รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 217
บทที่ 217 ทำไมต้องหลบหน้าผมด้วย
ฉู่เฉินซีจับใบหน้าของเธอเอาไว้ ลมหายใจร้อนนั้นรินรดอยู่ตรงหน้าของเธอ แววตาคู่นั้นเศร้าหมอง เขาไม่เข้าใจ เมื่อสองวันก่อนเธอยังดีๆอยู่ไม่ใช่หรอ ทำไมแค่ชั่วพริบตาเธอถึงกลายเป็นแบบนี้?
คิดไม่ออก เดาไม่ถูก เขาถูกผู้หญิงตรงหน้าทรมานจนแทบจะกลายเป็นบ้า
“ทำไมต้องหลบหน้าผม พูดออกมา” มองดูคิ้วที่ขมวดเป็นปมของเธอ อดไม่ได้ที่จะคลายน้ำหนักแรงที่กดลงไป
“เปล่าค่ะ”
“พูดอีกรอบสิ” ฉู่เฉินซีเชยคางเธอขึ้น จากนั้นเม้มกัดที่ริมฝีปากของเธอ แล้วถามต่อ “ทำไมต้องหลบหน้าผม”
จมูกของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นของเขา ถึงขั้นแม้แต่เสียงหัวใจเต้นแรงของเขาก็ยังได้ยิน
หลินเวยมี่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี น้ำตาของเธอไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ หยดน้ำตานั้นไหลลงมาอยู่ข้างริมฝีปากของคนทั้งสอง
ในเวลาเดียวกัน ฉู่เฉินซีกัดปากเธอแน่น ราวกับว่าอยากกลืนกินเธอลงไปด้วยความบ้าคลั่ง
“อยากจะกลืนคุณเข้าไปในตัวของผมจริงๆ ดูสิว่าถึงเวลานั้นคุณจะหลบหน้าผมยังไง”
หลินเวยมี่สูดลมหายใจ เธอทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้าฉู่เฉินซียังไง เขาร้อนเหมือนไฟ ที่พร้อมจะแผดเผาเธอ และตัวเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธเขาได้
“ขอโทษ”
คล้ายกับว่ามีเพียงคำขอโทษเท่านั้น ที่จะทำให้เธอสามารถถอยหลังได้ เธอสูดลมหายใจเข้า ดวงตาของเธอชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตา
“คุณพ่อมาหาคุณแล้วใช่ไหม เขาบอกให้คุณออกไปจากชีวิตผม?”
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้น มองหน้าเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
ทว่าสีหน้าของฉู่เฉินซีเหมือนจะรู้แล้วว่าเป็นไปตามที่เขาคิด หลังจากที่มองดูท่าทางของเธอแล้วนั้น เขาก็มั่นใจว่าคุณท่านแก่ฉู่ได้มาหาหลินเวยมี่แล้ว ไม่อย่างนั้น จู่ๆเธอก็คงไม่เย็นชากับเขาแบบนี้
“เปล่าค่ะ คุณคิดมากเกินไปแล้ว” หลินเวยมี่เม้มกัดฟันแล้วส่ายหน้า ไม่อยากให้เรื่องของคุณท่านแก่ฉู่ ทำให้ทุกคนรู้ว่าเสี่ยวหลงเป็นใคร
“คนโกหก คุณมันเป็นคนโกหก คุณจะโกหกผมแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่?” เขาจับหน้าของเธออย่างแรง คล้ายกับว่าเป็นการลงโทษที่หลินเวยมี่โกหก
เขาทั้งรักและเกลียดหลินเวยมี่ ทุกครั้งที่มีปัญหาเธอจะเก็บเอาไว้ในใจไม่ยอมพูดออกมา เขาเกลียดเวลาที่เธอเป็นแบบนี้
หน้าของหลินเวยมี่แดงก่ำ บวกกับดวงตาที่ชื้นไปด้วยน้ำตา ทำให้เธอดูน่าสงสารมาก
ฉู่เฉินซีทนไม่ได้อีกแล้ว เขาเชยคางเธอขึ้นแล้วประทับจูบลงไป คล้ายกับว่าไม่ว่าจะจูบยังไงก็ไม่เคยพอ
“เวยมี่ จำเอาไว้ เรื่องนี้คุณยังมีผม อย่าแบกรับมันเอาไว้คนเดียว อย่าไม่สนใจผม” เขาหยุดพูด แล้วมองมาที่เธอ “ถ้าคุณไม่สนใจผม ตรงนี้ของผมมันเจ็บมาก”
เขาชี้ไปที่หัวใจของตนเอง จากนั้นจูบเธออย่างดื่มด่ำอีกครั้ง แล้วจึงปล่อยเธอ
พึ่งไปนั่งตรงโซฟา เดวิดเดินออกมา ผมของเขาเปียกไปด้วยหยดน้ำ เห็นได้ชัดว่าพึ่งอาบน้ำเสร็จ
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้า ขณะที่สูดลมหายใจเข้านั้นเธอยังได้กลิ่นของเขา มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย ในใจรู้สึกอบอุ่น
เพียงแต่ความรักของเขานั้นมากจนเกินไป ทำให้เธอรู้สึกกลัว อีกอย่างเรื่องของเสี่ยวหลงจะทำยังไง?
