รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 241
บทที่ 241 ลวมลามฉัน
ทั้งสองอยู่ในความเงียบสงบ จริงๆแล้วหลินเวยมี่กลัวที่สุดก็คือการเงียบ ระหว่างทั้งสองก็เงียบกันไปสักพัก และมักจะคาดเดาความคิดของฝ่ายตรงข้ามไม่ออก ทำให้รู้สึกว้าวุ่นใจมากๆ
ฉู่เฉินซีนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบๆ จากนั้นก็ควักบุหรี่ออกมาหนึ่งมวล แล้วยังไม่สูบ แค่ใช้นิ้วมือจับเข้าไป
“รูปนั้น……” หลินเวยมี่ขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้น กลับไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องอธิบายให้เขาฟัง
“รูปนั้นมีคนคิดจะใส่ร้ายคุณ เพื่อที่จะทำให้เราทะเลาะกัน ผมรู้” ฉู่เฉินซีพูดด้วยเสียงน้ำเสียงที่ต่ำและแหบพร่า น้ำเสียงฟังไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“จริงๆแล้วฉันกับเขา……”
“เวยมี่ อย่าพูดเลย ผมรู้ วันข้างหน้าคุณอย่าเข้าใกล้เขาอีก ผมหึง” ฉู่เฉินซียืนขึ้นแล้วคลายยิ้ม “ผมไปต้มโจ๊กหน่อย อาบน้ำเสร็จก็ลงมากินเถอะ”
หลินเวยมี่พยักหน้า นัยน์ตาเคล้าด้วยน้ำตา ในใจลึกๆรู้สึกคล่องใจมากๆ นี่ใครกันนี่ที่แอบถ่ายรูปของพวกเขา อีกอย่างยังส่งให้ฉู่เฉินซีแบบนี้
ในร้านคาเฟ่ หลิยเวยมี่พิงอยู่ตรงเก้าอี้แล้วกำลังจาม ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย
“เป็นอะไรไป? เมื่อวานไม่ได้หลับดีๆหรอ?” เย่หนิงมองเธอด้วยสายตาที่พิลึก
หลินเวยมี่เหลือบตามองบนใส่เธอ จากนั้นก็มองไปที่ท้องของเธอ “ยังไงแกก็จะกลายเป็นแม่คนแล้ว ยังพูดจาไร้สาระอีก”
“นี่เป็นแม่แล้วจะทำไม เป็นแม่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกแบบนี้หรือไง” เย่หนิงมองเธอด้วยรอยยิ้มเบิกบาน ใบหน้าที่เคล้าด้วยความแปลกใจกำลังถามเธอ “เมื่อคืนเขาขอแกแต่งงานแบบนี้หรอ? ทำไมไม่โรแมนติกเลย”
“ไม่งั้นจะให้ทำยังไง? แล้วเดวิดขอแกแต่งงานยังไง?” หลินเวยมี่ถามด้วยความคล่องใจ เมื่อวานถึงแม้ว่าเขาแค่ขอเธอแต่งงานอย่างปากเปล่า นั่นเธอก็ได้รับการปลอบโยนมากๆแล้ว
“อย่าพูดเลย ยังแย่กว่าแกอีก เดวิดบอกว่าอย่าให้เด็กเรียกเขาว่าพ่อ จากนั้นก็เอาแหวนสวมเข้ามาในนิ้วของฉัน รู้สึกว่าเขาเห็นลูกเป็นแค่สิ่งของเท่านั้น” เย่หนิงกัดฟันพูดขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เขาเอารัดเอาเปรียบแบบนี้ยังมาว่าแกแบบนี้อีก” หลิวเวยมี่จึงยิ้ม จากนั้นก็ยกกาแฟขึ้นพลางเม้มปากดื่ม แล้วมองไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นคนๆหนึ่งที่คุ้นตามากๆ
สีหน้าของเธอแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็สาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไป “เย่หนิง แกรอฉันก่อนนะ”
อากาศข้างนอกเริ่มหนาวแล้ว เธอก็ไม่ได้เอาเสื้อคลุมมาด้วย ถ้าออกไปกลัวว่าเธอจะหนาวจนตัวสั่น
จากนั้นเธอก็สาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปในท่ามกลางผู้คนแออัด ดั่งที่คาดเธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังถือใบปลิว ในใจลึกๆจึงรู้สึกเจ็บปวดมากๆ
“ซินหยาน” เสียงของเธอแหบพร่าเล็กน้อย ถึงแม้หลังจากที่เธอกลับมาจะถามว่าฉู่เฉินซี หลินซินหยานและฉู่หรานไปไหนแล้ว ทว่าเขาก็ไม่เคยตอบคำถามนี้โดยตรงเลยสักครั้ง
เธอนึกไม่ถึงจริงๆว่าเธอจะเจอหลินซินหยานอีกครั้ง เธอกลับเห็นเธอมาแจกใบปลิวกลางท้องถนนแบบนี้!
