รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 232
บทที่ 232 อวบอิ่ม
ในห้องออกกำลังกาย ฉู่ชิ่งเจ๋อกำชังชกกระสอบทรายอย่างหนักหน่วง เหงื่อบนหน้าผากไหลย้อยลงมาตามข้างแก้ม แววตาเต็มไปด้วยความโกรธ สายตาดูถูกของ Elisยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเขา หรือว่าเขาจะไม่คู่ควรกับฐาลี่จริงๆ
เขาถามตัวเองว่าถึงแม้จะเทียบความสามารถของฉู่เฉินซีไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ตกต่ำจน “ไม่ได้เรื่อง” อีกอย่างหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเรื่องน้อยใหญ่ของบริษัท เขาก็สัมผัสมาแล้ว แม้แต่คุณท่านแก่ฉู่เองก็เอ่ยปากยกหุ้นส่วนยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ให้เขาแล้ว แล้วเขามีส่วนไหนที่เทียบฉู่เฉินซีไม่ได้อีก
สมองยิ่งอยู่ก็ยิ่งว้าวุ่น ความโกรธยังเพิ่มขึ้นไม่หยุด ท่วงท่าของมือก็ยังทวีความรุนแรงขึ้น
“ปัง” จากหมัดหนึ่งที่เขาใส่แรงอย่างเต็มที่ ตรงกลางของกระสอบทรายก็เกิดรอยฉีกขึ้นเป็นแนว ทรายข้างนายไหลตกลงมาเป็นสาย
ฉู่ชิ่งเจ๋อโยนนวมทิ้งไปอีกทาง ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วเดินไปที่จุดพักผ่อน
“พี่ชาย พี่มีเรื่องในใจเหรอ” ฉู่เฟยหยางท่าทางเอ้อระเหย กอดสาวสวยคนหนึ่งไว้ บนใบหน้ามีรอยยิ้มสบายใจประดับอยู่
“เรียกนายมาต่อยมวยเป็นเพื่อนฉัน แต่นายกลับพาผู้หญิงมาด้วยคนหนึ่งเนี่ยนะ” ฉู่ชิ่งเจ๋อมองเขาอย่างเย็นชา สีหน้าที่มืดมนดูย่ำแย่มาก
“ก็ผมไม่ได้อยากต่อยมวย” ฉู่เฟยหยางเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ในปาก ยื่นผ้าขนหนูออกไป “พี่ใหญ่ แล้วมีเรื่องอะไรกันแน่ ระหว่างฐาลี่ไม่ค่อยจะราบรื่นใช่ไหม”
ฉู่ชิ่งเจ๋อรับผ้าขนหนูไปเช็ดเหงื่อบนหน้าลวกๆ แล้วพูดเสียงทุ้มต่ำ “น้องรอง ฉันเทียบน้องสามไม่ได้จริงๆเหรอ”
บนใบหน้าของฉู่เฟยหยางปรากฏสีหน้าตกตะลึงขึ้นมา เพราะฉู่ชิ่งเจ๋อนั้นมั่นใจในตัวเองมาตลอด ไม่ว่าจะต้องเจอกับความกดดันขนาดไหน ก็จะอดทนผ่านมันไปเงียบๆ ถึงแม้ประสิทธิภาพและผลงานจะไม่ได้เทียบเท่าฉู่เฉินซี แต่เขาเองก็พยายามเต็มที่มาก
“พี่ใหญ่ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพี่ถึงคิดแบบนี้” ฉู่เฟยหยางแสดงสีหน้ากังวลใจออกมา แล้วรีบดันหญิงสาวที่อยู่ข้างกายไปอีกทาง
ฉู่ชิ่งเจ๋อนิ่งเงียบไม่พูดจา ผ่านไปพักใหญ่ถึงเปิดปาก “เปล่า ฉันก็แค่ถามเรื่อยเปื่อย”
“พี่ใหญ่ พวกเราพยายามกันมาตั้งหลายปี จะต้องได้รับผลตอบแทนแน่ อีกอย่างด้วยงานแต่งของพี่กับฐาลี่ คุณพ่อจะต้องถอนหุ้นออกมาให้พี่แน่ ตอนนี้ถ้าพวกเราเทียบกับน้องสามแล้ว หลังจากได้ฐาลี่มา ฉู่เฉินซีก็จะตกเป็นเบี้ยล่างทันที”
