รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 223 ฝีมือการแสดง
เซียวจิ่งสือเดินเข้ามาหาอินเสี่ยวเสี่ยว ถามว่า “หว่านหว่าน คุณกำลังทำอะไรน่ะ? เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”
ตอนที่เซียวจิ่งสือเพิ่งมาถึง เห็นว่ามีสายตาคนไม่น้อยพากันมองไปทางอินเสี่ยวเสี่ยวกับผู้กำกับ แล้วยังได้ยินเสียงตวาดดังลั่นของผู้กำกับ เหมือนเกิดการทะเลาะกัน
“ไม่…” อินเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งอ้าปาก ก็ถูกผู้กำกับที่อยู่ด้านข้างพูดขัดขึ้น
“ประธานเซียว วันนี้ทำไมคุณมีเวลามากองถ่ายได้? มีเรื่องสำคัญอะไรหรือครับ?” ผู้กำกับรีบเข้ามาทักทายต้อนรับเซียวจิ่งสือ
“ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรหรอก ผมแค่มาดูหว่านหว่าน” เซียวจิ่งสือพูดเสียงเรียบ แล้วเลยถามว่า “เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
ผู้กำกับรีบพูดว่า “ประธานเซียว คุณรู้ไหมว่าระยะนี้คุณหลินอาจไม่พร้อมนัก อย่างเมื่อครู่นี้ ฉากที่เพิ่งเริ่มถ่ายทำ คุณหลินยังจำบทพูดกับท่าเคลื่อนไหวของตัวเองไม่ได้ ผมจึงต้องให้คุณหลินพักสักครู่ค่อยเริ่มใหม่”
“แต่ว่าท่านประธานเซียว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปจะเสียเวลามาก ไม่ทราบว่าต้องดึงตารางถ่ายทำล่าช้าไปอีกแค่ไหน…” ผู้กำกับรีบแย่งเข้ามาพูดกับเซียวจิ่งสือ เขาจะให้เซียวจิ่งสือรู้ไม่ได้ว่าเขาเพิ่งจะด่าหลินหว่านไป
“งั้นเหรอ?” เซียวจิ่งสือฟังคำพูดของผู้กำกับแล้ว ขมวดคิ้ว หันมาถามหลินหว่านว่า “หว่านหว่าน จริงเหรอ?”
อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วกลับไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
ดูท่าทีของเซียวจิ่งสือ เขาเห็นเธอเป็นหลินหว่านตัวจริง แต่เธอไม่ใช่ ‘หลินหว่าน’ ตัวจริงนั่นซะหน่อย เธอเล่นละครไม่เป็น ไม่ได้รับความนิยมจากชาวเน็ต ทั้งไม่ได้เป็นที่รักของเซียวจิ่งสือ
“บอกผมสิ หว่านหว่าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เซียวจิ่งสือถามย้ำ
อินสี่ยวเสี่ยวนึกดูแล้ว ก้มหน้าพูดว่า “ฉ…ฉันวันนี้ไม่ค่อยสบายนัก ทำให้ทุกคนเสียเวลา แล้วยังทำให้ตารางถ่ายทำต้องเลื่อนไปอีก…”
อินเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้พูดเรื่องที่เธอกลัวการตกจากลวดสลิงค์ออกมา เพราะคนที่ตกจากลวดสลิงค์คือตัวแสดงแทนที่ชื่ออี้อวิ๋นฉัง ส่วนเธอในตอนนี้เป็นหลินหว่านตัวจริง
เซียวจิ่งสือจ้องอินเสี่ยวเสี่ยวนิ่งอยู่ เขาเห็นความไม่เชื่อมั่นในตัวเองจากสายตาของอินเสี่ยวเสี่ยว
ทำไมหว่านหว่านจึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้นะ? เขาจำได้ว่าก่อนสูญเสียความทรงจำ หลินหว่านรักการแสดงมาก ตอนเข้ากล้องหนังทุกเรื่อง เธอไม่เคยมีสีหน้าที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเองเลยแม้แต่น้อยนิด
เซียวจิ่งสือคิดดูแล้วพูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวว่า “ทำไมอย่างนี้ล่ะ หว่านหว่าน คุณรักการแสดงมากไม่ใช่หรือไง? เมื่อก่อนคุณเคยพูดว่าวิธีที่จะแสดงให้ดีที่สุดก็คือรักที่จะแสดง แล้วมีความสุขระหว่างที่แสดงไม่ใช่หรือไง?”
