รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 236
บทที่ 236 เสือสองตัวแย่งกัน ต้องมีการตายและได้รับบาดเจ็บ
หลินเวยมี่นั่งอยู่ตรงระเบียงแล้วอ่านนิตยสาร ใบหน้าเล็กๆตากแดดจนแดง เสียงกริ๊งประตูดังขึ้น เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เดินออกไปเปิดประตู
“ไฮ พวกเธอมาที่นี่ได้ยังไง?” หลินเวยมี่มองดูเย่หนิงกับเดวิดที่อยู่ตรงหน้าประตูด้วยความตกใจ เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่าพวกเขาสองคนจะอยู่ด้วยกันเร็วขนาดนี้
“ใบหย่าผมเอามาแล้ว” เดวิดเปิดสัญญาที่อยู่ในมือ
ใบหน้าของเย่หนิงมีความลังเล เธอที่ปกติดูเป็นคนง่ายๆสบายๆคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะมีสิ่งที่ยากจะพูด เธอดูไม่เป็นธรรมชาติเลย
“อาการป่วยของคุณลุงดีขึ้นรึยัง?” หลินเวยมี่รับใบหย่ามาแล้วเอ่ยถาม
“เดวิดช่วยหาหมอที่มีชื่อเสียงมาดูอาการแล้ว เวยมี่…..” เย่หนิงกุมมือหลินเวยมี่เอาไว้ ใบหน้าของเธอแสดงถึงความรู้สึกผิด
“ขอโทษนะ เวยมี่”
“หืม? เป็นอะไรไป?” เธอถามด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าเย่หนิงอยากจะพูดอะไรกันแน่
“เรื่องระหว่างฉันกับเดวิด รู้สึกอยากจะขอโทษจริงๆ” ถึงยังไงพวกเขาก็คบกันในตอนหลัง พูดแล้วรู้สึกผิดจริงๆ
“แกคิดมากไปแล้ว เย่หนิง หลายปีที่ผ่านมานี้แกยังไม่เข้าใจฉันอีกหรอ? อีกอย่างฉันกับเดวิด……” หลินเวยมี่มองไปที่เดวิดด้วยความกระอักกระอ่วน “ตอนนั้นเป็นเพราะเดวิดแท้ๆ ไม่อย่างนั้นฉันเองก็คงไม่รู้ว่าจะทำยังไง”
เดวิดยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไร
หลินเวยมี่ตบหลังมือของเย่หนิงเบาๆ ที่จริงแล้วเธอรู้สึกดีใจจริงๆ เมื่อสามปีที่แล้วเย่หนิงเป็นเพราะเสียใจเรื่องความรักทำให้เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยน์ เกือบที่จะเสียโฉม ตั้งแต่ตอนนั้นเธอก็ถอนตัวออกมาจากวงการบันเทิง ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่เธอจะเจอรักแท้ แน่นอนว่าหลินเวยมี่ต้องดีใจมากแน่ๆ
“เย่หนิง วันข้างหน้าพวกเราจะต้องอยู่กันอย่างดีๆ” หลินเวยมี่มองไปที่เธอ
เย่หนิงพยักหน้า ใบหน้าของเธอเผยให้เห็นรอยยิ้มจากใจ จับมือของหลินเวยเอาไว้แน่น
หลินเวยมี่ก้มหน้าลงเซ็นใบหย่า ตอนที่เธอเซ็นชื่อตัวเองลงไปนั้น รู้สึกว่าสบายใจมาก
“เวยมี่ คุณรู้หรือเปล่าว่าบริษัทของฉู่เฉินซีมีปัญหา?” เดาวิดดื่มน้ำชาแล้วเอ่ยถามเสียงค่อย
หลินเวยมี่นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้า เรื่องงานของฉู่เฉินซีนั้นเธอไม่เคยถามมาก่อน อีกทั้งเขาเองก็ไม่บอก เพียงแต่หลายวันที่ผ่านมานี้ยุ่งมากจริงๆ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?”