นัยน์ตาของเธอจึงเต็มไปด้วยความแผ่วร้อน ยังไงพวกเธอก็คือพี่น้องกัน ถึงแม้คำพูดของกู้จุนเฟิงทำให้หลินซินหยานรู้สึกห่างเหิน ตอนนี้พอมาเห็นเธอแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดใจอยู่เหมือนกัน
หลินซินหยานได้ยินจึงหันหลังกลับไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจนั้นมองหลิวเวยมี่อยู่
“พี่?”
หลิวเวยมี่รีบเข้าไปกุมมือของเธอ มือของเธอเย็นมาก เย็นจนแดงระเรื่อ
“พี่กำลังแจกใบปลิวอยู่หรอ?” หลิวเวยมี่ถามด้วยเสียงแหบพร่า และรู้สึกผิดมากๆ
“อืม อยู่บ้านว่างเกินไป” หลินซินหยานยิ้มอย่างอึดอัดใจ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าจมูก “พี่ หลายปีมานี้พี่ไปไหนมา ฉันเป็นห่วงพี่จริงๆ”
หลิวเวยมี่หยุดชะงักไปแล้วไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นก็ยื่นมือมาเช็ดน้ำตาที่ค้างอยู่ตรงขอบตา จากนั้นก็ลากเธอเขาไปในร้านคาเฟ่
เย่หนิงเห็นหลินซินหยานจึงทำสีหน้าที่เคล้าด้วยความแปลกใจ “ซินหยาน?”
“พี่เย่หนิง” หลินซินหยานคลายยิ้ม จากนั้นก็นั่งอยู่ข้างกายหลินเวยมี่ด้วยความเกรงใจ
“ซินหยาน ตอนนี้พวกเธอพักอยู่ที่ไหน?” หลิวเวยมี่กำลังให้ความอบอุ่นกับมือของเธอ แล้วถามด้วยความเร่งเร้า
“ฉันกับแม่ไปเช่าบ้านอยู่ข้างนอก ไม่ห่างจากที่นี่มากเท่าไหร่” หลินซินหยายยิ้มขึ้น แล้วทำท่าทางที่อึดอัดใจ
“ซินหยาน อากาศหนาวขนาดนี้ทำไมยังมาแจกใบปลิวแบบนี้” เย่หนิงขมวดคิ้วขึ้นแล้วมองใบปลิวที่อยู่ในมือของเธอ และก็รู้สึกเจ็บปวดใจแทนเธอ
“เอาแบบนี้ ซินหยานกลับบ้านกับฉัน ฉันจะบอกว่าฉู่เฉินซีให้งานพี่ทำ” หลิวเวยมี่พูดขึ้นด้วยความเร่งรีบ เรื่องตอนนั้นแค่ได้ยินกู้จุนเฟิงพูดขึ้นแบบนี้ อีกอย่างเธอกับหลินซินหยานก็มีความสัมพันธ์ที่เป็นพี่น้องกันอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้ก็ไม่ควรคิดอะไรมาก
หลินซินหยานตอบกลับคำว่าอืมด้วยเสียงเบา จากนั้นก็ก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไรใดๆ
ตระกูลฉู่ได้ไล่ฉู่หรานออก และไม่ได้ติดต่อกันอีก คุณท่านแก่ฉู่ก็ดื้อรั้นไม่อยากให้ฉู่หรานกลับมา ดังนั้นหลินเวยมี่ก็ทำได้เพียงรับพวกเธอกลับบ้าน
เสี่ยวหลงกำลังทำการบ้านอยู่ในห้องนอน พอจู่ๆที่บ้านมีคนใหม่ปรากฎตัวขึ้น จึงรีบถามขึ้น “หม่าหมา สองท่านนี้คือใครกัน?”
