รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 293 เยี่ยมกอง
พออี้อวิ๋นฉังพูดแบบนี้ สายตาคนรอบข้างที่มองไป๋เจี๋ยก็เปลี่ยนไปในพริบตา ถ้าหากเมื่อครู่พวกเขายังแค่คิดจะดูพอสนุกครึกครื้น อย่างนั้นในตอนนี้ก็ล้วนแต่รังเกียจไป๋เจี๋ย
“ชิๆๆ คิดไม่ถึงว่าปกติก็ดูอ่อนโยนดี ที่แท้เธอเป็นคนแบบนี้เองเหรอ ฮ่าๆๆ คิดไม่ถึงละสิ ฝีมือชั้นปลายแถวของเธอจะถูกคนดูออกจนหมด”
“ได้แต่บอกว่ารู้จักคนแต่หน้าไม่รู้ใจ อีกหน่อยก็อยู่ให้ห่างเธอหน่อยก็แล้วกัน ฉันไม่อยากล่วงเกินอี้อวิ๋นฉังเพราะเธอหรอกนะ!”
เมื่อครู่ถึงแม้อี้อวิ๋นฉังจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่ขอเพียงคนมีหัวคิดหน่อยก็จะเข้าใจความหมายในคำพูดของอี้อวิ๋นฉัง นั่นก็คือไป๋เจี๋ยเห็นว่าเธอเป็นดาราใหญ่ จึงตั้งใจเข้ามาประจบเอาใจเธอด้วยวิธีการต่างๆ แต่คิดไม่ถึงว่าอี้อวิ๋นฉังไม่สนใจแม้แต่น้อย
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่แบบนั้น ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณว่าสักหน่อย” ไป๋เจี๋ยปฏิเสธอย่างร้อนใจ
“อ๋อ? ไม่ใช่แบบนั้น? งั้นเธอก็บอกฉันมาสิ เธอคิดยังไง? หรือว่าที่ฉันพูดนี่ผิดไปหรือไง? หือ?” หางเสียงที่ลากขึ้นจมูก ด้วยท่าทีข่มขู่เต็มที่
“ไม่มีอะไรค่ะ ขอโทษด้วย พี่อวิ๋นฉัง ฉันผิดไปแล้ว” พอได้ยินน้ำเสียงของอี้อวิ๋นฉัง ไป๋เจี๋ยก็ได้แต่ยอมรับความซวยไว้เอง
อี้อวิ๋นฉังตวัดสายตาไปที่หลินหว่านแวบหนึ่ง เหมือนจะอวดให้เธอเห็น และเหมือนเป็นการเตือนให้เธออย่าแส่ยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง จากนั้นก็เดินเชิดหน้าจากไป
คนอื่นๆ รอบข้างพอเห็นอี้อวิ๋นฉังไปแล้ว ทั้งยังเสียเวลาไปตั้งนานอีก บทหนังยังอ่านไม่จบเลยด้วย ก็ย่อมจะสลายตัวไปโดยปริยาย
ส่วนไป๋เจี๋ยถูกอี้อวิ๋นฉังด่าว่าก็ยังไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย แค่ยืนนิ่งอยู่กับที่ก้มหน้าไม่พูดจา เหมือนกับเด็กชั้นประถมทำเรื่องซนถูกหัวหน้าห้องจับได้แล้วถูกอบรมสั่งสอนอย่างนั้นเลย
อันที่จริงไป๋เจี๋ยก็รู้สึกไม่พอใจมาก แต่ทำอะไรไม่ได้ มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นนี่นา! ตอนนี้เธอเป็นดาราระดับไหน แล้วอี้อวิ๋นฉังเป็นดาราระดับไหน สถานะของพวกเธอสองคนต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีทางเทียบกันได้เลย เธอจะไปชนกับอี้อวิ๋นฉังตรงๆ ได้ยังไงกันเล่า? ยามอับจนก็ได้แต่ยอมรับเรื่องนี้ไปเงียบๆ เท่านั้นเอง
“เฮ้อ เธอนี่มัน…” ที่หลินหว่านขัดตาที่สุดก็คือท่าทางราวกับตัวเองเป็นคนสำคัญของอี้อวิ๋นฉัง เธอมักจะทำตัวสูงส่ง มองไม่เห็นหัวคนรอบข้าง
ดังนั้น ตอนที่เธอเห็นอี้อวิ๋นฉังทำกับไป๋เจี๋ยแบบนั้น จึงรู้สึกว่าเปลวเพลิงดวงเล็กๆ ในใจเธอลุกพรึ่บขึ้นเป็นเพลิงโทสะกองใหญ่ พอเห็นว่าเธอกำลังจะเดินห่างออกไป หลินหว่านจึงเรียกรั้งเธอเอาไว้
ยังพูดไม่ทันจบคำ ก็รู้สึกว่ารอบข้างมีคนกระตุกเสื้อเธอทีหนึ่ง
พอหันกลับไปมอง เป็นไป๋เจี๋ย เธอส่ายหน้าให้หลินหว่าน จากนั้นพูดเบาๆ ว่า “แล้วกันไปเถอะค่ะ!”
