รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 238
บทที่ 238 อยากใช่หรือเปล่า……
หลินเวยมี่ถอยหลังหนี มองดูเขาด้วยความเย้ยหยัน สีหน้าของเธอกำลังบอกว่า‘คุณฝันไปเถอะ’แต่ว่า กลับไม่ได้พูดออกไป
“หนีอะไร?” ฉู่เฉินซีหัวเราะแล้วมองไปที่เธอ “แกล้งคุณเอง”
ฉู่เฉินซียิ้มแล้วเปิดกล่องอาหาร กินไปเล็กน้อย แล้วเริ่มทำงานใหม่อีกครั้ง
หลินเวยมี่เดินไปอยู่ข้างๆเขา มองดูตัวเลขพวกนั้นแล้วขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเองเอวของเธอก็กระชับ ถูกเขาดึงตัวเข้าไปกอด นั่งอยู่บนตักของเขาด้วยความประหม่า
“นี่ ฉู่เฉินซี คุณช่วยทำตัวดีๆหน่อยได้ไหม” หลินเวยมี่ถลึงตามองดูเขา ใบหน้าเล็กๆของเธอเต็มไปด้วยความรังเกียจ “คุณยุ่งไม่ใช่หรอคะ?”
“พอคุณมาถึงก็เอาหัวใจของผมไปหมดแล้ว แล้วตอนนี้ผมจะทำงานตามปกติได้ยังไง?” ฉู่เฉินซีก้มหน้าลงยิ้มแล้วขยับเข้าไปใกล้เธอ ใบหน้าของเขาเคล้าไปด้วยรอยยิ้ม “ในห้องทำงานของผมมีห้องสำหรับพักผ่อน”
“ฉู่เฉินซี!” หลินเวยมี่ถลึงตามองดูเขาด้วยการข่มขู่ มือน้อยๆจับที่แผ่นอกของเขา “ถ้าคุณยังไม่ทำตัวจริงจังอีก ฉันจะกลับไปแล้วนะคะ”
“คุณจะตื่นเต้นขนาดนี้ทำไม?” ฉู่เฉินซียิ้มแล้วหยิกแก้มน้อยๆของเธอที่เริ่มแดงระเรื่อ “ผมกลัวว่าคุณจะเหนื่อยก็เลยบอกคุณว่ามีห้องสำหรับพักผ่อน ไม่อย่างนั้นคุณคิดว่าอะไร?”
หลินเวยมี่ถูกเขาถามจนพูดอ้ำอึ้ง ถลึงตามองดูเขา แล้วพูดบ่น “คุณจงใจแกล้งฉันชัดๆ!”
“เถียงข้างๆคูๆ” ฉู่เฉินซีก้มหน้าลงแล้วเถียงกลับจากนั้นพูดต่อ “ถ้าคุณเพลียก็ไปพักเถอะ ผมยังต้องยุ่งอีกพักหนึ่ง อีกทั้งตอนเช้าก็ยังประชุม คืนนี้คงจะไม่ได้กลับไปแล้ว”
หลินเวยมี่พยักหน้าแล้วออกไปจากอ้อมกอดของเขา ไม่ได้ไปที่ห้องพักผ่อน แต่กลับไปนั่งที่โซฟา แล้วมองดูเขา
หลังจากรอให้ฉู่เฉินซีทำงานจนเสร็จ หันหน้าไปมองหลินเวยมี่ เธอก็นอนอยู่บนโซฟาแล้ว อีกทั้งยังนอนหลับสนิท เขาคลายยิ้มแล้วเดินไปอุ้มเธออย่างเบามือ
หลินเวยมี่หรี่ตาแล้วเอ่ยถามอย่างงัวเงีย “คุณเสร็จงานแล้วหรอคะ?”
“อื้ม ผมอุ้มคุณไปนอนนะ”
มือทั้งสองข้างของหลินเวยมี่โอบกอดคอของเขาเอาไว้แล้วหลับไปอีก
ฉู่เฉินซีสูดลมหายใจเข้า มองดูเธอที่หลับสนิท เลือดในร่างกายพลุ่งพล่านขึ้นมา ถอนหายใจ แล้วห่มผ้าห่มให้กับเธอ จากนั้นก็รีบวิ่งไปอาบน้ำเย็นในห้องน้ำที่อยู่ข้างๆ
ภายในใจของเขาก็นึกเสียใจขึ้นมา สู้ไม่เรียกเธอมายังจะดีเสียกว่า ตอนนี้จะได้ไม่ต้องมาทรมานเองแบบนี้
เช้าวันที่สองตอนที่ตื่นมานั้น มีเพียงหลินเวยมี่แค่เพียงคนเดียว เธอยีผมของตนเองด้วยความยุ่งเหยิง เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าด้านข้าง ด้านในนั้นมีเสื้อเชิ้ตสามตัว เห็นได้ชัดว่าเตรียมเอาไว้ใช้ตอนจำเป็นเท่านั้น
หลินเวยมี่หาเสื้อเชิ้ตตัวที่ไซส์เล็กที่สุดด้วยความวุ่นวาย หาวแล้วเดินออกไป เอ่ยถามด้วยความงัวเงีย “ฉู่เฉินซี ให้คนเตรียมเสื้อมาให้ฉันเปลี่ยนหน่อยได้ไหมคะ?”
