รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 285 หันเหเป้าหมาย
ฮั่วเทียนอวี่ฉุกคิดขึ้นมาได้ รีบร้องตะโกนเสียงดังอยู่ในบริษัทของเซียวจิ่งสือ บีบน้ำตาสองสามหยดออกมา สร้างสถานการณ์ว่าเซียวจิ่งสือเป็นคนลืมบุญคุณคน
“เซียวจิ่งสือ ถึงอย่างไรผมก็เป็นคนช่วยชีวิตของหลินหว่านนะ” ไม่ว่าผู้คนรอบข้างจะห้ามปรามอย่างไร ฮั่วเทียนอวี่ก็ไม่ยอมแพ้ นี่เป็นหนทางเดียวของเขาแล้ว
ตอนนี้เขานั่งอยู่บนพื้น ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงตอนนี้ยิ่งเป็นกระเซิงมากขึ้น เขายังพูดราวกับว่าตัวเองเป็นเหยื่อที่ถูกทำร้ายอย่างนั้น เหมือนกับคราวก่อนที่เคยพูดกล่าวหาหลินหว่านต่อหน้าสื่ออย่างไรอย่างนั้น
ฝูงชนรอบข้างที่มาดูความครึกครื้นยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ฮั่วเทียนอวี่เห็นว่าสถานการณ์กำลังเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการแล้ว ดูท่าว่าเขายังต้องเสริมแรงอีกหน่อย
“ถึงตอนนี้แล้วทำไมคุณยังต้องทำกับบริษัทของพวกเราแบบนี้อีก? ผมทำผิดอะไรกันแน่?” ฮั่วเทียนอวี่ยิ่งพูดก็ยิ่งอิน เขานั่งอยู่ที่นั่นเห็นชัดว่าพยายามเรียกร้องความสนใจ
ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด แต่ตอนนี้เขามีปากที่ใช้การได้ดี สามารถพูดกลับดำให้เป็นขาวได้
ตอนแรกคนในบริษัทเข้ามามุงดูฮั่วเทียนอวี่มากขึ้นเรื่อยๆ พากันวิพากษ์วิจารณ์เขาไปต่างๆ นาๆ และก็มีคนมากมายที่พูดขึ้นอย่างสงสัย หรือว่าจะเป็นอย่างที่คนตรงหน้านี่พูด เซียวจิ่งสือเป็นคนลืมบุญคุณคนจริงๆ?
หลายคนยังคาดเดากันอยู่ แต่ที่นี่ถึงยังไงก็เป็นบริษัท พวกเขายังไม่กล้าจะพูดอะไรนัก แต่ในใจของพนักงานเหล่านี้ได้ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยเอาไว้
ต่อให้ยามปกติพวกเขาไม่กล้าจะคาดเดาความคิดของเจ้านาย แต่ตอนนี้คนคนนี้มาพูดที่บริษัทตั้งมากมาย ทั้งยังทำท่าเป็นจริงเป็นจัง บางทีอาจจะมีความลำบากอะไรจริงๆ ก็ได้
บางคนถึงกับถ่ายคลิปเรื่องนี้เอาไว้ ฮั่วเทียนอวี่เห็นเช่นนั้น ก็ยิ่งโวยวายฟูมฟายหนักกว่าเดิม “คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ บริษัทเราทำอะไรผิดที่ตรงไหน คุณถึงทำแบบนี้กับเรา” ใบหน้าของฮั่วเทียนอวี่ยิ่งแดงก่ำเข้าไปอีก
เซียวจิ่งสือได้ยินเสียงของเขา จึงเดินออกไป คนที่ถือมือถืออยู่ด้านข้างต่างพากันรู้ตัวเก็บมือถือลง เซียวจิ่งสือล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง ตวัดสายตาไปยังคนรอบข้างแวบหนึ่ง
“คุณโวยวายอยู่นี่พอรึยัง? ผมบอกไปแล้วว่าไม่ได้ติดหนี้อะไรคุณ” มือสองข้างของเซียวจิ่งสือกำเป็นหมัด แทบยั้งใจไม่อยู่ซัดเจ้าสวะนี่เข้าให้
