รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 220
บทที่ 220 ฉันนอนกับเขา
หลินเวยมี่และกู้จุนเฟิงจึงรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที เด็กน้อยสองคนนี้อายุยังเด็กอยู่เลย ทำไมถึงพูดจาเหมือนผู้ใหญ่แบบนี้?
“หลินเห้าหลง เธอนี่แหละซื่อบื้อ!” เด็กผู้หญิงจึงได้ถลึงมองเสี่ยวหลง สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เสี่ยวหลง นี่คือคุณลุงกู้นะครับ” หลินเวยมี่ยิ้มแห้ง แล้วแนะนำขึ้น
เสี่ยวหลงเรียกขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่สนอารมณ์ใดๆ และไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรมากนัก
“อานอาน นี่เป็นคุณน้าเองนะ” จริงๆแล้วกู้จุนเฟิงก็รู้สึกอึดอัดในเล็กน้อยอยู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่ได้เจอหลินเวยมี่อีกครั้ง เป็นเรื่องที่กะทันหันเกินไป ทำให้เขารู้สึกเอ๋อไปทันที
เด็กผู้หญิงบ่นพึมพำด้วยเสียงเย็นชา แล้วไม่คิดจะสนใจอะไรเลย
“เด็กน้อยถูกแม่เธอตามใจมาเยอะ” กู้จุนเฟิงยิ้มแห้งขึ้น แล้วมองหลินเวยมี่ด้วยสายตาที่ลุ่มลึก เหมือนมีอะไรจะคุยกับเธอ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากไหนดี
“ไม่เป็นไรค่ะ” หลินเวยมี่ยิ้มอ่อนๆ “งั้นฉันไปก่อนนะคะ”
กู้จุนเฟิงมองข้างหลังที่กำลังเดินจากไปของเธอ จึงได้ถอนหายใจออกมาแรงๆ ไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขาทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ ความสัมพันธ์ยังไม่สนิทสนมเท่ากับคนแปลกหน้าเลย
หรือเพราะว่าตัวเอง เขาจึงรู้สึกห่างเหิน
หลินเวยมี่กลับบ้านไป จากนั้นก็ต้มหมี่เมนูง่ายๆ แล้วก็ได้อุ้มหนังสือพิมพ์แล้วไปตามหางานอยู่ข้างบน เธออาศัยอยู่ในฝรั่งเศสมาห้าปีก็ทำงานแต่ในโรมแรม ดังนั้นครั้งนี้เธออยากจะงานประเภทนี้
และประตูก็ถูกเปิดออก จากนั้นก็เห็นเย่หนิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่หาว ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเหนื่อยหน่าย
“เย่หนิง?” หลินเวยมี่มองเธอด้วยความแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าเย่หนิงจะมาหาเธอที่นี่
“ที่บ้านฉันก็มีฉันอยู่คนเดียว ขี้เกียจกลับไป ฉันชอบตัวติดกับแกมากกว่า ที่รัก ฉันหิวแล้ว” เย่หนิงจึงได้กะพริบตาใส่เธอ สีหน้าเต็มไปด้วยการร้องขอ
หลินเวยมี่ส่ายหัว แล้วเดินเข้าห้องครัวไป
เย่หนิงพิงอยู่ตรงขอบประตูห้องครัว แล้วมองท่าทางที่เธอต้มหมี่อย่างชินมือ นัยน์ตาจึงเปล่งประกายความรู้สึกเคร่งเครียดและทุกข์ใจ
“เดวิดเป็นดี้หรอ?”
หลินเวยมี่จึงพยักหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ “แกไม่ใช่ว่าเคยเจอแฟนหนุ่มของเธอหรอ?”
เย่หนิงรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอีก ใบหน้าเล็กๆดูแดงระเรื่อขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะพูดคำพูดต่อไปกับหลินเวยมี่ยังไง
“ทำไม? จู่ๆทำไมถึงถามแบบนี้”
“เวยมี่ งั้นแกกับเดวิด…..” เย่หนิงกลืนน้ำไหลเข้าไป แล้วถามขึ้นต่อ “ระหว่างพวกแกไม่เคยเกิดอะไรขึ้นใช่ไหม?”