เรื่องระหว่างเธอกับเขามันอันตราย จนทำให้เธอสิ้นหวัง ทั้งๆที่รักกันแต่กลับรักกันไม่ได้ เป็นความเจ็บปวดอย่างที่สุด
ฉู่เฉินซีที่พึ่งกลับไปไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอยืนพิงอยู่ตรงหน้าต่าง อ่านข้อความในโทรศัพท์ จนกระทั่งเขากลับไป
เหมือนว่าชีวิตของเธอจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ฉู่เฉินซีไม่มาหาเธอสามวันแล้ว ทำให้เธอมีเวลาในการอยู่เงียบๆสักพัก
“พี่เวยมี่ มีคนส่งดอกไม้มาให้พี่ค่ะ” หวงหยิ่งยิ้มแล้วอุ้มช่อดอกไม้มา จากนั้นยื่นช่อดอกกุหลาบสีน้ำเงินขนาดใหญ่ให้กับเธอ
หลินเวยมี่นิ่งค้าไปครู่หนึ่ง จากนั้นอ่านข้อความในการ์ดที่แนบมาด้วย มุมปากของเธอยกขึ้น
“แม่มดสีน้ำเงิน โรแมนติกจึงเลยนะคะ พี่เวยมี่ บอกหน่อยสิคะ ว่าใครเป็นคนส่งดอกไม้นี้มาให้?” หวงหยิ่งทำหน้าอยากรู้อยากเห็นแล้วมองไปที่เธอ สีหน้าของเธอดูมีความสุขมาก คล้ายกับว่าคนที่ได้รับช่อดอกไม้คือเธอไม่ใช่หลินเวยมี่
หลินเวยมี่วางการ์ดเอาไว้ข้างๆ อมยิ้ม “เพื่อนคนหนึ่ง”
“เพื่อน? เพื่อนแบบไหนกันคะ?” หวงหยิ่งยังคงถามต่อ
“ก็แค่เพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องถามหรอก” หลินเวยมี่ก้มหน้าแล้วทำงานของตัวเองต่อไป แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกอบอุ่น เธอนึกว่าฉู่เฉินซีจะจำไม่ได้แล้วเสียอีก
เพราะถึงอย่างไรเธอกับเขาก็อยู่ด้วยกันไม่นาน อีกทั้งแม้แต่ตัวเธอยังชอบลืมวันเกิดตัวเอง
หลังจากเลิกเงิน เธอใส่เสื้อกันหนาวสีเม็ดข้าว พร้อมกับใส่หมวดไหมพรมที่น่ารักๆออกไป มองดูรอบๆ แต่กลับไม่เห็นรถของฉู่เฉินซี ทำให้ภายในใจของเธอรู้สึกผิดหวัง
“กำลังมองหาผมอยู่ใช่ไหมครับ?”
จู่ๆเสียงก็ดังขึ้นด้านหลัง หลินเวยมี่รีบหันหลังกลับไป มองดูฉู่เฉินซีที่ยืนอยู่ตรงหน้า เธอไม่รู้จะพูดอะไรดี ทั้งๆที่บอกว่าจะไปให้ไกลจากเขา แต่ว่าหัวใจของเธอกลับเป็นเหมือนแม่เล็ก ที่อยากจะใกล้ชิดเขาจนไม่อาจควบคุมได้
“เป็นอะไรไป? ทำไมถึงตื้นตันใจขนาดนี้?” เขาเดินขึ้นหน้าแล้วบีบจมูกของเธอ ราวกับว่าเรื่องร้ายๆก่อนหน้านี้หายไปจนหมดแล้ว ไม่มีใครพูดถึงมันอีก
หลินเวยมี่มองไปรอบๆ ถามเสียงเบา “ทำไมคุณถึงมาแบบโจ่งแจ้งแบบนี้คะ?”