“นี่เป็นคุณน้ากับยายเอง” หลิวเวยมี่แนะนำคร่าวๆ จากนั้นก็หันไปพูดกับพวกเธอ “พวกแม่ก็พักห้องนอนเดิมเถอะ ห้องนอนหนูได้จัดเตรียมไว้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะพี่สาว” หลินซินหยานจึงคลี่ยิ้มอ่อนๆ แล้วกุมมือเธอไว้
“ขอบคุณอะไร? ที่นี่เป็นบ้านของเราอยู่แล้ว” ฉู่หรานมองบน จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟาแล้วก่นด่าขึ้น “หลินเวยมี่ ฉันว่าแล้วเธอเป็นอะไรไป? การตกแต่งบ้านที่นี่มันล้าสมัยไปแล้วมั้ง? ยังไม่รู้จักตกแต่งใหม่อีก”
“แม่……” หลินซินหยานพูดขึ้น และทำสีหน้าที่ไม่พอใจ
“ฉู่หราน อย่าลืมสิ บ้านนี้ถูกเธอขายไปหนึ่งรอบแล้ว เธอยังกล้าพูดอีกหรอว่าที่นี่เป็นบ้านของเธอ?” หลิวเวยมี่ไม่ได้ให้สีหน้าที่นี่กับเธอเลย ถึงแม้จะคาดคิดถึงตั้งนานแล้วว่าต้องมีข้อสรุปเป็นแบบนี้ ทว่าพอเห็นบ้านเช่าของหลินซินหยาน เธอก็รู้สึกผิดมาก
“ทำไม? ยังไงฉันก็คือภรรยาที่ถูกกฎหมายของพ่อแก แล้วคิดว่าจะให้ฉันไปเพ้อฝันที่อื่นหรือไง?”
“แม่ แม่พูดน้อยกว่านี้สักสองคำเถอะ ถ้าแม่ยังเป็นแบบนี้อีก งั้นเราไปกันเถอะ!” หลินซินหยานรู้สึกโกรธจนต้องลากกระเป๋าเดินทาง จากนั้นก็สาวเท้าก้าวใหญ่ออกไปข้างนอก
“ไอย่ะ ซินหยาน” ฉูห่รานจึงรั้งหลินซินหยานไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความต่อรอง “ได้ๆๆ งั้นจะไม่พูดแล้วโอเคไหม? บ้านหลังนั้นอากาศเย็นเกินไป ทำให้เท้าเย็นไปหมดแล้ว”
“ซินหยาน อย่าไปเลย ยังไงเราก็คือครอบครัวเดียวกัน” หลินเวยมี่ถอนหายใจ จากนั้นก็อุ้มเสี่ยวหลงขึ้นไปชั้นบน
สีหน้าของเสี่ยวหลงเต็มไปด้วยความหม่นหมองแล้วมองหลินเวยมี่อยู่ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปผลักมุมปากของเธอ ทำให้เธอยิ้ม
“หม่าหมา เสี่ยวหลงไม่ชอบยายคนนั้น”
“เสี่ยวหลง ผมเรียนที่โรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้าง? หนึ่งอาทิตย์กลับมาเยี่ยมหนึ่งครั้งดีไหม? แบบนี้จะรู้สึกชินไหม?” หลินเวยมี่ยิ้มแล้วกอดเขาไว้ จากนั้นก็ถามเขาพลางหอมแก้มของเขา