“ตอนนี้ยังไม่มี” เดวิดพูดขึ้นแล้วยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพูดอะไรมาก
“ฉันไม่ถามเรื่องงานของเขาค่ะ แต่ว่าช่วงนี้เขาดูยุ่งมาก” หลิวเวยมี่ตอบไปตามความจริง
“เสือสองตัวแย่งกัน ต้องมีการตายและได้รับบาดเจ็บ” เดวิดยิ้มบางๆ ทำหน้าเหมือนกำลังดูเรื่องครึกครื้น
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว เสือสองตัวที่เขาพูดถึงคงจะหมายถึงฉู่เฉินซีกับฉู่ชิ่งเจ๋อมั้ง? การแก่งแย่งของพวกเขามันเริ่มขึ้นเมื่อหลายปีก่อนแล้ว หรือว่าตอนนี้กำลังดุเดือดงั้นหรอ?
คงเกี่ยวกับการที่ฉู่ชิ่งเจ๋อแต่งงานกับฐาลี่มั้ง เพราะฐาลี่สามารถเอาประโยชน์มาให้กับเขาได้
“อั๊ยย๊า เรื่องอะไรพวกนั้นของบริษัทยุ่งยากที่สุดแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว” เย่หนิงพูดขึ้นอย่างทนไม่ได้ “เวยมี่ พวกแกตกลงกันหรือยังว่าจะแต่งงานกันเมื่อไหร่?”
“แต่งงาน?” หลินเวยมี่นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหน้า “พวกฉันสองคนยังไม่เคยปรึกษาเรื่องนี้กันเลย”
เรื่องการแต่งงานนั้นต้องให้ฝ่ายชายเป็นฝ่ายเริ่มก่อนไม่ใช่หรอ? เธอจะถามฉู่เฉินซียังไง? อีกอย่างทั้งสองคนก็ผ่านอะไรด้วยกันมาตั้งหลายปีแล้ว ไม่ได้สนใจช่วงเวลาสั้นๆสี้
“ถึงเวลานั้นฉันจะเป็นเพื่อนเจ้าสาว” เย่หนิงยิ้มแล้วข้องแขนเธอเอาไว้
“คุณ? ตอนนั้นคุณคงต้องไปร่วมงานแต่งทั้งที่ยังท้องป่อง คนอื่นยังต้องคอยดูแลคุณอีก” เดวิดพูดด้วยความเย็นชา มองไปที่เย่หนิงด้วยสีหน้าดูถูก
หน้าของเย่หนิงแดงไปจนถึงคอ ถลึงตามองดูเดวิดด้วยความกระอักกระอ่วน
“แกท้องแล้วหรอ?” หลินเวยมี่มองไปทางเย่หนิงด้วยความตกใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ตอนนี้เห็นเธอมีความสุขแล้วรู้สึกดีจัง
“เฮ้อ น่ารำคาญที่สุด” เย่หนิงมองไปทางหลินเวยมี่ด้วยสีหน้าหดหู่ แล้วเอ่ยถามขึ้น “เวยมี่ ตอนคลอดลูกเจ็บมากเลยใช่ไหม?”
หลินเวยมี่ลอบมองไปที่เดวิด ส่ายหน้าด้วยความจริงจัง “ไม่หรอก”
เย่หนิงอยากจะพูดอะไรขึ้นมาอีก ประจวบเหมาะกับที่เสียงโทรศัพท์ของหลินเวยมี่ดังขึ้น เธอยิ้มให้พวกเขา แล้วไปรับโทรศัพท์
ปลายสายนั้นเสียงดังวุ่นวายมาก นานครู่หนึ่งกว่าจะได้ยินเสียงของป่ายห้าวที่พูดขึ้นด้วยความร้อนใจ
“เวยมี่ คุณอยู่ที่ไหน? ช่วยมาที่โรงพยาบาลหน่อยได้ไหม?”