ฉู่เฉินซีนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เขาจับมือของเธอเอาไว้ด้วยความไม่พอใจ จากนั้นถามขึ้นด้วยความรู้สึกน้อยใจ “ผมไม่น่าเอาไปอวดใครถึงขนาดนี้เลยหรอ?”
“เปล่าค่ะ” หลินเวยมี่ไม่รู้จะพูดยังไงดี ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนยืนอยู่ตรงหน้าประตูโรงแรม ถ้ามีคนเห็นเข้าไม่รู้ว่าจะถูกเอาไปพูดยังไงบ้าง
“ไม่ใช่หรอ? คุณมันเป็นผู้หญิงใจร้าย?” เขากอดเธอเอาไว้ จากนั้นจูบเบาๆเป็นการลงโทษ
ท่าทางของหลินเวยมี่เหมือนกับต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เก่งกาจ เธอมองไปรอบๆ จากนั้นจับมือของเขาเอาไว้แล้วรีบออกไป
“กระวนกระวายถึงขั้นนี้เลยหรอ? ผมทำให้คุณขายหน้ามากหรอ?” ฉู่เฉินซีถามด้วยความไม่พอใจ
“ไม่ใช่ค่ะ แต่คนในโรงแรมทุกคนก็รู้ดีว่าฉันแต่งงานแล้ว พวกเราทำแบบนี้มันไม่ดีค่ะ” หลินเวยมี่รีบพูดอธิบาย
ฉู่เฉินซีจับมือของเธอเอาไว้ จากนั้นเดินไปตรงถนน “ทำไมถึงไม่ดี? พูดสิ”
เธอรู้ดีว่าฉู่เฉินซียังคงโกรธ ทั้งๆที่รู้ดีว่าเหตุผลมันคืออะไรแต่ก็ยังจงใจถาม เธอเองก็เริ่มโมโหขึ้นมา ไม่อยากจะสนใจเขา ปล่อยให้เขาทำตามใจ
เขาพาเธอเข้าไปในรถ วินาทีต่อมาก็กอดเธอเอาไว้ จากนั้นกัดปากของเธอ
“ฉู่เฉินซี!” เธอขมวดคิ้วแล้วเรียกชื่อเขาเพื่อพูดเตือน เธอถูกเขากัดจนปากแดงและชาไปหมด
ฉู่เฉินซีมองไปที่เธอ จากนั้นจูบบดขยี้เธออีกครั้งแล้วค่อยปล่อยตัวเธอ
“ผมถามคุณว่า ผมทำให้คุณขายหน้าหรอ?”
หลินเวยมี่ถลึงตามองเขาแต่ไม่ตอบคำถาม ความเป็นจริงมันก็ชัดอยู่แล้ว ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วอยู่กับผู้ชายคนอื่นแบบนี้ คนที่มีตาทุกคนก็รู้ว่ามันคืออะไร อีกอย่างใครจะไปขี้อวดเหมือนฉู่เฉินซี อยากจะป่าวประกาศให้โลกรู้ว่าพวกเขาคบกันแล้ว
“พูดสิ”
“ฉู่เฉินซี คุณมันคนโง่ สิ่งที่พวกเราทำอยู่นั้นเรียกว่าอะไรคะ? เรียกว่าการลักลอบคบชู้!คุณคงรู้นะคะว่ามันหมายความว่าอะไร?