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้นอย่างอึดอัดใจ “เปล่า ฉันกับเขาก็เหมือนกับแก เราต่างก็เป็นเพื่อนสนิทกัน จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้ยังไง?”
เย่หนิงได้ยินหลินเวยมีพูดแบบนี้ ใบหน้าเรียวเล็กจึงดูแย่มากๆ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหมองเศร้า “เวยมี่ ฉันแย่แล้ว ฉันแย่แล้ว!”
“เย่หนิง วันนี้แกทำไมแปลกๆ”
“ฉันนอนกับเขา”
ปึงเพียงเสียงเดียวดังขึ้น ไข่ที่อยู่ในมือของหลินเวยมี่จึงร่วงหล่นลงบนพื้น สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกตลึงพลางมองเย่หนิง เธอยังไม่ทันได้สติจากระเบิดที่ระเบิดเมื่อกี้นี้
“เย่หนิง แกไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?”
“เปล่า มีวันหนึ่งตอนไปกินเหล้าในผับ ฉันบังเอิญเจอเขา ฉันก็รู้ว่าเขาคือ แต่ว่าคืนนั้น……” เย่หนิงทำสีหน้าที่พยายามจะอธิบาย แต่ไม่รู้ว่าจะพูดต่อยังไงดี
หลินเวยมี่เผยสีหน้าที่ดูเหมือนจะเข้าใจเธอ จึงได้ตบหัวไหล่ของเธอเพื่อปลอบโยน
“ถือว่าเป็นแค่ความฝันแล้วกัน”
เย่หนิงเงยหน้าขึ้นแล้วมองเธออย่างลุ่มลึก ใบหน้าเรียวเล็กนั้นดูกระวนจนจะกลายเป็นหน้าซาลาเปา ฝันงั้นหรอ ต้องใช้ฝีมือและความสามารถแค่ไหนถึงจะฝันแบบนี้ได้?
ทันใดนั้นกริ่งประตูก็ดังขึ้น หลิวเวยมี่ขมวดคิ้วขึ้น และไม่ได้ไปเปิดประตู
เย่หนิงรู้สึกได้ว่าเธอกำลังตื่นเต้น จึงได้ผลักเธอออก “คนรู้จักหรือเปล่า?”
“คนรู้จักไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่”
“กลัวอะไร ต่อให้เป็นฉู่เฉินซีจริงๆ เขาคงไม่มีทางกลืนกินเธอได้หรอกมั้ง?” เย่หนิงจึงได้เดินไปตรงประตูอย่างกล้าหาญ แล้วเปิดประตูออกทันที
“ฮัลโล” เดวิดคลี่ยิ้มอันเบิกบานแล้วยืนอยู่ตรงประตู อารมณ์ของเขาดูเหมือนจะดีมากๆ จากนั้นก็ได้รีบทักทายเย่หนิง
ใบหน้าอันเรียวเล็กของเย่หนิงจึงแดงระเรื่อขึ้นมาทันที และกำลังคิดจะปิดประตูลง แต่เดวิดก็รีบใช้แขนของตัวเองดันประตูไว้ แล้วพยายามจะผลักเข้ามา
“คุณนี่มันเป็นคนเข้ากับคนง่ายจริงๆ”
สีหน้าของเย่หนิงแปรเปลี่ยนเป็นสีตับหมู แล้วถลึงตามองเขาอย่างโหดเหี้ยม จากนั้นก็รีบเดินไปอยู่เคียงข้างหลินเวยมี่
“เดวิด คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”
“มีสัญญาต้องเซ็นที่นี่ อีกอย่างผมก็ไม่วางใจที่คุณมาตามลำพัง” เดวิดพูดแบบนี้ออกมา สายตาจับจ้องเย่หนิงไว้ นัยน์ตาของเขาแผ่รังสีของสัตว์ป่าออกมา
“ร่วมงานกับฉู่เฉินซีหรอ?” หลินเวยมี่ถามขึ้นเหมือนเซ้ทน์ของตัวเองบอกเธอแบบนี้ อารมณ์ของเธอจึงหม่นหมองเล็กน้อย
“อืม เขากับผมกลับมาพร้อมกัน” เดวิดเหมือนตั้งใจจะบอกเตือนเธอ แล้วมองเธอด้วยสายตาที่ลุ่มลึก “คุณกลับมาที่นี่ ไม่ใช่ว่าต้องการจะหลบเขาใช่ไหม?”