นานครู่หนึ่งก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบ หลินเวยมี่พึ่งลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปที่โต๊ะทำงาน ฉู่เฉินซีมองมาที่เธออย่างหน้าดำเคร่งเครียด และตรงหน้าเขายังมีผู้ชายอีกสามคนยืนเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ากำลังนำเสนองาน
หน้าของหลินเวยมี่แดงระเรื่อขึ้นมา เดินไปก็ไม่ใช่ ไม่เดินไปก็ไม่ใช่ ทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“พวกนายออกไป” ฉู่เฉินซีพูดด้วยใบหน้านิ่งๆ
พวกเขาทั้งสามคนรีบเดินออกไปโดยไม่หันมามอง
“เดี๋ยวก่อน บอกให้เลขาด้วย เตรียมเสื้อผ้าผู้หญิงมาให้หนึ่งชุด”
ฉู่เฉินซียืนขึ้นแล้วเดินสาวเท้ายาวๆมาตรงหน้าหลินเวยมี่ จากนั้นช้อนตัวเธอขึ้นมา เดินไปยังห้องสำหรับพักผ่อน
“ผู้หญิง ใส่เสื้อผ้าแบบนี้ออกมา เป็นเพราะอยากจะยั่วยวนผมใช่ไหม?” เสียงของเขาพูดขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
หลินเวยมี่เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา เอ่ยพูดด้วยความน่าสงสาร “ฉันไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ใครจะไปรู้ว่าในห้องทำงานของคุณจะมีคนอื่น”
“ผู้หญิง……” เขาพูดด้วยเสียงแหบพร่า
“ช่างเป็นนางมารที่ทำให้คนต้องทำความผิด ผมควรจะลงโทษคุณยังไงดี” เขาคลายยิ้ม
มือทั้งสองข้างของหลินเวยมี่จับที่แขนของเขา ใบหน้านั้นแดงเป็นสีตับหมู “ฉู่เฉินซี ถ้าคุณยังไม่ทำตัวจริงจัง ฉันจะไปแล้วนะคะ”
“กลัวอะไร ที่นี่คือถิ่นของผม ผมบอกว่าไม่ให้คุณไป คุณก็ไปไม่ได้แล้ว” ฉู่เฉินซีหัวเราะเสียงเบา จากนั้นล้วงเข้าไปตามความคว้านของเสื้อเชิ้ต
มือน้อยๆของหลินเวยมี่ผลักแผ่นอกของเขาเบาๆ ทว่ากลับคล้ายปีศาจที่โต้กลับเขา
วางเธอลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา เขาโน้มตัวลงไปทับ แล้วกัดไปกัดมา
ความรู้สึกเสียวซ่านพลุ่งพล่านขึ้นมา ทำให้หลินเวยมี่อดไม่ได้ที่จะปฏิเสธ แล้วหันไปอีกด้าน
ตรงซอกคอเจ็บขึ้นมา เขากัดไปที่ขอของเธออีกครั้ง เหมือนกำลังดูดกินเยลลี่
“เจ็บ……” หลินเวยมี่ครางอย่างน่าสงสาร
ฉู่เฉินซีจึงปล่อยตัวเธอ มองดูคอของเธอที่ถูกเขาฝากคิสมาร์กเอาไว้ ก็กระตุกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ก๊อก ก๊อก”
“ท่านประธานฉู่คะ เสื้อผ้าเตรียมเรียบร้อยแล้วค่ะ”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นทำให้หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว แล้วรีบผลักเขาออกไปจากนั้นซ่อนตัวเอาไว้ด้านข้าง
ฉู่เฉินซีส่ายหน้าอย่างเหลือทน เดินไปรับเสื้อผ้าที่ประตูแล้ววางไว้บนเตียง
“แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกไป เข้าใจไหม?” เขาเชยคางเธอขึ้น จากนั้นมองเธอด้วยสายตาจริงจัง
หลินเวยมี่พยักหน้าด้วยความน่าสงสาร ภายในใจมองดูเขาด้วยความเย้ยหยัน
หลินเวยมี่ไม่อยากจะอยู่ในบริษัทของเขาแม้แต่เสี้ยววินาที หลังจากที่ใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็รีบออกไปจากฉู่ซื่อกรุ๊ป
ภายในใจของเธอรู้สึกโล่งขึ้นมา เธอโบกรถแล้วไปที่โรงพยาบาล
เท้าของฐาลี่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงเอาแต่นอนอยู่บนเตียง ส่วนElisก็นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความเบื่อหน่าย
“ฐาลี่” หลินเวยมี่ผลักประตูห้องผู้ป่วยเปิดออก จากนั้นวางผลไม้เอาไว้ด้านข้าง ยิ้มแล้วถามขึ้น “เป็นยังไงบ้าง?”