ฉู่เฟยหยางวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อๆ แต่ว่าฉู่ชิ่งเจ๋อกลับไม่มีใจจะฟัง พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วเดินออกไปข้างนอก
หลินเวยมี่รออยู่นอกโรงเรียนอนุบาลอย่างเงียบๆ วันนี้ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่มาก หน้าเล็กๆถูกแดดส่องจนกลายเป็นสีแดงเข้ม
“เสี่ยวชี ขึ้นไปนั่งรอบนรถสักเดี๋ยวหนึ่งไหม”
ตอนที่ไหล่ถูกตบทีหนึ่ง หลินเวยมี่ก็รีบหันไปแล้วสายตาก็สบเข้ากับกู้จุนเฟิง เธอรีบยิ้มออกมาแต่ก้ไม่ได้ปฏิเสธ
ภายในรถเปิดแอร์ไว้ ความร้อนบนตัวเลยลดลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่เป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่วันนี้กลับร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ
“อากาศไม่ดีเลย คืนนี้ฝนอาจจะตกก็ได้” กู้จุนเฟิงเอ่ยปากอย่างไม่แยแส ในดวงตาที่ลึกซึ้งนั้นดูความรู้สึกอะไรไม่ออก
หลินเวยมี่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา “ขอบใจนะ”
“เสี่ยวชี เธอยังอยู่กับฉู่เฉินซีอีกเหรอ” กู้จุนเฟิงยังถามต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในดวงตากลับเห็นแววดิ้นรนได้อย่างชัดเจน
“อืม” เธอตอบรับเบาๆ หน้าเล็กๆแดงระเรื่อ
“ทำไมรู้สึกว่าเธอเปลี่ยนไปมากเลย ไม่ชอบพูดแล้ว แต่ก็ยังซื่อบื้อเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ” กู้จุนเฟิงหัวเราะเบาๆ คาดว่าคงคิดถึงเธอเมื่อก่อน เมื่อก่อนเธอใสซื่อมาก แต่ก็ระมัดระวัง ไม่เรื่องอะไรก็จะตั้งอกตั้งใจ แต่ว่าความรู้สึกที่มีต่อเขานั้นกลับออกตัวก่อนเสมอ
แต่ว่าตอนแรกเขาลังเลไม่เด็ดขาดถึงได้ตัดส่งโอกาสที่จะรักเธอไป
“ไม่หรอกมั้ง ที่จริงฉันก็ยังเหมือนเมื่อก่อนนั่นแหละ” หลินเวยมี่ยิ้มอ่อนๆ เธอไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปตรงไหน อาจจะเป็นเพราะจิตใจไม่เหมือนเดิมแล้ว หรืออาจจะเพราะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
“เสี่ยวชี ขอโทษนะ” กู้จุนเฟิงมองเธออย่างรู้สึกผิด ครั้งที่แล้วตอนจับตัวรั่วหราน คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าจะจับตัวเธอมาด้วย เขาไม่ได้คิดจะทำร้ายเธอเลยแม้แต่น้อยจริงๆ
หลินเวยมี่มองไปที่กู้จุนเฟิงอย่างประหลาดใจ ไม่รู้เลยว่าทำไมเขาต้องมาขอโทษเธอด้วย
“เสี่ยวจื๋อ ทำไมรู้สึกว่านายอ่อนไหวขึ้นมากะทันหันแบบนี้”
“ครั้งที่แล้ว…..”