“หา…” อินเสี่ยวเสี่ยวนิ่งงันไปบ้าง เธอไม่ได้เป็นคนพูด นั่นน่าจะเป็นหลินหว่านพูดไว้กระมัง
เซียวจิ่งสือเห็นดังนั้นก็พูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวว่า “หว่านหว่าน ผ่อนคลายนะ ตอนนี้คุณควรจะมองการแสดงให้เป็นงานอดิเรกยามว่างชนิดหนึ่ง ไม่ใช่งานที่ต้องทำ”
พูดจบ เซียวจิ่งสือก็ส่งสายตาปลุกปลอบให้กำลังใจอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างเปี่ยมล้น อินเสี่ยวเสี่ยวพบว่าดวงตาของเซียวจิ่งสือดำสนิทราวกับสีของหมึก ดวงตาพราวระยับคู่นั้นยามยิ้มออกมาโค้งราวกับจันทร์เสี้ยว แต่ตอนนี้เมื่อเขาตั้งใจมองดูเธอ ดวงตาของเขาเหมือนดวงดาว ระยิบระยับราวกับมีชีวิต แต่กลับไม่สูญเสียความเข้มแข็งหนักแน่นของชายหนุ่ม ซึ่งทำให้อินเสี่ยวเสี่ยวเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาอย่างมากโดยไม่รู้สาเหตุ
“ฉ…ฉันเหมือนจะเข้าใจคำพูดของคุณแล้วค่ะ เซียวจิ่งสือ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูดเหมือนปรุโปร่งอะไรบางอย่าง
เซียวจิ่งสือหัวเราะออกมา สมกับที่เป็นหลินหว่าน ยังฉลาดปานนั้น พูดแค่นี้ก็เข้าใจได้ เขาพูดอีกว่า “จำไว้นะ หว่านหว่าน คุณอย่าตื่นเต้นเกินไป และอย่ากดดันตัวเองเกินไปด้วย มองว่ามันเป็นงานอดิเรกที่คุณชอบอย่างหนึ่ง ทำให้เต็มที่แล้วมีความสุขกับมันก็พอแล้ว”
“ขอบคุณค่ะผู้กำกับ ขอบคุณค่ะท่านประธานเซียว ฉันเข้าใจแล้วค่ะ!” อินเสี่ยวเสี่ยวคิดใคร่ครวญดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นเหมือนได้เข้าใจอะไรบางอย่าง
สิบนาทีต่อมา ฉากนี้เริ่มถ่ายทำอีกครั้ง อินเสี่ยวเสี่ยวกับพระรองถูกห้อยขึ้นบนลวดสลิงค์อีกครั้ง แต่คราวนี้ ตอนที่อินเสี่ยวเสี่ยวอยู่กลางอากาศ ความว้าวุ่นและหวาดกลัวในใจเธอไม่รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
อินเสี่ยวเสี่ยวตั้งสติมั่น นึกถึงคำพูดของเซียวจิ่งสือ นึกว่าการแสดงเป็นเพียงงานอดิเรกที่เธอชอบอย่างหนึ่ง ไม่นานนักเธอก็หลอมรวมเข้ากับบทบาทได้จริงๆ
พอผู้กำกับขานว่า “แอ๊กชั่น” พระรองก็เคลื่อนไหวอย่างคราวก่อน แต่ครั้งนี้ อินเสี่ยวเสี่ยวกวัดแกว่งกระบี่ด้วยท่าทีเยือกเย็นไม่ลนลานสักนิด เคลื่อนไหวตามที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้า สอดรับกับการแสดงของพระรอง
ผู้กำกับมองผ่านจอมอนิเตอร์ดูการแสดงคราวนี้ของอินเสี่ยวเสี่ยว เขาพบว่า อินเสี่ยวเสี่ยวไม่เพียงจะแสดงท่าทางการเคลื่อนไหวได้อย่างดีเท่านั้น แม้แต่การแสดงออกทางอารมณ์ของเธอก็แสดงได้อย่างถึงบทบาท พอเหมาะพอดีเป๊ะ