หลินเวยมี่กระตุกมุมปากขึ้นอย่างอึดอัด แล้วพูดขึ้นอย่างขมขื่น “ก็ถือว่าใช่ ดังนั้นคุณไม่มีทางหักหลังฉัน อย่าไปบอกเขาว่าฉันอยู่ที่นี่”
เดวิดกระตุกมุมปากขึ้น แล้วมองผู้หญิงที่อยู่ข้างๆหลินเวยมี่ “ไหนๆคุณก็เตือนผมแล้ว ผมไม่มีทางบอกเขาแน่นอน”
เย่หนิงหลบอยู่ข้างๆอยู่อึดอัด ใบหน้าลุ่มร้อนมากๆ ตอนนี้เวลานี้ในหัวสมองของเธอนึกถึงแต่ผู้ชายคนนั้น นั่นก็คือเดวิดได้แผ่รังสีความโหดเหี้ยมออกมา
หลินเวยมี่เปิดมือถือ แล้วเห็นข้อความอยู่สามข้อความ สองข้อความในนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับตัวเธอ อีกหนึ่งข้อความคือฐาลี่เป็นคนส่งมา ในใจลึกๆจึงรู้สึกผิดหวังอย่างน่าแปลก พอเปิดข้อความของฐาลี่ ได้รู้ว่าจะไม่ได้เจอรั่วหรานแล้ว ในใจลึกๆจึงรู้สึกโล่งอกไปไม่น้อย
ไหนๆไม่ได้เจอเธอแล้ว ก็จะโกหกตัวเองไปทำไมอีก จะได้ทำให้ตัวเองลืมความสัมพันธ์ทางสายตาของฉู่เฉินซีไปชั่วคราวก็ยังดี
พอเปิดหน้าต่างออกไป และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แรงลมที่พัดมาเป็นเพียงลมหนาวเย็น พอเธอสูดเข้าไปจึงทำให้ต้องจามไปหนึ่งที
เขตนอกบ้านจัดสรร แสงสีส้มอ่อนนั้นทำให้ใจของเธอตกตลึงขึ้นมา เธอสามารถมองเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงด้านล่างของตึก ใจของเธอจึงเต้นแรงขึ้นมาอย่างฉับพลัน
เธอจับจ้องคนๆนั้นที่อยู่ข้างล่างด้วยสายตาที่ดูถูก ในใจลึกๆรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย จะใช่เขาไหม?
