รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 144
อันซิงเห็นเซียวจิ่งสือที่อยู่ในร้านยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหารของหลินหว่าน ก็รู้สึกฉุนกึกขึ้นทันควัน มองดูตัวเองที่แสนสวยอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งไม่ยอมแพ้ ทำไมผู้ชายหล่อๆ แบบนี้ชอบแต่จะอยู่กับหลินหว่าน มันมีอะไรดีนักนะ
อันซิงก้มลงมองดูตัวเอง มีอะไรที่เธอขาดไปหรือไงนะ เธอชื่นชมร่างตัวเองในกระจก คิ้วเรียวงาม ริมฝีปากแดงฉ่ำเย้ายวนใจ ดวงตากลมโตดำขลับสะดุดตา แต่แล้วอย่างไรอีกล่ะ พอนึกถึงผู้ชายที่เธอหลงใหลชื่นชมคนนี้ ผู้ชายที่มาปรากฏตัวในฝันของเธอนับครั้งไม่ถ้วน ทุกท่าทางความเคลื่อนไหวของเขา ทำให้เธอรู้สึกว่านี่เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลก แต่ตอนนี้เขากลับไม่สนใจตัวเธอเลยแม้แต่น้อย
อันซิงถอนใจเบาๆ ทันใดนั้นสายตาก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมา คนอย่างอันซิงจะยอมแพ้แบบนี้หรือไง ฉันไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ไม่มีทางปล่อยเซียวจิ่งสือให้กับหลินหว่าน ผู้ชายที่ฉันอยากจะได้ทำไมต้องยอมยกให้คนอื่นง่ายๆ ด้วย ไม่ได้เด็ดขาด
พอนึกถึงตรงนี้ อันซิงก็เผยอยิ้มน่ากลัวออกมา เธอผลักประตูห้องน้ำเปิดออก แล้วก้าวยาวๆ ออกไป มุ่งตรงไปยังข้างกายของผู้ชายที่สายตาจ้องจับอยู่ที่หลินหว่านตลอดเวลา
เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านด้วยสายตาหมกมุ่นครุ่นคิด เขาหวังจะให้หลินหว่านพูดกับเขาบ้าง
ด้วยสายตาที่เฉียบคม อันซิงเดินตรงเข้ามาหาเซียวจิ่งสือด้วยความรู้สึกที่สับสนวุ่นวาย เธอปั้นรอยยิ้มขึ้นมา ให้ตัวเองดูผ่อนคลายเป็นธรรมชาติมากขึ้น ขณะที่ในใจก็ต้องการทำให้หลินหว่านรู้สึกลำบากใจ
เห็นได้ชัดว่าเซียวจิ่งสือสะดุ้งอย่างตกใจเมื่อเห็นอันซิงจู่ๆ ก็โผล่มา เขาคิดในใจว่าทำไมมันช่างน่าอึดอัดขนาดนี้ ตอนนี้อันซิงเจอกับหลินหว่านอีกแล้ว ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
เซียวจิ่งสือถามอันซิงเสียงเย็นว่า “ทำไมเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ล่ะ ผมมารอตั้งนาน อ้อ เมื่อครู่ผมเห็นหลินหว่าน เลยเข้ามาทักทายหน่อยน่ะ”
หลินหว่านเงยหน้าขึ้นก็เห็นอันซิงกับเซียวจิ่งสือที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ แต่ไม่อยากจะสนใจ จึงก้มศีรษะลงคุยกับผู้ชายคนนั้นต่อไป
อันซิงไม่ได้ตอบคำเซียวจิ่งสือทันที แค่มองดูหลินหว่าน แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมา จากนั้นเธอรีบคว้าแขนเซียวจิ่งสือไว้ ออดอ้อนเขาว่า “ผู้หญิงนี่น้า ก็ต้องใช้เวลานานหน่อยสิคะ ทำไมคะ คิดถึงฉันขนาดนี้เชียว ฉันแค่เพิ่งจะไปแค่แป๊บเดียวเอง ดูสิคุณนี่ใจร้อนจริง”
เซียวจิ่งสือสะบัดหลุดจากมืออันซิง แค่นหัวเราะว่า “ขอโทษ ผมแค่ไม่ชอบรอคน ไม่ได้คิดถึงคุณ” พูดจบเซียวจิ่งสือก็ตวัดสายตามองดูสีหน้าหลินหว่าน
หลินหว่านฟังคำพูดของอันซิงแล้วรู้สึกเซ็งขึ้นมา แต่เธอไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรอื่นแม้สักคำ