“โรงพยาบาล? คุณเป็นอะไรไปคะ?” หัวใจของหลินเวยมี่ตกใจขึ้นมาในทันที เธอไม่ได้เจอกับป่ายห้าวมานานแล้ว คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่กลับมานั้นจะได้เจอกันครั้งแรกที่โรงพยาบาล?
“ไม่ใช่ฉัน แต่คือฐาลี่”
หลินเวยมี่ตกใจมากกว่าเดิม รีบถามที่อยู่ของโรงพยาบาล
“เย่หนิง เดวิด ฉันมีธุระด่วน” เธอหยิบกระเป๋าด้วยความรวดเร็วแล้วรีบวิ่งออกไป
“เดี๋ยวผมส่งคุณไปเอง” เดวิดรีบวิ่งตามออกมาแล้วพูดขึ้น
หลินเวยมี่พยักหน้าให้กับเขา ไม่ได้ปฏิเสธ
ภายในโรงพยาบาล หลินเวยมี่หายใจหืดหอบแล้วหาป่ายห้าวจนเจอ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ฉันนัดฐาลี่ออกมา แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง ฉันเองก็รู้เรื่องนี้เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรมา” ป่ายห้าวพูดด้วยสีหน้าเสียใจ
หลินเวยมี่มองดูประตูห้องฉูกเฉิน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
“เมื่อกี้ฉันโทรศัพท์ไปหาเฉินแล้ว อีกไม่นานเขาน่าจะมาถึง” ป่ายห้าวถอนหายใจ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหดหู่ “ถ้าฉันไม่ชวนเธอออกมา บางทีก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”
“ป่ายห้าว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโทษตัวเอง” หลินเวยมี่ตบหัวไหล่เขาเบาๆ ภายในใจของเธอเต็มไปด้วยความกังวล โดยเฉพาะตอนที่คิดถึงสีหน้าเศร้าของฐาลี่ ก้นบึ้งในใจของเธอก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมาก
ความกดดันที่ฐาลี่ได้รับนั้นมันใหญ่มาก หลายวันมานี้เพราะเรื่องแต่งงานทำให้เธอจิตใจว้าวุ่น ตอนนี้ก็มาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก
“คุณคือเดวิด?” ป่ายห้าวมองไปที่ผู้ชายซึ่งอยู่ด้านหลังของหลินเวยมี่ ใบหน้าของเขาแสดงความระมัดระวัง
“สวัสดีครับ ผมรู้จักคุณ คุณคือน้องชายของคุณป๋ายที่ทำงานอยู่ในฉู่ซื่อกรุ๊ป” เดวิดยิ้มบางๆแล้วยื่นมือให้กับเขา
ป่ายห้าวไม่มีอารมณ์ที่มาพูดเสวนาทำความรู้จักเป็นเพื่อนกับเขาแม้แต่น้อย เพียงแค่จับมือธรรมดาๆเท่านั้น สายตาของเขาก็หันไปมองไฟสีแดงตรงประตูห้องฉุกเฉิน
“ฐานลี่อยู่ที่ไหน?” เสียงพูดด้วยความเป็นห่วงดังขึ้น
ทุกคนหันไปมองฉู่ชิ่งเจ๋อ สีหน้าของเธอคนเต็มไปด้วยความตกใจ
“ยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน” หลินเวยมี่ตอบ กับฉู่ชิ่งเจ๋อแล้วไม่มีความทรงจำอะไรดีๆเลย
ฉู่ชิ่งเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นขมวด หันไปมองป่ายห้าวด้วยสีหน้าอึมครึม “แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“แล้วทำไมผมจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้?” ป่ายห้าวพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก สีหน้าของเขาดูไม่ดีมาก เหมือนว่าต้องการที่จะต่อยกับเขา
“แกเป็นคนชวนเธอออกมา?” เสียงของฉู่ชิ่งเจ๋อเคร่งขรึม คาดเดาแล้วพูดขึ้น
ป่ายห้าวพยักหน้าอย่างไม่ยอม “ใช่ แล้วจะทำไม? ถึงแม้ว่าแกจะเป็นว่าที่สามีของเธอ หรือว่าจะไม่อนุญาตให้เธอมาเจอกับเพื่อน?”