เธอยังคงจำได้ตอนที่เธออยู่ฝรั่งเศส ฉู่เฉินซีก็เฝ้าอยู่ใต้ตึกที่พักของเธอแบบนี้ และก็ได้สูบบุหรี่อย่างเงียบๆ แล้วมองเธออยู่แบบนี้
ในใจจึงรู้สึกเจ็บปวดอย่างน่าแปลก นอกจากจะตื่นเต้นและยังรู้สึกหวาดกลัวอีกด้วย กลัวว่าฉู่เฉินซีต้องมาพัวพันกับเธออีก นั่นทำให้เธอไม่มีทางหนีไปไหนได้
เธอจึงปิดไฟ แล้วยังคงยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่างอย่างเงียบๆ เหมือนกำลังยืนอยู่เพื่อนคนที่อยู่ด้านข้าง จนถึงตอนเที่ยงกลางคืน เขาถึงจะจากไป
เวลาได้ผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ นอกจากทุกคืนจะมีคนๆนั้นปรากฏตัวอยู่ตรงใต้ตึก พวกเขาก็ไม่ได้ได้เจอหน้ากัน แม้กระทั่งยังทำให้เธอรู้สึกสงสัยว่า คนที่อยู่ข้างล่างอาจจะไม่ใช่ฉู่เฉินซี แต่เป็นคนอื่น
ในออฟฟิศที่แสนกว้างขวาง ฉู่เฉินซียืนอยู่ตรงหน้าต่างอย่างเงียบๆ แล้วกำลังมองทิวทัศน์ของเมืองaไปสักพักใหญ่ จากนั้นก็ได้เก็บภาพทิวทัศน์ไว้ในสายตา
“นายครับ ข้อมูลได้ถูกเช็คอย่างครบถ้วนแล้ว วันที่แจ้งนายไปไม่ตรงกับเอกสารครับ”
บรรยากาศในออฟฟิศเต็มไปด้วยความเงียบเหงา สายตาของฉู่เฉินซีเผยความผิดหวังออกมาอย่างไม่สามารถปิดบังไว้ได้ เป็นไปได้ยังไง? ผู้ชายคนนั้นเหมือนเขาขนาดนั้น ทำไมวันเดือนปีเกิดถึงไม่ถูก?
เขาจึงหันไปเอาเอกสารออกมา เวลาคลาดเคลื่อนไปข้างหน้าอีกสามเดือน แต่มันก็หมายความว่า ในระยะเวลาสั้นๆเพียงสามเดือน หลินเวยมี่ได้อยู่ด้วยกันกับเดวิด พวกเขาถึงจะมีลูกด้วยกัน
กระตุกของเขาจึงกระตุกยิ้มอย่างเลือดเย็นออกมา มือของจับกระดาษไว้ ยิ่งอยู่ยิ่งกว่าขาวซีดจนเลือดจางหายไป สีหน้ายิ่งอยู่ก็ยิ่งโหดเหี้ยมและดูแย่มากๆ
“นายครับ……” อ้านเย่ได้เรียกขึ้นอย่างระมัดระวัง
ฉู่เฉินซีจึงได้ทิ้งเอกสารไว้ข้างๆ และยังรู้สึกไม่ตายใจ “ไปสืบหาโรงพยาบาลพวกนั้นออกมาให้ฉันให้ได้”
เขาไม่เชื่อว่าเด็กผู้ชายคนนั้นจะไม่มีความสัมพันธ์กับเขา เขาจึงเอารูปที่อยู่ในแฟ้มเอกสารออกมา หน้าตาของเด็กผู้ชายคนนั้นเหมือนตอนเเขาเด็กๆมากๆ
เขาเลยสูบบุหรี่เข้าปากไปหนึ่งคำอย่างเต็มแรง เหมือนทำแบบนี้จะทำให้อารมณ์ของเขาเย็นลงได้
รั่วหรานป่วยอีกแล้ว กระทั่งไม่ได้สติเลยสักนิด ทุกวันก็เอาแต่พึมพำว่าอยากเจอหลินเวยมี่ แต่กลับทำเสียงพึมพำต่ำจนทำให้รู้สึกหวาดผวา
แก่ฉู่ก็รู้สึกเป็นห่วงรั่วหราน จึงเฝ้าเขาอยู่ทุกวัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
แม้กระทั่งฉู่เฉินซียังไม่แน่ใจ ถ้าจะให้แม่ลูกได้เจอกัน จะเกิดปัญหาหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่กล้าเริ่มดำเนินการสักที
ในโรงพยาบาล หลินเวยมี่จูงมือเสี่ยวหลงเอาไว้แล้วเดินไปตรงห้องผู้ป่วย ในมือถือกล่องข้าวไว้ด้วย
พอผลักประตูห้องผู้ป่วยเข้าไป ก็เห็นขอบตาอันแดงระเรื่อของเย่หนิง และก็ได้อุทานขึ้น แล้วยื่นกล่องข้าวให้เธอ
“กินอะไรหน่อยเถอะ”
เย่หนิงทำนิ่งเฉิย นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยความเสียใจ
ในสวนของโรงพบาบาล ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งกำลังมองไปที่ไกลๆ สายตากลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“คุณย่า คุณย่ารู้สึกโดดเด่นหรือไม่?”เสี่ยวหลงเดินไปหา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆเธอ จากนั้นก็เอามือเท้าคางแล้วมองเธอ
รั่วหรานหันไปมองเด็กผู้ชายด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็เปล่งประกายแสงผ่านนัยน์ตา นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะได้เห็นหน้าเด็กน้อยคนนี้อีก
“ทำไมผมถึงรู้ว่าฉันโดดเดี่ยว?”