“อีกหนึ่งสัปดาห์ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว” ฐาลี่ยิ้มบางๆ ไม่สามารถมองอารมณ์ใดๆออกมาจากใบหน้าของเธอได้
“คุณมาทำอะไร?” Elisเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ มองไปที่หลินเวยมี่ด้วยสายตาดูถูก “คุณแย่งผู้ชายของพี่สาวฉันไป คุณยังมีหน้ามาโผล่หน้าให้พวกฉันเห็นอีกหรอ?”
สีหน้าของหลินเวยมี่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เพราะฐาลี่อยู่ด้วยเธอจึงไม่ได้พูดโต้เถียงElis
“Elis ถ้าแกยังจะสร้างเรื่องแบบนี้อีก ก็กลับอเมริกาไปเลย!” ฐาลี่พูดเสียงเรียบ
Elisก้มหน้าลงด้วยความเศร้าแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เธอก็ยังคงดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกว่าหลินเวยมี่ไม่มีสิทธิที่จะครอบครองฉู่เฉินซี ดังนั้นจึงเกลียดแค้นเธอมาก
“ป่ายห้าวให้ฉันมาบอกคุณว่า เรื่องวันนั้นเขาขอโทษจริงๆ” หลินเวยมี่ไม่ได้สนใจElis มองหน้าฐาลี่ด้วยความจริงใจแล้วบอกในสิ่งที่ป่ายห้าวต้องการจะบอก
ฐาลี่พยักหน้า “อันที่จริงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย จริงด้วยเขาได้บอกรึเปล่าว่าต้องการมาเจอฉันเพราะมีธุระอะไร?”
“ไม่ได้บอก” หลินเวยมี่ก้มหน้าลงแล้วพูดตอบ ที่จริงความคิดของป่ายห้าวนั้นไม่ต้องพูดก็ชัดเจนอยู่แล้ว ฐาลี่เป็นคนที่ฉลาดขนาดนี้แล้วจะไม่เข้าใจได้ยังไง?
“Elis พี่หิวแล้ว ไปซื้อของกินกลับมาหน่อย” ฐาลี่เอ่ยพูดเสียงเรียบ
Elisมองไปที่พวกเขา ไม่ได้พูดอะไร เดินออกไปด้วยความไม่พอใจ
“ฐาลี่ ถ้าให้เธอเลือก เธอจะเลือกป่ายห้าวไหม?” หลิวเวยมี่เอ่ยถามไปตามตรง
“ไม่” ฐาลี่คลายยิ้มบางๆ น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความด้านชา “ฉันเองก็อยากจะแต่งงานกับคนที่รักฉัน แต่ความเป็นจริงมันยากมาก อีกทั้งฉันก็รู้สึกกับป่ายห้าวแค่เพื่อนเท่านั้น”
หลินเวยมี่พยักหน้า นึกถึงคำพูดของฉู่เฉินซีที่บอกว่าเรื่องของความรักนั้นไม่สามารถบีบบังคับกันได้ บางทีคงจะเป็นจริงตามนั้น ฝืนความรู้สึกกับการคลุมถุงชนมันมีอะไรต่างกัน? ถึงยังไงทั้งสองคนก็เป็นคนที่โดนทำร้าย
“แต่ว่าฉู่ชิ่งเจ๋อ……” หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว เธอยังคงไม่รู้สึกดีกับฉู่ชิ่งเจ๋อ
“เขาเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆของฉัน เขาเองก็โดดเดี่ยว ฉันเองก็โดดเดี่ยว” ฐาลี่คลายยิ้มบางๆ “หลินเวยมี่ เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดอะไรกับฉัน”
“การที่คบกับฉู่เฉินซีมานานถึงสิบปีนั้นคือการเดิมพันของฉันเอง ไม่เกี่ยวข้องกับใคร อีกทั้งต่อให้แพ้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ไม่รักก็คือไม่รัก ถึงไม่ใช่เธอ ก็เป็นผู้หญิงคนอื่น” ฐาลี่ถอนหายใจ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความจำใจ
หลินเวยมี่มองไปที่ฐาลี่ แล้วพยักหน้า
ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออก ฉู่ชิ่งเจ๋อเดินเข้ามา เมื่อเห็นหลินเวยมี่ก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง แต่ว่าก็กลับมามีสีหน้าปกติด้วยความรวดเร็ว นั่งลงข้างๆฐาลี่
“วันนี้รู้สึกยังไงบ้าง?”
