รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 277 ยอมโอนอ่อน
วินาทีก่อนหน้านี้ยังซาบซึ้งไปกับเซียวจิ่งสือ พอหลินหว่านได้ยินคำพูดนี้ของเซียวจิ่งสือก็เงยหน้าขวับ แต่เธอลืมไปว่าตอนนี้เธออยู่ในอ้อมกอดของเซียวจิ่งสือ ดังนั้นศีรษะของหลินหว่านจึงชนเข้ากับปลายคางของเซียวจิ่งสือ
การชนครั้งนี้กระแทกเข้าอย่างแรง เจ็บจนหลินหว่านน้ำตาแทบร่วง
เซียวจิ่งสือก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะมีปฏิกิริยาขนาดนี้ จึงไม่ทันระวังตัวถูกชนเข้าอย่างจัง แต่เขารีบตั้งสติ นวดศีรษะหลินหว่าน พูดว่า “หว่านหว่าน ขอโทษ ขอโทษนะ ผมไม่ดีเอง คุณเจ็บมากไหม?”
หลินหว่านแม้จะเจ็บแทบตายแต่ยังติดใจคำพูดเมื่อครู่ของเซียวจิ่งสือ “เซียวจิ่งสือ เมื่อกี้คุณพูดอะไรนะ คุณจะเข้าวงการบันเทิง?”
“อื้อ ครับ อันที่จริงผมรู้สึกว่าถ้าผมเข้าวงการบันเทิงก็ไม่มีอะไรไม่ดีนี่นา อย่างนี้ยังได้ดูแลคุณอีกด้วยไม่ใช่หรือไง?”
“คุณมันบ้า คุณเข้าใจว่าวงการบันเทิงมันอยู่ง่ายนักรึไง อันตรายจะตายไป! ฉันขอบอกคุณเลยนะ ให้คุณเลิกความคิดนี้ซะโดยเร็วเลย!” หลินหว่านพูดฟันธงกับเซียวจิ่งสือ
“แต่ว่า…หว่านหว่าน…”
“ฉันจะบอกคุณนะ เรื่องนี้ฉันบอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่ต้องต่อรองอะไรทั้งนั้นด้วย!” เซียวจิ่งสือยังไม่ทันได้พูดอะไร หลินหว่านก็แย่งพูดขึ้นก่อน พูดจบก็มองดูเซียวจิ่งสือ แล้วหันกลับเดินแยกเข้าห้องไปเพียงลำพัง
เซียวจิ่งสือคิดจะรีบตามหลินหว่านเข้าไปคุยต่อ แต่พอกำลังจะเข้าประตู หลินหว่านก็ปิดประตูดังปัง
บ้าฉิบ นี่คงโกรธจริงแล้ว ไม่สนเราเลย เซียวจิ่งสือลูบจมูกที่หวิดถูกกระแทกเข้า ยังดีนะที่จมูกนี่ไม่ได้ไปเสริมมา ไม่อย่างนั้นคงล้มไม่เป็นท่าแน่
แน่นอนว่า คำพูดพวกนี้เขาแค่แอบคิดอยู่ในใจ เขาไม่กล้าพูดออกมาหรอก นอกซะจากคิดอยากตายขึ้นมา
เขาดันมือจับประตู คิดจะเปิดประตูเข้าไป แต่พบว่าล็อกจากด้านใน นี่เธอไม่คิดจะสนเขาแล้วจริงๆ รึไง?
หมดกัน ถึงตอนนี้ก็คงต้องยอมแล้ว เฮ้อ เรื่องนี้เอาไว้ก่อนก็ได้
“หว่านหว่าน ขอโทษนะ คุณแค่อยากอยู่กับคุณให้มากขึ้นหน่อย ผมคงไม่ทันคิดจึงพูดไปตามอารมณ์แบบนั้น ถ้าคุณไม่ชอบผมไม่ทำก็ได้ ต่อไปจะไม่พูดถึงเลยด้วยดีไหม คุณเปิดประตูหน่อยสิ นะ”
คนข้างในยังไม่ยอมขยับ เซียวจิ่งสือเกาะอยู่หน้าประตูเงี่ยหูฟัง ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย หือม์? นี่มันอะไรกัน?