“เพราะว่าคนอื่นมีคนคอยอยู่เป็นเพื่อน แต่คุณย่ากลับอยู่ตัวคนเดียว” เสี่ยวหลงทำสีหน้าที่จริงจัง แล้ววิเคราะห์แยกแยะ
ใบหน้าของรั่วหรานจึงเผยความรักที่เอ็นดูออกมา จากนั้นก็ยิ้มอ่อนๆแล้วไม่ได้พูดอะไร โดดเด่นไหม? เธอเหมือนชินกับชีวิตแบบนี้ไปแล้ว
“คุณไม่มีลูกหรอครับ? ทำไมลูกของคุณไม่มาอยู่เป็นเพื่อนคุณ?” เสี่ยวหลงรู้สึกไม่เข้าใจมากๆ ดวงตากลมโตแววใสกำลังมองรั่วหราน
“ย่ามีลูกสาว แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าลูกสาวอยู่ที่ไหน หลายปีก่อนได้ทิ้งเธอไป” คำพูดของรั่วหรานมีความผิดหวังแสบแฝง เธอทิ้งหลินเวยมี่ไป ถือว่าเป็นเรื่องที่เสียใจที่สุดในชีวิตของเธอเอง
ถึงแม้เรื่องนั้นจะโจมตีเธออย่างสาหัส แต่หลินเวยมี่ก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ บอกว่าไม่สนใจก็คงจะเป็นเรื่องโกหก
“รีบตามหากลับมาเถอะ ถ้าเสี่ยวหลงหาหม่ามี๊ไม่เจอก็คงจะแย่แน่ๆ” เสี่ยวหลงพูดด้วยความตื่นเต้น
“ใช่แล้ว ย่ากำลังตามหาเธออยู่เหมือนกัน และกำลังพยายามหาเธออยู่”
“เสี่ยวหลง” หลินเวยมี่ยืนอยู่ตรงบันได แล้วก็ได้เรียกเด็กน้อยที่อยู่ในสวน
ตอนนี้ใบหน้าของเด็กน้อยจึงเผยยิ้มแล้วผายมือให้กับรั่วหราน “หม่ามี๊มาหาเสี่ยวหลงแล้ว ครั้งนี้ผมจะค่อยอยู่เป็นเพื่อนเอง”
ตอนที่รั่วหรานหันหน้ากลับไปด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ และกำลังเห็นเสี่ยวหลงวิ่งเข้าไปในอ้อดกอดของหลินเวยมี่ จึงบังเอิญปิดบังใบหน้าของหลินเวยมี่ไว้พอดี
พอเห็นสองแม่ลูกกอดกันอย่างสนิทสนม ในใจลึกๆจึงรู้สึกว่าของที่หายไปของตัวเองจะโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง นางติดค้างเด็กคนนั้นไว้เยอะ ไม่รู้ว่าเธอจะโกรธเคืองเธอรึไม่?
เธอจึงอุทานด้วยเสียงยาว หางตาจึงเปียกแฉะไปน้ำตาไปเล็กน้อย
ในใจถึงแม้จะยังไม่สามารถปลดปล่อยเรื่องที่ผ่านมา แต่มีแม่อยู่ เธอก็จะคอยกังวลเด็กคนนั้นตลอดเวลา หลายปีมานี้ เธอรู้สึกผิดต่อเด็กคนนั้นจริงๆ