ถึงแม้เขาจะกลัวมากว่าเซียวจิ่งสือจะพูดความจริงออกมา แต่ตอนนี้อาการน๊อตหลุดแบบนี้ต่อให้พูดออกมาก็ไม่แน่ว่าทุกคนจะเชื่อเขา
“ผมฮั่วเทียนอวี่ไม่ขอให้คุณทดแทนคุณ แต่คุณทำแบบนี้กับบริษัทที่ผมทำงานอยู่ไม่ได้นะ ผมทำอะไรผิดไปงั้นเหรอ” อาจเป็นเพราะฮั่วเทียนอวี่เห็นว่าผู้คนที่ห้อมล้อมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จึงกล้าเผชิญหน้าต่อกรกับเซียวจิ่งสือ
“คุณไม่ได้ยั่วอะไรผม แต่คุณทำผิดต่อเธอ แล้วคุณยังเห็นว่าผมยังจะช่วยคุณอีกงั้นรึ” ดวงตาของเซียวจิ่งสือเป็นประกายโทสะ เหมือนกับอันจี๋อวี่ ฮั่วเทียนอวี่หลบสายตาวูบวาบ จากนั้นเขาก็เริ่มพูดอึกอัก ไม่รู้ว่าตัวเองจะควรจะพูดอธิบายอย่างไร
ระหว่างที่คนทั้งสองพูดกันนั้น ทำให้คนรอบข้างต่างพากันมึนตึ้บไปหมด มีแค่ฮั่วเทียนอวี่เท่านั้นที่รู้เรื่องทั้งหมด ศีรษะของเขาค่อยๆ ก้มต่ำลง เนื่องจากเรื่องที่เซียวจิ่งสือพูดล้วนแต่เป็นความจริง แต่ความตั้งใจเดิมของเขาก็แค่อยากจะให้หลินหว่านไปกับเขา เขาไม่ได้คิดอยากจะให้เซียวจิ่งสือกับหลินหว่านโมโหขนาดนี้
ในเมื่อตอนนี้ไม่อาจกลับไปแก้ไขความผิดได้อีก แม้แต่เรื่องตรงหน้าในตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขเลย ฮั่วเทียนอวี่คิดในใจว่า สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือเคลียร์เรื่องนี้ให้ได้
“คุณไม่ต้องฝันไปแล้ว รีบไปซะเถอะ” พูดพลางเซียวจิ่งสือก็สาวเท้าก้าวจากไป พวกพนักงานหญิงต้องยอมรับว่า เซียวจิ่งสือในตอนนี้ยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้แบบนี้ ก็แน่มากแล้วจริงๆ
นอกจากนี้ในสายตาของพวกเธอแล้วมีแต่คำว่าเท่ห์สุดๆ ไปเลย พวกเธอมองตามเงาร่างที่เดินเข้าห้องทำงานไปอย่างไม่อาจละสายตา
พนักงานหญิงสองคนที่ติดตามดูเรื่องที่เกิดขึ้นเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด “คงจะไม่เป็นอย่างที่ฮั่วเทียนอวี่พูดหรอกนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงละก็ งั้นเขาก็น่าสงสารเกินไปแล้ว” พนักงานคนหนึ่งพูดกระซิบกับพนักงานที่เขาสนิทสนมด้วยที่ด้านข้าง
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ เธอไม่เห็นเหรอว่าเมื่อกี้เขาดูกระเซอะกระเซิงขนาดไหน เห็นแบบนั้นก็รู้แล้วว่าเจรจาไม่สำเร็จนะสิ คุณว่าท่านประธานของพวกเราจะใจร้ายได้ขนาดไหนกัน?” คำพูดเหล่านี้จะพูดกันได้ก็ตอนที่อยู่กันแค่สองคน เห็นรอบข้างไม่มีคนแล้ว ที่จริงก็ไม่ได้มีแค่สองคนนี้เท่านั้นที่เริ่มพูดวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของบริษัท
เรื่องพวกนี้อันที่จริงเซียวจิ่งสือก็คาดการณ์ไว้แล้ว วันนั้นเขาดูออกว่าฮั่วเทียนอวี่อารมณ์ไม่ปกตินัก แต่ก็คิดไม่ถึงว่าในยามเข้าตาจนเขาจะใช้วิธีการแบบนี้ออกมา