ดังนั้นเอง เขาจึงเกาะอยู่หน้าประตูพูดหยอดคำหวานต่อไป
หลินหว่านฟังเขาพูดพล่ามไม่หยุดก็นึกรำคาญขึ้นบ้าง จึงไปเปิดประตูให้เขาเข้ามา ปรากฏว่าเซียวจิ่งสือที่เกาะประตูอยู่ไม่ทันระวังถลาเข้าห้องมาอย่างเสียหลัก
พอเห็นท่าหมดหล่อของเขา หลินหว่านก็หลุดเสียงหัวเราะพรวดออกมา
พอเห็นว่าเธอยอมหัวเราะแล้วในที่สุด เซียวจิ่งสือลูบผมท้ายทอย สีหน้าบอกไม่ถูก
“เอาละค่ะ เรื่องนี้ต่อไปก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เลิกแล้วกันไปเถอะ”
“ได้เล้ย ผมเชื่อคุณ ไม่ทำแล้ว งั้นรอผมมีเวลาแล้วค่อยหางานอื่นทำไปก่อนก็แล้วกัน”
คราวนี้หลินหว่านไม่ได้คัดค้าน เธอผงกศีรษะเป็นทีเห็นด้วย
จากนั้นทั้งสองก็ออกไปทานข้าวด้วยกันอย่างรื่นเริง
……
วันเวลาผ่านไปทุกวันๆ
ทุกวันหลินหว่านมัวยุ่งกับเรื่องการถ่ายหนัง บางครั้งพอมีเวลาว่างยังช่วยออกความเห็นเรื่องบริษัทของเซียวจิ่งสือ ยุ่งจนหัวหมุนอยู่ทุกวัน
ส่วนเซียวจิ่งสือนั้น เนื่องจากคราวก่อนบอกว่าคิดจะเข้าวงการบันเทิงถูกหลินหว่านอบรมไปชุดใหญ่ จึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่แอบไปหางานที่อยู่ในเส้นทางกลับบ้านของหลินหว่านทุกวัน
ข้ออ้างของเซียวจิ่งสือในตอนนั้นคือ “อย่างนี้พอคุณเลิกงานจะได้เลยมาหาผมที่นี่ แล้วพวกเราก็จะได้ไปทำงานด้วยกัน เลิกงานกลับบ้านด้วยกันทุกวันไง”
ตอนนั้นหลินหว่านแค่หัวเราะเยาะเซียวจิ่งสือว่าเขาทำตัวเป็นเด็ก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
มาวันนี้ “เจ้านายๆ เดี๋ยวคุณแกล้งทำเป็นว่าผมทำงานผิดพลาด เลยโมโหมากจนลงโทษผม ได้ไหมครับ?”
“อ๋า? แต่ผมว่าคุณทำงานได้ดีแล้วนี่นา ทำไมล่ะ?”
“คือว่า…อีกเดี๋ยวแฟนผมจะเลิกงานแล้ว เธอจะผ่านมาทางนี้ ก็เลย…”
“โอ้ว งั้นเรอะ ผมรู้แล้ว รู้แล้ว” เซียวจิ่งสือหน้าขึ้นเส้นดำเต็มไปหมด เขาแน่ใจได้เลยว่า เรื่องที่เจ้านายคิดไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้ แต่ว่า…ถึงยังไงผลออกมาก็เหมือนกัน เขาจึงไม่อธิบายมากความอีก
เป็นดังคาด ไม่นานนักหลินหว่านก็เลิกงานมาหาเขา มองแต่ไกลเห็นเซียวจิ่งสือยืนนิ่งอยู่นั่นด้วยท่าทางนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว ยอมรับกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ส่วนอีกฝ่ายดูไปแล้วกำลังโมโหมากอย่างนั้น
พอเธอเดินเข้าไปหาก็ได้ยินว่า “คุณดูซิ มันเรื่องอะไรกัน จานของผมดีๆ ยังทำมันแตกได้ คุณยังจะทำอะไรได้อีกหา รู้ไหมว่าจานนั่นแพงขนาดไหน? หา?”