อันซิงยิ้มอย่างหมายมาด ยกแก้วไวน์ขึ้นอย่างนุ่มนวล มองเซียวจิ่งสือด้วยสายตาหวานเยิ้ม “เอาเถอะค่ะ เพื่อเป็นการขอโทษเราดื่มกันสักแก้วนะคะ เราไม่ได้นั่งคุยกันสบายๆ แบบนี้มาตั้งนานแล้ว หรือว่าพวกเราจะกลับไปนั่งที่โต๊ะทานข้าวดีล่ะ คุณดูสิหลินหว่านเองก็ไม่ได้อยากจะทานกับพวกเราเลยนี่คะ อย่ารออยู่นี่เลยค่ะ”
เซียวจิ่งสือยิ้มอย่างขัดเขิน ถือแก้วเหล้าแล้วเดินไปจากโต๊ะของหลินหว่าน กลับไปนั่งโต๊ะอีกตัวหนึ่งกับอันซิง แต่สายตากลับคอยมองมาทางหลินหว่านเป็นระยะ
อันซิงจิบไวน์แดงอึกหนึ่ง ผงกศีรษะ “อืม วันนี้ไวน์นี่ไม่เลวเลยนะ จิ่งสือ คุณดูสิ หลินหว่านหาคนมากินข้าวด้วยกันได้เร็วขนาดนี้เชียว เมื่อครู่คุณยังไปรบกวนพวกเขาอีก ถ้าฉันไม่ได้มาพอดี คุณจะแทรกกลางพวกเขาสองคนหรือไง มันดูพิลึกออกนะคะ”
เซียวจิ่งสือแค่ยิ้มไม่พูดอะไรอีก
ท่ามกลางเสียงดนตรีแผ่วเบา ทั้งสองทานสเต็กเนื้อหอมกรุ่นแสนอร่อย แต่ในใจต่างคิดเรื่องของตัวเอง
อันซิงที่เพิ่งดื่มไปอึกเดียว ยกแก้วเหล้าขึ้น พูดอย่างเหนียมอายว่า “จิ่งสือ วันนี้พวกเราดื่มกันเยอะหน่อย อีกเดี๋ยวออกไปเที่ยวกันนะคะ ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเราตอนนี้ น่าจะทำได้นะคะ”
เซียวจิ่งสือเห็นท่าแล้วรีบออกปากห้าม “อันซิง วันนี้คิดจะมอมเหล้าผมหรือไง อีกเดี๋ยวผมยังมีงานต้องไปทำ คงอยู่เป็นเพื่อนคุณไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วย คุณไปเที่ยวคนเดียวเถอะ”
เซียวจิ่งสือคิดถึงแต่หลินหว่าน เขาอยากจะดูว่าหลินหว่านยังคุยกับผู้ชายคนนั้นอย่างสนุกสนานหรือเปล่า
อันซิงสังเกตดูก็รู้ว่าเซียวจิ่งสือคอยแต่จะมองไปทางหลินหว่าน ก็ไม่ชอบใจนัก เธอจึงมองหลินหว่านบ้าง ในตอนนี้ชายหนุ่มหล่อที่สวมเชิ้ตสีฟ้าคนนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้หลินหว่านด้วยรอยยิ้มกว้าง หลินหว่านดูเหมือนจะชอบเรื่องที่หนุ่มหล่อพูดเอามากๆ จึงหัวเราะเหมือนเป็นดอกไม้แรกผลิอย่างนั้น
อันซิงฉุกคิดแผนหนึ่งขึ้นมาได้ พูดขึ้นว่า “จิ่งสือคะ คุณดูหลินหว่านสิ ตอนนี้ดูมีความสุขกับหนุ่มหล่อนั่นเอามากๆ เลย คงลืมคุณไปตั้งนานแล้ว คุณก็อย่าไปคิดถึงเธออีกเลย แล้วดูท่าเธอแบบนั้น คงจะไม่ชอบคุณแล้วแน่เลยค่ะ”
เซียวจิ่งสือหันไปมองหลินหว่าน สมองลั่นเปรี๊ยะขึ้นมา รู้สึกเหมือนเลือดทั้งหมดพุ่งขึ้นมาหมด ชั่วพริบตานั้นความรู้สึกอยากจะอาละวาดแผ่ลามไปทั่วทุกอณูร่างกายของเซียวจิ่งสือ สีหน้าเขาเหมือนมีหิมะเดือนหก [ 1 ] ใบหน้าคมคายหล่อเหลาดูไปแล้วกลับชวนให้น่ากลัวอยู่บ้าง
อันซิงเห็นเซียวจิ่งสือมีสีหน้าเปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้นมาทันควัน ก็เกิดความคิดอยากจะแก้เผ็ดเอาบ้าง เธอคิดในใจว่าเซียวจิ่งสือเป็นผู้ชายที่เธอชอบมากที่สุด วันนี้โอกาสดีขนาดนี้ จะทำให้พวกเขาสองคนแตกหักกันไปเลยเชียว
อันซิงแกล้งถามอย่างเป็นห่วงว่า “จิ่งสือคุณเป็นอะไรไปคะ เมื่อกี้หลินหว่านก็ไม่ได้สนใจพวกเรา ตอนนี้พวกเราไปทักทายพวกเขาอีก บางทีจะเป็นเพื่อนกับพวกเขาสองคนก็ได้นะ คุณดูสิสองคนนั่นมีความสุขจะแย่แล้ว พวกเราก็ต้องเอาอย่างพวกเขาทำให้บรรยากาศเป็นอย่างนั้นบ้าง”
