพยายามถามเน้นทีละคำอย่างสบายใจ ถึงแม่ว่าสีหน้าเยือกเย็น แต่ไม่รู้ว่ามุมปากคลี่ยิ้มตอนไหนกัน มันทำให้เขาที่ดูเย็นชาเกิดมีอารมณ์ความอบอุ่นขึ้นมาแทนที่
หลินแวยมี่เงยหน้ามองกำไลอย่างงกๆเงิ่นๆ แค่รู้สึกว่าแสงสะท้อนทิ่มตา เลยตอบไม่มั่วๆ “ก็ไม่เลวนะ”
เดวิดพยักหน้ารับ จากนั้นก็บอกราคากับคนที่อยู่ข้าง จากนั้นก็ชูป้ายขึ้นแล้วแจ้งราคาสิบล้านยูโร
จากนั้นก็มีคนประมูลราคาเพิ่มเป็นสิบสองล้านยูโร เดวิดดูท่าต้องการกำไลอันนี้เอามาก เขาเลยเพิ่มราคาเป็นห้าสิบล้านยูโร ทันที
จากนั้นก็ไม่มีคนประมูลราคาแข่ง กำไลอันนั้นก็ตกอยู่ในมือของเดวิด สำหรับราคาห้าสิบล้านยูโร นั้นถือว่าราคาสูงเกินกว่าราคาจริงของกำไลเสียอีก
เดวิดหยิบกำไลขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง แล้วเอ่ยปากพูด “ฉันใส่ให้เธอนะ?”
“ให้ฉันหรอ?” หลินเวยมี่ถามกลับอย่างประหลาดใจ ตั้งตัวแทบไม่ทัน ไม่คิดเลยว่าเดวิดจะส่งสิ่งของอะไรให้เธอ
“ทำไม?” เขาเริ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวดถามกลับอย่างไม่สุขใจเท่าไหร่ จากนั้นก็คว้ามือของหล่อน แล้วก็สวมกำไลให้หล่อนทันที แถมยังบ่นพึมพำออกมาอีกหนึ่งประโยค “ผู้หญิงนี่ช่างเรื่องเยอะจริง”
หลินเวยมี่ฉีกยิ้ม สายตาจ้องมองที่กำไลนั้น รู้สึกว่ามึนๆอยู่ แต่มันเป็นกำไลที่มีค่าถึงห้าสิบล้านยูโรเลยนะ
ไม่สามารถแตะต้องหรือสัมผัสได้นะ มันจะทำให้หล่อนหาเรื่อง
“MR.เดวิด ไม่ทราบว่ากำไลนี้ให้พวกเราได้ไหม แฟนของผมชอบมาก เป็นเพราะว่าคืนนี้ผมมาสายเลยมาไม่ทันประมูลราคา”
น้ำเสียงใสชัดเจนดังมา มันทำให้หลินเวยมี่ตัวแข็งอยู่สักพัก น้ำเสียงคุ้นเคยให้จิตใจของหล่อนเสียวสะท้าน ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันนั้นราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อวานเอง
เดิมทีคิดว่าความเจ็บปวดมันจะค่อยๆจมลึกหายไปตามเวลา แต่มันก็แค่สิ่งที่ตนเองมองผ่านเท่านั้น ความจริงมันยังอยู่
เดวิดคลี่ยิ้มออกมา มองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า มุมปากฉีกยิ้มขึ้น “แต่ภรรยาของผมก็ชอบมาก จะให้หรือไม่ให้ต้องถามความคิดเห็นของภรรยาของผม”
“ช่างเป็นสุภาพบุรุษที่ไม่หวงสิ่งของอันเป็นที่รักเสียจริง แต่ว่าแฟนของผม…” ฉู่เฉินซีเบนสายตาไปที่ผู้หญิงข้างกายของเดวิด สีหน้าตะตะลึง การแสดงออกผิดแปลกไปทันที
หลินเวยมี่ค่อยๆเงยศีรษะขึ้นมา ก็พบกับใบหน้าที่ดูตกอกตกใจของเขา ดวงตาแสดงอาการเยาะเย้ยขึ้นมา พร้อมทั้งหันไปทางเดวิด
“คุณคนนี้เขาชอบ งั้นเราก็ให้เขาไปแล้วกัน”
หลินเวยมี่รู้ดีว่าเดวิดเป็นคนที่ไม่ทำเรื่องที่ตนเองขาดทุน ระหว่างทั้งสองคนต้องมีกำไรมาเกี่ยวข้องอย่างแท้จริง ที่แท้การที่เดวิดมาที่งานประมูลสินค้านี้จุดประสงค์หลักของเขาก็พุ่งเป้าไปที่ฉู่เฉินซี
หลินเวยมี่รีบถอดกำไลออกมา แล้วยื่นให้เขา “คุณคะ เอากำไลนี่ไปให้แฟนคุณเถอะ หล่อนคงชอบมากๆ”
ฉู่เฉินซีรับกำไลวงนั้นอย่างเชื่องช้า เขาคิดไม่ออกจริงๆว่า ระหว่างเขาและเธอนั้นจะเจอหน้ากันอีกครั้ง แล้วทำไมหล่อนถึงทำตัวไร้ความรู้สึกกับเขาแบบนั้น ดูไม่สนใจใยดีเขาเลยด้วยซ้ำ?
หรือว่าในหัวใจของหล่อนเอาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรากลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว?
เพราะการมองอย่างไร้ความรู้สึก ความเย็นชาของหล่อน ในทำให้กองไฟในหัวใจของฉู่เฉินซีลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอบคุณครับ” เขาพูดนิ่งๆ ตอนที่รับกำไลมานั้น เขาตั้งใจที่จะบีบนิ้วหล่อนเล็กน้อย สายตาดูทะเล้น จากนั้นก็จากไป