“เสี่ยวหลงชอบมากครับ” เสี่ยวหลงตอบกลับด้วยความจริงจังเหมือนผู้ใหญ่ “เสี่ยวหลงจะฝึกในการพึ่งพาตัวเองครับ”
หลินเวยมี่ยิ้มพลางพยักหน้า ฉู่เฉินซีได้จัดเตรียมโรงเรียนใหม่ให้เสี่ยวหลง และสามารถกลับมาอาทิตย์ละครั้ง ถึงแม้ตอนนี้เธอจะบ่นและก่นตาฉู่เฉินซีบ้าง ทว่าในใจลึกๆก็รู้ว่าเขาอยากจะฝึกฝนเสี่ยวหลงตั้งแต่เด็ก
“หม่าหมา อย่าโมโหยายเลย ผู้หญิงชราคนนั้นเต็มไปด้วยรอยเยี่ยวย่น น่าเกลียดมากๆ” เสี่ยวหลงเข้ามาแนบนิดกลางอ้อมกอดพร้อมกับปลอบโยนเธอ
หลินเวยมี่ยิ้มพลางพยักหน้า “อืม งั้นหม่าหมาก็เป็นต้องเป็นแม่ที่เผ็ดมาก”
ฉู่เฉินซีกลับมาก็เผชิญเห็นหลินเวยมี่ที่กำลังนั่งพิงอยู่บนโต๊ะบาร์ดดื่มเหล้า ทั้งนอนของเธอนอนลงไป มือของเธอถือแก้วไวน์ไว้ สีหน้าดูหม่นหมองมากๆ
“คุณกลับมาแล้วหรอ” หลิวเวยมี่ยิ้มพลางเดินไปหาเขา
ฉู่เฉินซีจึงรีบขึ้นหน้าไปอุ้มเธอไว้ จากนั้นก็ถามด้วยเสียงต่ำ “ทำไมดื่มเยอะขนาดนี้?”
“เฉิน ฉันพาซินหยานและฉู่หรานกลับมา คุณจะโกรธฉันไหม?” เธอพิงอยู่บนเรือนร่างของเขา มือเล็กๆจับเสื้อของเขาไว้ แล้วถามด้วยความขมขื่น “ฉันเห็นพวกเธอเป็นคนในครอบครัวจริงๆ”
“ผมรู้ คุณมักจะเป็นคนง่ายๆแบบนี้ และโง่แบบนี้ด้วย”เขาจึงแย่งเข้าใจมือของเธอไป จากนั้นอุ้มเธอกลับไปที่ห้องนอน
หลินเวยมี่หรี่ตาลง และทำเหมือนแมวที่ขี้เกียจ และค่อยๆกลายเป็นแก้มสีอมแดง
“ฉันเห็นพวกเธอเป็นคนในครอบครัวจริงๆ คนในครอบครัว……” เธอพึมพำเสียงต่ำ ในนัยน์ตาของเธอเคล้าด้วยน้ำตา
เขายื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่อยู่บนแก้มเธอ พร้อมกันมองด้วยนัยน์ตาที่หม่นหมอง “ยัยโง่ ตอนนี้คุณก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”
หลินเวยมี่พึมพำด้วยเสียงเบา จากนั้นก็พลิกตัวนอนหลับไป
ฉู่เฉินซีจึงทำสีหน้าที่นิ่งเฉยพลางเดินลงไปชั้นล่าง เขามองหลินซินหยานด้วยนัยน์ตาที่เย็นชา จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเลือดเย็น “ทำไมต้องปรากฏตัวต่อหน้าเธอด้วย?”