“ก็ดีค่ะ”
ฐาลี่มองไปที่ฉู่ชิ่งเจ๋อ ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มบางๆ “คุณไม่จำเป็นต้องมาทุกวันก็ได้ ที่บริษัทงานไม่ยุ่งหรอคะ?”
“คุณคืนคนสำคัญ” ฉู่ชิ่งเจ๋อพูดเสียงเรียบ ท่าทีจริงจังของเขาดูไม่เหมือนว่ากำลังพูดเรื่องเกี่ยวกับความรัก แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นปกติธรรมดา ธรรมดาจนถึงขั้นไม่ทำให้คนรู้สึกว่ากระทันหัน
“ฐาลี่ ไว้วันหลังฉันค่อยมาเยี่ยมเธอนะ” หลินเวยมี่โบกมือให้กับเธอ แล้วเดินออกไปด้านนอก ไม่อยากที่จะเป็นก้างขวางคอพวกเขาสองคน
แต่เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่าผู้ชายที่ดูเลือดเย็นแบบนี้จะสามารถเป็นห่วงคนได้เหมือนกัน
เดินออกไปด้านนอกช้าๆ ทันใดนั้นเองก็เห็นร่างที่ค้นเคย เธอร้องเรียกด้วยความแปลกใจ “เสี่ยวจื๋อ?”
ผู้ชายที่ใส่หมวกแก๊ปเอาไว้หันหน้ากลับมา เมื่อเห็นหลินเวยมี่กลับไม่ได้ดูแปลกใจแม้แต่น้อย คล้ายกับว่ารู้ตั้งนานแล้วว่าหลินเวยมี่อยู่ที่นี่
“นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? นายไม่สบายหรอ?” หลินเวยมี่เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
จึงพึ่งสังเกตเห็นว่ากู้จุนเฟิงแต่งตัวแปลกๆ แตกต่างจากชุดที่ปกติชอบใส่แบบทะมัดทะแมงมาก เสื้อผ้าตัวใหญ่ใส่สบายแบบนี้บดปังหุ่นที่สมบูรณ์แบบของเขาไปหมดแล้ว
หากไม่ใช่เพราะสนิทสนมกับเขา บางทีหลินเวยมี่อาจจะจำไม่ได้ก็ได้ว่าเป็นกู้จุนเฟิง
“เปล่า มีเพื่อนคนหนึ่งไม่สบาย ก็เลยมาดู” กู้จุนเฟิงตอบเสียงเรียบ คล้ายกับว่าไม่อยากพูดอะไรมาก
“เสี่ยวจื๋อ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายแปลกๆ?”
“แปลกหรอ?” กู้จุนเฟิงคลายยิ้มบางๆ รอยยิ้มบนใบหน้านั้นดูฝืนมาก อีกทั้งสีหน้าของเขายังไม่ดีเท่าไหร่ด้วย ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเส้นเลือด ใบหน้าของเขาดูเหน็ดเหนื่อย
หลินเวยมี่รู้สึกเป็นห่วงจึงกุมมือของเขาเอาไว้ แล้วเอ่ยถามขึ้น “นายคงไม่ได้ป่วยจริงๆใช่ไหม? ทำไมสีหน้าดูไม่ดีเลย”
“คุณหลินครับ คุณลืมกระเป๋า”
หลินเวยมี่สัมผัสได้ว่ากู้จุนเฟิงนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ยังไม่รอให้เธอได้มีปฏิกิริยาตอบกลับเขาก็หายไปแล้ว คล้ายว่ากำลังหลบหน้าใครอยู่
“คะ? ขอบคุณค่ะ” หลินเวยมี่หันไปส่งยิ้มให้กับฉู่ชิ่งเจ๋อ แล้วรับกระเป๋า