“ครืด” กู้จุนเฟิงยังไม่ทันได้อธิบายเรื่องการลักพาตัว ประตูรถก็ถูกเปิดออกเสียก่อน
ฉู่เฉินซีมองดูทั้งสองคนที่นั่งเคียงบ่าเคียงไหล่กันด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วลากตัวหลินเวยมี่ลงมาทันที
“นี่ ฉู่เฉินซี นายทำอะไรของนาย” หลินเวยมี่ขมวดคิ้วมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ข้อมือถูกเขาบีบจนแดงหมดแล้ว
“ขอบคุณที่นายมาทักทายผู้หญิงของฉัน แต่ว่าต่อไปฉันหวังว่าจะไม่ต้องเห็นพวกนายอยู่ด้วยกันอีก”
ฉู่เฉินซีพูดออกไปอย่างเย่อหยิ่งแบบไม่ปิดบัง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือท่าทางที่ออกมาจากตัวเขา ต่างก็เผยความได้เปรียบออกมา
ผู้ชายที่มั่นใจในตัวเองคนนี้ หลินเวยมี่ส่งสายตาดูแคลนที่ออกมาจากใจให้เขาไปชุดหนึ่ง แสดงท่าทางต่อต้นออกมาเล็กน้อย
“พวกเราก็แค่คุยกันเรื่อยๆไม่กี่คำ ไม่ได้ทำอะไรกันสักหน่อย” หยินเวยมี่ขมวดคิ้วอธิบาย
“หุบปาก” ฉู่เฉินซีมองเธอด้วยสายตาเย็นเฉียบ
“ฉู่เฉินซี! ” กู้จุนเฟิงไล่ตามลงมา สีหน้ามืดมน “ฉันก็หวังว่าต่อไปจะไม่ต้องเห็นนายตะคอกใส่เธออีก”
ผู้ชายทั้งสองคนยืนจ้องตากันอยู่แบบนั้น รู้สึกราวกับเห็นอากาศบริเวณนั้นเกิดการกระทบกันจนเป็นประกายไฟ ดุเดือดขนาดนั้น ดุเดือดจนไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามปราม
หลินเวยมี่ยืนอยู่หลังฉู่เฉินซีอย่างหดหู่ หยาดเหงื่อบนหน้าผากไหลย้อยลงมาตามข้างแก้ม มองดูทั้งสองคนอย่างร้อนรน กลัวว่าทั้งสองคนจะชกตีกันเพราะคำพูดไม่เข้าหูแค่คำเดียว
“ป๊ะป๋า หม่าม้า” เสียงหวานๆของเสี่ยวหลงลอยมา เขารีบร้อนวิ่งออกมาข้างหน้า แล้วดึงชายเสื้อของฉู่เฉินซี “ป๊ะป๋า คุณมารับเสี่ยวหลงเหรอ”
ฉู่เฉินซีก้มหน้ามองไปที่เสี่ยวหลง สีหน้าถึงได้อบอุ่นขึ้นมามาก แล้วก็อุ้มเขาขึ้นมาไว้ในอก
“ไปกันเถอะ ป๊ะป๋าจะพาเสี่ยวหลงไปกินมื้อใหญ่”
“หม่าม้า อย่าทิ้งหม่าม้านะ” เสี่ยวหลงตะโกนเรียกหลินเวยมี่ที่อยู่ด้านหลัง
หลินเวยมี่รู้สึกโล่งอกไปที เงยหน้าขึ้นมองหน้ากู้จุนเฟิง ก่อนจะเอ่ยปากขอโทษออกไป “ขอโทษนะ เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ”
“เสี่ยวชี ถ้าเขาไม่ดีกับเธอก็บอกฉันนะ”
“ได้ค่ะ”
“ทำไม ไม่อยากแยกจากกันเหรอ”
คำพูดเย็นยะเยือกลอยมา หลินเวยมี่รู้สึกว่าทันใดนั้นอากาศที่ร้อนอบอ้าวก็เย็นสบายขึ้นมามาก รู้สึกหนาวเย็นออกมาจากขั้วหัวใจ
“มาแล้ว” หลินเวยมี่วิ่งเหยาะๆไปตลอดทาง รีบเร่งตามฝีเท้าของฉู่เฉินซีให้ทัน