หลินหว่านพอจะเข้าใจแล้ว น่าจะเป็นเซียวจิ่งสือทำจานแตก เฮ้อ เธอรีบเดินเข้าไปขอโทษขอโพยเจ้านาย จากนั้นจ่ายเงินชดใช้ให้เขาแล้วดึงเซียวจิ่งสือออกมา
วันรุ่งขึ้นหลินหว่านไปหาเซียวจิ่งสือก็เจอกับภาพบรรยากาศเดิมๆ “คุณนี่น่าโมโหซะจริงๆ เลย เมื่อวานทำจานแตกสั่งสอนแค่คำสองคำเป็นไรไป ไม่ยอมรับอีกงั้นสิ? ดูซิวันนี้คุณทำอะไรลงไปน่ะ ยังจะทำหน้าบูดอีก แขกตกใจหนีหมดแล้ว คุณรู้ไหมผมเสียหายไปเท่าไหร่?”
ปรากฏว่า วันที่สาม…สี่…ทุกวันที่หลินหว่านเลิกงานมาเป็นต้องเห็นภาพเซียวจิ่งสือถูกด่าว่าเป็นประจำ จนเธออดสงสารขึ้นมาไม่ได้
เขาเคยเป็นคนหยิ่งทระนงถึงปานนั้นมาก่อน ผู้ซึ่งคนอื่นมองอย่างเทิดทูน เป็นความภาคภูมิใจในสายตาเธอ แต่ตอนนี้กลับต้องทำงานที่ไม่เคยต้องทำมาก่อน ต้อยต่ำจนต้องคอยเอาใจคนอื่น แถมยังถูกคนชี้นิ้วด่าว่าอีก ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
“จิ่งสือ พรุ่งนี้…คุณไม่ต้องไปทำงานแล้วนะ เงินที่ฉันหามาได้น่าจะพอเลี้ยงปากท้องเราสองคนอยู่”
“ทำไมล่ะ ทำไมจู่ๆ คุณถึงพูดแบบนี้”
“ฉันไม่อยากเห็นคุณถูกคนอื่นด่าว่า” หลินหว่านพูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ
คำพูดนี้พอเข้าหูเซียวจิ่งสือเขาก็รู้ทันทีว่าหลินหว่านสงสารเขา แผนการใกล้จะสำเร็จแล้ว
“แต่ว่า ผมจะให้คุณเลี้ยงผมไปตลอดได้ยังไงกัน? ถึงไงผมก็ต้องออกไปทำงานอยู่ดี วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ทนๆ เอาเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว”
หลินหว่านคิดดูแล้วมันก็ใช่นะ ตอนนี้เรื่องของบริษัทยังแก้ไม่ได้ ก็ต้องออกไปทำงานข้างนอก แต่…เธอเกรงว่าคนอื่น…
“เฮ้อ ช่างเถอะ ไม่งั้น…คุณก็เข้าวงการบันเทิงกับฉันเถอะ อย่างนี้อยู่กับฉันยังคอยดูแลคุณได้”
คำพูดนี้ทำเอาเซียวจิ่งสือไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เธอยังจะดูแลเขาอีก แต่ว่า…เรื่องดีๆ ขนาดนี้ ตอนนี้โอกาสส่งมาถึงหน้าประตูแล้ว คนอย่างเขามีหรือจะปฏิเสธ?
“แต่ว่า…คุณไม่ชอบให้ผมเข้าวงการบันเทิงนี่?” เซียวจิ่งสือยังแกล้งทำเป็นพูดอย่างกังวล
“ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ไม่งั้นคุณเป็นแบบนี้ฉันยิ่งไม่วางใจ อยู่กับฉันค่อยวางใจได้หน่อย”