“แค่บังเอิญเท่านั้น” หลินซินหยานตอบกลับด้วยความจริงจัง นำเสียงเหมือนจะระมัดระวังมาก
“บังเอิญ?” ฉู่เฉินซีแสยะยิ้ม แล้วยื่นมือไปบีบคอของเธอ “หลินซินหยาน คุณกำลังท้าทายมันสมองของผมหรอ?”
หลินซินหยานทำนัยน์ตาที่หวาดกลัว พร้อมกับอธิบายขึ้นอย่างเร่งเร้า “คุณชาย ฉันแค่อยากจะถือว่าโอกาสนี้เข้าบริษัท ฉันไม่ได้ประสงค์ร้ายกับพี่สาวจริงๆ คุณต้องเชื่อใจฉัน”
“ทางดีที่สุดก็ให้มันเป็นแบบนี้ ไม่งั้นผลที่ตามมา ผมจะให้คุณทนไม่ได้ รับไม่ไหวแน่นอน!” ฉู่เฉินซีทำสีหน้าที่หม่นหมอง แล้วปล่อยมือออกพลางเดินขึ้นชั้นบนไป
หลินซินหยานไอไปสองที แล้วนัยน์ตาก็จับจ้องไปยังผู้ชายที่ขึ้นชั้นบนไป
เช้าวันที่สอง หลินเวยมี่ตื่นขึ้นมา ฟ้าก็สว่างมากแล้ว เธอนั่งลงแล้วก็เห็นก็พึ่งสังเกตเห็นแขนที่วางอยู่บนเอวของเธอ จากนั้นก็หันไปมองฉู่เฉินซีที่กำลังหลับใหลอยู่
มือเล็กๆของเธอจึงได้จับมือของเขาไว้ จากนั้นก็เข้าไปแนบชิดกับเขาแล้วหลับต่อ
จู่ๆก็รู้สึกก้นของเธอถูกตบ เธอลืมตาขึ้น แล้วมองเห็นฉู่เฉินซีที่กำลังคลายยิ้มอันร่าเริงแล้วมองเธอ
“ตื่นแล้วยังไม่ลุกอีก?”
“คุณก็ยังไม่ตื่นหนิ?” หลิวเวยมี่ตอบกลับด้วยความนิ่งเฉย พร้อมกับมุดเข้าไปในอ้อมกอดของเขา “เมื่อคืนคุณกลับมาเมื่อไหร่ ฉันกลับไม่รู้”
“เมื่อวานคุณดื่ม” ฉู่เฉินซีจับจมูกของเธอ “ยัยเด็กโง่เก่งขึ้นแล้วหนิ ยังฝึกดื่มเหล้าดื่มสุราเป็นแล้ว”
หลินเวยมี่จับจ้องเขาไว้ พร้อมกับนึกถึงเมื่อวานที่เธอเหมือนดื่มเหล้าแล้ว
“งั้นฉันได้บอกเรื่องของหลินซินหยานให้คุณไหม?” เธอมองเขาด้วยความอยากรู้ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“บอกสิ เรื่องของหลินซินหยาน ผมจะจัดการเอง คุณอย่าได้กังวลไปเลย ทำเรื่องของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ ยัยซื่อบื้อ”
“คุณนี่แหละซื่อบื้อ” หลิวเวยมี่สวนกลับอย่างไม่พอใจ ใบหน้าเรียวเล็กยกขึ้น จากนั้นก็ไปกัดเขา
ฉู่เฉินซีมองท่าทางของเธอ จากนั้นก็ยกคางของเธอขึ้น พร้อมกับจูบเธออย่างดูดดื่ม เป็นมอนิ่งคิสที่ดุเดือดจริงๆ
หลิยเวยมี่จับจ้องเขาไว้ พร้อมกับใช้แรงบีบแขนของเขา “คุณอยากจะลวมลามฉันอีกแล้ว”
ฉู่เฉินซีคลายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ และรู้สึกอารมณ์ดีมาก นิ้วมือเย็นๆของเขาไปวางไว้บนใบหน้าของเธอ
ลำคอของเขารู้สึกหิวกระหายขึ้นมาทันที นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรุ่มร้อน