“ป่ายห้าว!” ฉู่ชิ่งเจ๋อกระชากคอเสื้อของเขา พูดข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าแกคิดอะไรอยู่ เมื่อสิบปีก่อนฐาลี่ปฏิเสธแก สิบปีให้หลังก็ไม่มีวันยอมรับแกหรอก!”
ป่ายห้าวหัวเราะในลำคอด้วยความเย็นชา ถลึงตามองดูเขาอย่างไม่ใส่ใจ “สิบปีก่อน แกมันคืออะไร? แม้แต่จะมองเธอยังไม่คู่ควร!”
“ผัวะ” ฉู่ชิ่งเจ๋อกำหมัดต่อยลงไปอย่างไม่เกรงใจ หมัดของเขาโดนหน้าของป่ายห้าวเต็มๆ
ป่ายห้าวล้มลง ยืนขึ้นมาใหม่แล้วเช็ดเลือดที่มุมปาก มองไปที่ฉู่ชิ่งเจ๋อด้วยความเย็นชา “เป็นอะไร? หรือว่าสิ่งที่ฉันพูดมันไม่ถูก?”
ฉู่ชิ่งเจ๋อทำหน้านิ่งแล้วกระชากเสื้อเขาอีกครั้ง ต้องการที่จะต่อยกับเขา
“ผู้ชายสองคนมาต่อยตีกันตรงนี้มีความหมายอะไรงั้นหรอ? ฐาลี่กำลังรักษาตัวอยู่ข้างใน!” หลินเวยมี่ตะคอกด้วยความไม่พอใจ
ฉู่ชิ่งเจ๋อถลึงตามองดูป่ายห้าว จากนั้นปล่อยมือแล้วยืนเงียบๆอยู่ที่ประตู
“ช่วงนี้เดวิดว่างมาก? ถึงได้โผล่มาอยู่ที่นี่ได้ ฉันละสงสัยจริงๆ” เสียงเย้ยหยันด้วยความเย็นชาดังขึ้น ฉู่เฉินซีเดินมาอยู่ข้างๆหลินเวยมี่ มุมปากของเขายิ้มครึ่งหนึ่งไม่ยิ้มครึ่งหนึ่ง
“ฉันเป็นคนส่งเวยมี่มา ในเมื่อแกมาแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อน” ใบหน้าของเดวิดมีความรู้สึกที่แปลกไป พยักหน้าให้กับหลินเวยมี่แล้วหมุนตัวหันหลังเดินออกไป
ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนมีอะไรบางอย่าง หันไปทางฉู่เฉินซีด้วยความแปลกใจ
“พวกคุณมีอะไรกันหรือเปล่า?”