อันที่จริงคำเล่าลือในบริษัทนั้นเขาก็ได้ฟังมาไม่น้อย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้เขาก็ไม่เปลี่ยนแนวคิดของตัวเอง
ตอนนี้เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์ ฮั่วเทียนอวี่เห็นว่าเป้าหมายของตัวเองบรรลุแล้ว แม้ว่าจะไม่สำเร็จ แต่ดูท่าว่าตอนนี้เซียวจิ่งสือต้องเผชิญกับแรงกดดันจากกระแสวิพากษ์ของสังคมขนาดนี้ เขาก็รู้สึกดีใจมากแล้ว
“ยังดีนะ อย่างน้อยก็ยังได้ผลลัพท์ที่เราต้องการ” ฮั่วเทียนอวี่คอยตามดูคอมเมนต์ของคนจำนวนมากบนเน็ต โดยส่วนใหญ่แล้วโน้มเอียงมาทางเขา ด้วยเห็นว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของหลินหว่าน ส่วนตอนนี้น่ะเรอะ หันหัวหอกมุ่งมาทางเขาเอง
นอกจากนี้ยังมีคนเผยแพร่คลิปที่เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อไว้ออกมา เสริมเข้ากับเรื่องราวที่ตอนนี้กำลังก่อตัวเป็นกระแสวิพากษ์อยู่
เขาไม่เชื่อหรอกว่าเซียวจิ่งสือเห็นแล้วจะยังยึดมั่นในความคิดของตัวเองอยู่เหมือนเดิม…นั่นก็คือไม่ช่วยเขา
ตอนนี้บนเน็ตมีข่าวลือมากขึ้นว่าเซียวจิ่งสือเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ ถึงแม้ที่เขาพูดเป็นเพียงลมปากเท่านั้น แต่ตอนนี้มีการพิสูจน์ว่าเป็นจริงมากยิ่งขึ้นทุกทีว่าเซียวจิ่งสือเป็นคนแบบนี้
ฮั่วเทียนอวี่แค่ทำตัวให้ดูน่าสงสารต่อหน้าสายตาสาธารณชน ผู้คนต่างก็เข้าใจว่าหลินหว่านทำตัวไม่ดีต่อคนที่ช่วยชีวิตตัวเอง ในสายตาของผู้ชมดูด้านข้างพวกนี้ หลินหว่านยังน่าเกลียดยิ่งกว่าเซียวจิ่งสือซะอีก
[ทำไมถึงทำกับผู้มีพระคุณแบบนี้ได้นะ] เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชาวบ้านทั่วไปสนใจ จึงเริ่มกลายเป็นจุดสนใจของคนจำนวนมาก
[ใช่เลย แบบนี้ฉันรู้สึกว่าไร้น้ำใจกันเกินไปแล้ว เซียวจิ่งสือแค่มีเงินก็ทำแบบนี้ได้งั้นเหรอ? ]
[คนจรผ่านมา ฉันรู้สึกว่าทำเกินไป] ฮั่วเทียนอวี่ได้เห็นคอมเมนต์ที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องแทนเขาแบบนี้ทุกวัน
ตอนนี้ฮั่วเทียนอวี่ต้องตกงาน เพราะเซียวจิ่งสือไปทำให้บริษัทที่เขาอุตส่าห์หางานมาได้อย่างยากลำบากล้มไป ในสายตาผู้คนเห็นเพียงสิ่งที่เป็นเปลือกอยู่ภายนอก มองไม่เห็นความเป็นจริงภายใน
ก่อนหน้านี้มีแฉปัญหาเชิงจริยธรรมของอันซวี่กรุ๊ป ตอนนี้ยังเปิดโปงว่าเซียวจิ่งสือก็เป็นเช่นกัน แต่เรื่องนี้มีแค่ฮั่วเทียนอวี่ปั้นน้ำเป็นตัวซะเยอะ หลักฐานความเป็นจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้
อี้อวิ๋นฉังเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะออกมาแสดงตัวตนของเธอ ขณะที่รู้สึกว่าข่าวนี้มาแบบกะทันหันเกินไป คิดไม่ถึงว่าฮั่วเทียนอวี่จะใช้วิธีการแบบนี้ได้ด้วย