ไม่รู้ว่าฉู่เฉินซีจงใจหรือเปล่า ก้าวเท้าทั้งยาวและเร็วมาก เธอต้องวิ่งมาตลอดทางถึงจะตามเขาทัน
จนถึงตอนที่ขึ้นรถ หลินเวยมี่ถึงได้โล่งอกไปที รีบร้อนเช็ดเหงื่อบนหน้า
ฉู่เฉินซีทำหน้าตึง เหมือนว่ามีคนติดหนี้เขายังไงอย่างนั้น ส่วนหลินเวยมี่ก็ไม่กล้าพูดมากแม้แต่คำเดียว กลัวว่าตัวเองจะไปยั่วโมโหสิงโตที่โกรธได้ตลอดเวลาตัวนี้เข้า
ภายในห้องส่วนตัว ครอบครัวทั้งสามนั่งลงพร้อมกัน อาหารหลักสี่อย่าง ทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยรถเผ็ด
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวังแล้วก็สบตาเข้ากับฉู่เฉินซีที่สีหน้าบึ้งตึง ยิ้มเหยเกแล้วถามขึ้น “เฉิน นายไม่กินเผ็ดไม่ใช่เหรอ”
“มีผู้หญิงซื่อบื้อคนหนึ่งชอบกินไม่ใช่เหรอ” คำพูดเยาะเย้ยออกมาจากปากของฉู่เฉินซี ฟังจากน้ำเสียงก็รู้สึกได้ว่าเขายังโกรธอยู่
หลินเวยมี่ดึงเสื้อของเขาเหมือนจะเอาใจ แล้วแกล้งทำตัวน่ารักแล้วกะพริบตาปริบๆ “คุณชาย อย่าโกรธบ่าวเลยนะคะ”
“น่าขยะแขยง” ฉู่เฉินซีปัดมือเล็กๆของเธอทิ้งอย่างรังเกียจ ไม่ไว้หน้าเธอเลยแม้แต่น้อย หลินเวยมี่รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที เกือบจะตบโต๊ะเข้าให้แล้ว แต่เห็นว่าเสี่ยวหลงยังอยู่ข้างๆ ก็เลยอดทนเอาไว้
กินอาหารอย่างหดหู่และอึดอัด แต่กลับกินได้เยอะมากอย่างน่าประหลาด
ฉู่เฉินซีตั้งใจคัดก้างปลาออกแล้ววางเนื้อปลาลงในจานของเสี่ยวหลง แต่สายตาที่เหลือกลับคอยมองประเมินหลินเวยมี่อยู่
ผู้หญิงคนนี้ช่างไม่มีหัวจิตหัวใจเลยจริงๆ เขาโกรธหน้าบึ้งอยู่ตรงนี้เธอยังกินลงไปได้เยอะขนาดนี้
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม แค่เห็นหลินเวยมี่อยู่กับกู้จุนเฟิง เขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะเมื่อก่อนหลินเวยมี่เคยชอบกู้จุนเฟิงล่ะมั้ง
ยังไงซะเขาก็ไม่พอใจ ไม่ยินดี
ก็ได้ แต่ว่าตอนนี้กลับไม่มีคนให้เขาระบายใส่ ผู้หญิงไร้หัวจิตหัวใจคนนี้ก็ไม่ยอมสนใจเขา กำลังเอาแต่จดจ่อกับอาหารตรงหน้า
ภายในใจเกิดความรู้สึกเสียใจขึ้นมา ถ้ารู้อย่างนี้คงไม่เลือกมาทานที่ร้านนี้
ทั้งที่เขาอุตส่าห์เค้นเวลาว่างช่วงเช้าเพื่อรีบออกมารับเธอ ใครจะไปรู้ว่าจะได้เห็นเธอตามขึ้นไปบนรถของกู้จุนเฟิง อีกทั้งยังนั่งเคียงบ่าเคียงไหล่กันอีก
กินอาหารเข้าไปอย่างหดหู่ได้ไม่กี่คำ คิ้วก็ขมวดกันแน่น ยังไงก็ไม่ชอบกินอาหารเผ็ดๆจริงๆนั่นแหละ แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นมา เขาก็อดกลั้นความเผ็ดแล้วกินเข้าไปเสียเยอะ