“งานที่ร่วมมือกันนั้นถูกเดวิดหลอก คุณไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีอะไรหรอก” ฉู่เฉินซีตอบเสียงเรียบ แล้วจับมือของเธอเอาไว้แน่น
หลินเวยมี่เม้มปากเอาไว้ไม่ได้พูดอะไร มองไปที่ห้องฉุกเฉินด้วยความเป็นห่วง
“ในบรรดาพวกคุณใครคือญาติของคนไข้คะ?” คุณหมอคนหนึ่งเดินออกมาแล้วเอ่ยถามพวกเขา
“ผมเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของเธอครับ เธอเป็นยังไงบ้าง?” ฉู่ชิ่งเจ๋อรีบเดินขึ้นหน้าเพื่อตอบคำตาม
“คนไข้ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วค่ะ เพียงแต่ตอนนี้กำลังนอนไม่ได้สติ” คุณหมอพูดขึ้น
ทุกคนโล่งใจกันหมด
“พวกนายกลับไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อดูแลเธอเอง คนที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่กันเยอะจะเป็นการรบกวนเธอ” ฉู่ชิ่งเจ๋อเอ่ยพูดเสียงเรียบ สายตาคู่นั้นมองไปที่ป่ายห้าว
ป่ายห้าวกำหมัดแน่นด้วยความโมโห ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
“ป่ายห้าว ไว้วันหลังพวกเราค่อยมาเยี่ยมเธอกันเถอะ” หลินเวยมี่ดึงเสื้อของป่ายห้าว เพื่อบอกให้เขาออกไป
ป่ายห้าวถอนหายใจ แล้วเดินตามหลินเวยมี่ออกไปจากโรงพยาบาล
ทั้งสามคนนั่งอยู่ในห้อง หน้าของป่ายห้าวนิ่งมาก ปากของเขาบวมแดง
“ป่ายห้าว ในเมื่อคุณชอบเธอจริงๆ ก็ไปแย่งมาสิคะ ถึงยังไงตอนนี้ฐาลี่ก็ยังไม่ได้แต่งงาน” หลินเวยมี่พูดปลอบแล้วตบมือเขาบอกๆ
ป่ายห้าวกระตุกมุมปาก สีหน้าของเขาเหลือทน “ตอนนี้ยังมีโอกาสหรอ?”
“ถ้าคุณยังไม่ลองพยายามแล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามีโอกาสหรือเปล่า?”
“เวยมี่ เรื่องนี้คุณอย่าเข้าไปยุ่ง เรื่องของความรักเราบีบบังคับกันไม่ได้” ฉู่เฉินซีที่นั่งอยู่ข้างๆเธอพูดขึ้นเสียงเรียบ
หลินเวยมี่ไม่เข้าใจเขาแม้แต่น้อย เบ้ปาก “ไม่แน่ ก่อนหน้านี้พวกเราก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอคะ?”
“คุณกับฐาลี่ไม่เหมือนกัน”
“ความหมายของคุณคือฉันโง่กว่าฐาลี่ใช่ไหมคะ?” หลินเวยมี่ถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“พริกน้อย ถ้าคุณยังไม่เชื่อฟัง ผมจะจูบคุณต่อหน้าป่ายห้าว” ฉู่เฉินซียิ้มบางๆ แล้วพูดกระซิบอยู่ข้างหูเธอ
หลินเวยมี่กระตุกมุมปาก ขยับไปด้านข้างอย่างอดไม่ได้
ฉู่เฉินซีมองดูท่าทางของเธอแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้ม มือใหญ่ที่อุ่นๆโอบเอวของเธอเอาไว้ ใช้แรงในการกระชาก ดึงตัวเธอกลับมาใหม่อีกรอบ
“เฉิน เห็นพวกแกเป็นแบบนี้แล้วดีจริงๆ น้าหรานเป็นยังไงบ้าง?” ป่ายห้าวถาม
“ตอนนี้น้าหรานสบายดี”
ป่ายห้าวพยักหน้า ถือว่าสบายใจ “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ลุงหลินก็นอนตายตาหลับ”
หลินเวยมี่นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เอ่ยถาม “ป่ายห้าว พ่อของฉันเหลืออะไรไว้ให้ฉันกันแน่? คุณต้องรู้แน่ๆใช่ไหมคะ?”
ป่ายห้าวมองไปที่ฉู่เฉินซี เห็นสีหน้าของเขาที่ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไร จึงพูดขึ้น “ความลับเกี่ยวกับตัวตนของคุณ และจดหมายอีกหนึ่งฉบับ”
“จดหมาย? จดหมายอะไรคะ?” หลินเวยมี่เอ่ยถาม
“เรื่องนี้ผมก็ไม่แน่ใจแล้ว” ป่ายห้าวส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น