ฉู่เฉินซีมองดูท่าทีโมโหของหลินเวยมี่ เขาจึงใจอ่อน จากนั้นหัวเราะออกมา
“ลักลอบก็ลักลอบสิ ผมชอบลักลอบทำแบบนี้กับคุณ”
หลินเวยมี่มองบนให้กับเขา ถลึงตามองดูฉู่เฉินซีอย่างเหลืออด
“อย่ามองผมด้วยความารักแบบนี้สิ” เขายิ้มแล้วมองมาที่เธอ แววตาของเขาเคล้าไปด้วยการกลั่นแกล้ง
“ใครมองดูคุณด้วยความรักกัน!” เธอโมโหแล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง ไม่อยากจะสนใจฉู่เฉินซี
ทันใดนั้นเอง รู้สึกเย็นวาบที่คอ เธอหันหน้ากลับไป ก็ได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นข้างหู
“อย่าขยับ”
ฉู่เฉินซีมองดูสร้อยคอบนคอของเธอด้วยความพอใจ จากนั้นเลียหูของเธอ แล้วค่อยถอนตัวออกไป
หลินเวยมี่สั่นไปทั้งตัว มือจับไปยังสร้อยที่อยู่ตรงคอแล้วมองไปที่เขา
“ของขวัญวันเกิดครับ”
หลินเวยมี่เงียบและไม่พูดไม่จา แววตาที่ดีใจนั้นกลายเป็นความเสียใจ
“เป็นอะไรไป? ไม่ชอบหรอ?” ฉู่เฉินซีเอ่ยถาม จากนั้นจับไปที่เพรชสีน้ำเงินบนสร้อยคอของเธอ
“เปล่าค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอฝืนยิ้ม แต่นั่นก็ไม่สามารถกลบความเศร้าในใจของเธอได้ พวกเขาไม่ควรทำแบบนี้
ฉู่เฉินซีรู้ดีว่าเธอกำลังรู้สึกยังไง จึงสตาร์ทรถ แล้วพาเธอไปที่โรงแรมหนึ่ง
หลินเวยมี่ถลึงตามองดูเขา “คุณพาฉันมาที่นี่ทำไมคะ?”
“ทำในสิ่งที่ควรทำไง ไปกันเถอะ” จับมือของเธอเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปในโรงแรม เดินเข้าไปในห้อง มีแขกขนาดใหญ่วางเอาไว้ตรงกลางห้อง
“วันเกิดของคุณ มีแค่เราสองคน ไม่ครึกครื้น ไม่ยิ่งใหญ่ คุณชอบไหมครับ?” ฉู่เฉินซีดึงตัวเธอไปตรงหน้าเค้ก จากนั้นเอ่ยถามเสียงเบา
หลินเวยมี่มองดูก้อนน้ำตาที่เป็นคนสองคนกอดกันวางอยู่บนเค้ก เธอคลายยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า
“ชอบมากค่ะ”
ฉู่เฉินซีกอดเธอเอาไว้ จากนั้นจงใจเป่าลมร้อนข้างหูของเธอ แล้วพูดขึ้น “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว พวกเราก็คงต้องแอบทำอะไรกันอีกใช่ไหม?”
“ฉู่เฉินซี คุณมันเจ้าเล่ห์” เธอเม้มกัดปากแล้วมองไปที่เขา ทำไมในสมองของผู้ชายคนนี้ถึงมีแต่เรื่องนี้? ไม่เข้าใจคำว่าโรแมนติกเลยหรือไง
“ครับ ผมอยู่นี่ครับ” เขาพูดแล้วโน้มตังลงจูบเธอ ชิมกลิ่นอายของเธอ กลิ่นของเธอ
มือหนาอุ้มเธอขึ้นมา ทว่ากลับไม่สามารถขวางกั้นความเร่าร้อนของทั้งสอง เขาจูบเธออย่างแผ่วเบา เดินเข้าไปในห้องตามความจำที่มีอยู่
วางเธอลง หรี่ตาขึ้นมา จากนั้นมองดูเธออย่างพิจารณา
เธอเหมือนยาพิษที่พร้อมจะเอาชีวิต ขอเพียงเข้าไปใกล้ก็ทำให้ตายได้
เขากดทับตัวเธอ เชยคางของเธอขึ้น จูบอย่างดื่มด่ำ เหมือนว่าจะมีแค่เวลานี้ ที่จะสามารถสัมผัสถึงการมีตัวตัว
หน้าของหลินเวยมี่แดงระเรื่อ ตาของเธอเริ่มพร่ามัว
ฉู่เฉินซีเม้มกัดหูของเธอเบาๆ แล้วถามเสียงค่อย “คุณต้องการผมไหม?”
เธอแต่กลับไม่ยอมตอบ อุณหภูมิในอากาศเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
และเธอก็รู้สึกเพียงว่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ
มือหนาของฉู่เฉินซียื่นเข้าไปด้านในคอเสื้อของเธอ แล้วถามขึ้นอีก “บอกมาสิ อยากได้ผมหรือเปล่า บอกผมมา ว่าต้องการหรือเปล่า”
คำพูดของเขาทำให้หลินเวยมี่ประหม่าจนไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง ทำได้เพียงกัดฟันแน่น แล้วหลับตาลงไม่ยอมตอบ
ทันใดนั้นเอง ร่างกายกลับเย็นวาบ เสื้อของเธอถูกเขาทิ้งไปข้างๆ
“ไม่พูดใช่ไหม?