เมื่อกินข้าวมื้อนี้เสร็จ หลินเวยมี่ก็ลูบท้องอย่างพึงพอใจ “อาหารร้านนี้ไม่เลวเลยนะ”
เมื่อพูดจบก็หันไปเห็นฉู่เฉินซีที่ขมวดคิ้วอยู่พอดี เลยเงียบเสียงลงอย่างระมัดระวัง
“เสี่ยวหลง พวกเรากลับบ้านกันเถอะ” หลินเวยมี่อุ้มเสี่ยวหลงขึ้นมา แล้วเดินออกไปข้างนอกทันที ฉู่เฉินซีกะพริบตาปริบๆ ก็ได้ ผู้หญิงคนนี้ กล้าเดินออกไปแบบนี้เลยเหรอ ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนไปได้
“หลินเวยมี่!” เรียกชื่อเธอออกไปด้วยเสียงทุ้มต่ำ แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
หลินเวยมี่หันหลังพร้อมรอยยิ้ม มองเขาด้วยสีหน้าเอาอกเอาใจ “พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
“เธอยังจำได้ด้วยเหรอว่าฉันมีตัวตน” ฉู่เฉินซีถามออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา
“คนตัวโตอย่างนายยืนโด่อยู่ที่นี่ ฉันจะไม่เห็นได้ยังไง” หลินเวยมี่ส่งสายตาดูแคลนให้เขาทีหนึ่ง “รีบไปกันเถอะ เสื้อผ้าที่บ้านยังไม่ได้เก็บเลย ถ้าอีกเดี๋ยวฝนตกล่ะก็แย่แน่”
ฉู่เฉินซีหน้าบึ้งตึงมองไปทางหญิงสาวที่เดินออกไปอย่างรีบร้อน แทบจะลืมไปเลยว่าตัวเองโมโหเรื่องอะไร เหมือนจะมีความรู้สึกงุนงงขึ้นมานิดหนึ่งอีกด้วย
ตอนที่ใกล้จะขึ้นรถ หลินเวยมี่วางเสี่ยวหลงเข้าไปในรถ แล้วหันหลังกลับไปมองฉู่เฉินซี เขายังทำหน้าตึง ท่าทางคงยังโกรธอยู่
เหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงสายตาของเธอ เขาเงยหน้าสบตาเข้ากับดวงตาของเธอ แล้วเปิดปากอย่างเอื่อยเฉื่อย “ทำไม รีบมากไม่ใช่เหรอ”
หลินเวยมี่เดินไปตรงหน้าเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแผ่วเบา “นายหึงเหรอ”
“เปล่า” ฉู่เฉินซีเบือนหน้าไปอีกทาง น้ำเสียงแข็งกร้าว
“ยังบอกว่าเปล่าอีก บนหน้านายเขียนคำนั้นอยู่เต็มๆเลย” หลินเวยมี่เบ้ปากอย่างเอือมระอา แล้วดึงชายเสื้อเขาอย่างระมัดระวัง “หายโกรธได้แล้ว พอนายโกรธฉันก็กังวลได้ง่ายๆ พอฉันกังวลฉันก็จะกินเยอะ เดี๋ยวฉันก็อ้วนตายหรอก”
“อวบอิ่มหน่อยจะได้มีความรู้สึก ฉันว่าเธออ้วนกว่านี้หน่อยก็ดูดีนะ” ฉู่เฉินซีเดินผ่านเธอไปเปิดประตูรถ มุมปากกลับยกขึ้นอย่างเงียบๆ
คิดว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนสามารถทนต่อการง้อของผู้หญิงได้มั้ง ข้างในรู้สึกพึงพอใจ อย่างน้อยผู้หญิงที่ไม่มีหัวจิตหัวใจคนนี้ก็รู้จักลงทุนลงแรงกับเขา เมื่อเขาโกรธก็ยังรู้จักมาง้อ ความรู้สึกแบบนี้มันก็ไม่เลว