“คัท!” ฉากนี้ผ่านไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว เพราะครั้งนี้ผ่านในเทคเดียว ไม่มีหยุดพักกลางครัน
หลังถ่ายฉากนี้แล้ว ผู้กำกับต้องประเมินอินเสี่ยวเสี่ยวใหม่ ดูท่าว่าก่อนหน้านี้หลินหว่านทำได้ไม่ดีอาจเป็นเพราะอยู่ในสภาพไม่พร้อมจริงๆ ก็ได้ เพราะดูจากฉากนี้ เธอเป็นคนมีฝีมือทีเดียว ส่วนท่าทีของพระรองต่ออินเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่เย็นชาเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว
“หลินหว่าน ครั้งนี้คุณแสดงได้ยอดมาก! ทำให้ได้แบบนี้ต่อไปล่ะ” พออินเสี่ยวเสี่ยวลงมาจากสลิงค์ ผู้กำกับก็เอ่ยชมหลินหว่าน
“ขอบคุณค่ะผู้กำกับ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูด แล้วเธอก็เห็นว่าเซียวจิ่งสือยังอยู่ไม่ไกลนัก เขาไม่ได้ออกไป เธอจึงเดินเข้ามาหาเขาอย่างดีใจ ถามอย่างเขินอายว่า “เซียวจิ่งสือ เมื่อกี้คุณดูฉันแสดงตลอดเลยหรือคะ”
“แน่นอนครับ ผมมาเยี่ยมกองถ่าย ถ้าไม่มาดูคุณแสดงแล้วผมจะมาทำไมกันล่ะ?” เซียวจิ่งสือพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นเมื่อครู่ฉันแสดงเป็นยังไงบ้างคะ?” อินเสี่ยวเสี่ยวถามอย่างขัดเขินอยู่บ้าง
“เมื่อกี้คุณแสดงได้สุดยอดมากเลย เริ่ดสุดติ่ง เจ๋งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก สู้ๆ ต่อไปนะ!” เซียวจิ่งสือชมอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างเวอร์วังอลังการ แน่นอนว่ามีการให้กำลังใจอยู่ด้วยเช่นกัน
ส่วนอินเสี่ยวเสี่ยวละเอียดพอที่จะจับคำพูดของเซียวจิ่งสือที่ว่า ‘เมื่อก่อน’ ได้ ชั่ววูบนั้นเธอรู้สึกห่อเ**่ยวอยู่บ้าง เมื่อนึกถึงว่าเซียวจิ่งสือเห็นเธอเป็น ‘หลินหว่าน’ ตัวจริงแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
นิ่งไปครู่หนึ่ง อินเสี่ยวเสี่ยวก็รวบรวมความกล้าถามเซียวจิ่งสืออีกว่า “เซียวจิ่งสือคะ ฉันขอถามอะไรคุณสักอย่างได้ไหมคะ”
เซียวจิ่งสือเองก็สังเกตได้ว่าอินเสี่ยวเสี่ยวมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปบ้าง เขาขมวดคิ้ว พูดว่า “คุณถามเถอะ หว่านหว่าน”
อินเสี่ยวเสี่ยวเงยหน้าขึ้นมองเซียวจิ่งสือ พอเห็นเงาร่างของตัวเองอยู่ในดวงตาของเขา พอแน่ใจว่าตัวเองอยู่ในสายตาของเซียวจิ่งสือ เหมือนกับที่เขาอยู่ในสายตาเธอเช่นกัน ครอบครองทุกพื้นที่ไว้เต็ม อินเสี่ยวเสี่ยวถามเสียงเบาว่า “เซียวจิ่งสือคะ ถ้า…ฉันหมายถึงว่าถ้าหากมีคนสองคนที่หน้าเหมือนกันเปี๊ยบมาอยู่ตรงหน้าคุณ คนหนึ่งเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับคุณ ค…คุณจะจำผิดไหมคะ?”