เซียวจิ่งสือยิ่งมีสีไม่ดียิ่งขึ้นไปอีก คิดในใจว่าไม่มีทาง หลินหว่านต้องยังคิดถึงเขาอยู่แน่ เซียวจิ่งสือเห็นว่าท่าทีหลินหว่านอยู่กับชายแปลกหน้านี้แล้วดูมีความสุข ก็อยากจะเข้าไปถามซะให้รู้เรื่องกันไปเลยว่า เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่
แต่การจะเข้าไปหาด้วยอาการโกรธจัดมันก็ดูไม่ค่อยดีนัก มีสถานการณ์แบบไหนที่เซียวจิ่งสือไม่เคยเจอมาก่อน เวลาแบบนี้หุนหันไม่ได้เด็ดขาด
เซียวจิ่งสือสงบอารมณ์แล้วส่งยิ้มให้อันซิง แกล้งตอบอย่างสบายๆ ว่า “ก็ดีครับ พวกเราไปหาเธอกันเถอะ เมื่อครู่หลินหว่านอาจยุ่งจนไม่ทันได้สนใจพวกเรา ตอนนี้ไปหาเธออีกครั้ง ผมไม่เชื่อว่าเธอจะไม่พูดกับพวกเราสักคำสองคำ”
อันซิงยิ้มแล้วพูดว่า “หลินหว่านเขาอาจจะออกมานัดเดทกับแฟนหนุ่มกันสองต่อสองล่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก หลินหว่านต้องยินดีจะพูดกับพวกเราอยู่แล้วแน่ๆ”
อันซิงพูดพลางมองหยั่งสำรวจท่าทีของเซียวจิ่งสือ
เซียวจิ่งสือลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า รู้สึกเจ็บปวด แต่กลับแกล้งพูดตามสบายว่า “นั่นน่ะไม่มีอะไรมากหรอก บางทีพวกเขาสองคนอาจไม่ใช่คู่รักกันก็ได้ คุณก็อย่าเหมาเอาฝ่ายเดียวสิ คนเขาไม่ใช่แฟนกันสักหน่อย ต้องไม่ใช่แน่เลย”
อันซิงย่อมจะยินดีไปดูฉากสนุกๆ แบบนี้อยู่แล้ว เธอรีบตามติดอยู่ด้านหลังเซียวจิ่งสือด้วยท่าทีกระตือรือร้นสนใจ รอดูการแสดงที่จะกำลังเปิดฉากในเวลาอีกไม่นาน
“ฮัลโหล กำลังคุยกันเลยนะ พวกเรานั่งด้วยได้ไหม” เซียวจิ่งสืออมยิ้มในหน้า พูดกับหนุ่มหล่อที่นั่งตรงหน้าหลินหว่านอย่างเป็นสุภาพบุรุษมากๆ
เขาเห็นว่าหนุ่มหล่อนี้ มีใบหน้าเนียนใสไร้สิวฝ้า คิ้วเข้มตาโต ริมฝีปากแดงสด แถมยังพูดคุยกับหลินหว่านอย่างออกรสอยู่เลย
พอเขาเห็นเซียวจิ่งสือเข้ามาทักทาย ขัดจังหวะที่เขาจะได้สำแดงทักษะฝีปากที่เขาถนัดก็ชะงักนิ่งอึ้งไป รู้สึกอึดอัดขัดเขินขึ้นมา ชั่วขณะนั้นทั้งเซียวจิ่งสือและอันซิงรู้สึกเหมือนมีลมฤดูใบไม้ผลิโชยพัดมาเบาๆ [ 2 ] เผยรอยยิ้มอย่างสุภาพออกมา ขณะที่ในใจกลับคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์อะไรกันนะ
หลินหว่านขึงตากลมโตไปที่ใบหน้าที่แสดงความดีใจจนออกนอกหน้าของเซียวจิ่งสือ ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มของเธอหุบฉับลงทันที เธอยังไม่อยากจะพูดกับเซียวจิ่งสือ เธอมองดูใบหน้าเย่อหยิ่งอย่างถือดีว่าเหนือกว่าของอันซิงแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดรำคาญขึ้นมา
——
[ 1 ] หิมะเดือนหก มีนัยหมายถึง มีการเข้าใจผิดหรือถูกใส่ร้ายเกิดขึ้น ที่มาจากวรรณกรรมจีนเรื่อง ‘โต้วเอ๋อร์ยวน’ เรื่องมีอยู่ว่าโต้วเอ๋อร์ถูกใส่ร้ายจนต้องโทษประหาร ก่อนตายสาบานต่อฟ้าว่าเธอไม่ได้ทำผิด หากเป็นดั่งคำสัตย์ขอให้หิมะตกในเดือนหก หลังจากเธอตายไป เกิดปรากฏการณ์ดังคำสัตย์เป็นการพิสูจน์ว่าเธอถูกใส่ร้าย ทั้งนี้เนื่องจากสภาพอากาศเดือนหกของจีนกำลังจะเข้าฤดูร้อน จึงเป็นการยากที่จะมีหิมะตก
[ 2 ] ลมฤดูใบไม้ผลิโชยพัดมาเบาๆ หมายถึง ทำให้รู้สึกสบาย มีความสุข