“ทำไม…เพราะอะไรล่ะ?” หลินหว่านถามอย่างไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“เรื่องนี้จบแค่นี้แล้ว ฉันขอบคุณคุณมากที่ยื่นมือมาช่วยฉัน เพียงแต่ว่าต่อไปฉันเกรงว่าพี่อวิ๋นฉังจะเล่นงานคุณ…” ไป๋เจี๋ยพูดอย่างเป็นห่วงอยู่บ้าง
“วางใจเถอะ ฉันไม่เป็นไรหรอก ที่ผ่านมาฉันกับเขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว กลัวอะไร ยังจะกลัวว่าฉันสู้เขาไม่ได้รึไง? อีกอย่าง ทุกคนก็อยู่บริษัทเดียวกัน ช่วยกันบ้างจะเป็นไรไป” หลินหว่านรู้ว่าไป๋เจี๋ยเป็นห่วงเรื่องอะไร แต่เธอยังจะกลัวเรื่องแค่นี้ด้วย? เป็นเพราะพวกเขาสองคนไม่ลงรอยกันไม่ใช่แค่เรื่องวันสองวัน จึงไม่สนที่จะเพิ่มมาอีกสักเรื่องหรอก
“ถึงยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยนะคะ เรื่องนี้ขอให้พอแค่นี้เถอะ ถ้าหากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องดีกับใครเลย” ไป๋เจี๋ยฟังคำของหลินหว่านแล้ว จะบอกว่าไม่ซาบซึ้งใจก็ผิดไปล่ะ เมื่อครู่ตัวเธอเองก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลินหว่านจะยอมออกมาพูดช่วยเธอต่อหน้าคนตั้งมากมายขนาดนั้น กล้าตั้งประจันหน้าสู้กับอี้อวิ๋นฉังอย่างเปิดเผย
พอฟังไป๋เจี๋ยพูดแบบนี้ หลินหว่านก็ไม่รู้ว่าควนจะพูดยังไงกับเธอดี คนอื่นพากันเหยียบย่ำเธอขนาดนี้แล้ว เธอกลับไม่คิดจะสู้เลยด้วยซ้ำ พอเธอมาช่วย กลับรั้งเธอไว้ซะงั้น! ซึ่งนั่นทำให้หลินหว่านอัดอั้นตันใจมาก
เฮ้อ แล้วกันไปเถอะ เห็นท่าทางไม่อยากมีเรื่องของไป๋เจี๋ยแล้ว หลินหว่านก็รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ควรจะยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องไร้สาระแบบนี้แต่แรก
ในเมื่อเจ้าของเรื่องเองยังเป็นแบบนี้ งั้นเธอก็ย่อมจะไม่พูดอะไรอีก ได้แต่ตบไหล่ของไป๋เจี๋ย แล้วจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก ไปพักผ่อนในที่ของตัวเอง
ในที่สุดการถ่ายทำช่วงเช้าก็เสร็จสิ้นลง ตอนบ่ายบทของหลินหว่านมีไม่มากนัก เมื่อเทียบกับช่วงเช้าแล้วน่าจะเบาสบายกว่ามาก แต่ถึงแม้จะมีบทน้อย ก็ยังต้องรอเข้ากล้องอยู่ดี หลินหว่านก็ได้แต่รอเงียบๆ อยู่อีกด้านหนึ่ง
ระหว่างนั้นเธอได้รับสายจากเซียวจิ่งสือที่โทรหาเธอ
“ไง ทำไมคุณมีเวลาโทรหาฉันคะ งานไม่ยุ่งแล้วเหรอ?” เพิ่งรับสาย ก็ได้ยินเสียงไม่ค่อยดีนักของหลินหว่าน อันที่จริงหลินหว่านยังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้าอยู่เลย!
“ทำไมเหรอ? มีใครทำให้คุณไม่พอใจหรือไง? ทำไมอารมณ์บูดแบบนี้ล่ะ?” เซียวจิ่งสือไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับ
พอได้ยินเซียวจิ่งสือถามเธอแบบนี้ อารมณ์บูดของหลินหว่านก็ดีขึ้นหน่อยหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเซียวจิ่งสือจะละเอียดอ่อนขนาดนี้ เมื่อครู่แค่ฟังเธอพูดเพียงคำเดียว ก็รู้ว่าเธออารมณ์ไม่ดีแล้ว
“ไม่มีใครรังแกฉันหรอกค่ะ แค่ตอนเช้า นักแสดงตัวเล็กๆ คนหนึ่งในกองถ่ายเราถูกอี้อวิ๋นฉังรังแกน่ะ ทีแรกฉันคิดจะช่วยเธอเรียกความยุติธรรม แต่ที่ไหนได้เธอกลับยอมให้เขารังแกซะนี่ แถมยังห้ามฉันช่วยเธอซะอีก”
พอฟังว่าเธอพูดแบบนี้ เซียวจิ่งสือก็ค่อยวางใจลงหน่อย ไม่ใช่เธอถูกรังแกก็ดีแล้ว คิดดูแล้วก็น่าขันอยู่บ้าง
“เอาเถอะ ในเมื่อเป็นเรื่องของคนอื่นเขาก็ไม่ต้องไปยุ่งอีกแล้ว ใช่แล้ว เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณกับอี้อวิ๋นฉังอยู่กองถ่ายเดียวกันเหรอ?”
“ใช่ค่ะ โชคร้ายซะจริง มาอยู่กองเดียวกับเธอซะได้” พอฟังว่าเซียวจิ่งสือถามเธอแบบนี้ หลินหว่านก็ตอบไปตามจริง ไม่ลืมที่จะบ่นถึงซะหน่อย
“ได้ ผมรู้แล้ว ตอนบ่ายแสดงดีๆ ล่ะ เย็นนี้ทานข้าวด้วยกันนะ”
“รู้แล้วค่ะ”
พูดจบทั้งคู่ก็วางสาย หลินหว่านกลับไม่มีท่าทีเปลี่ยนไปแต่อย่างไร
กลับเป็นเซียวจิ่งสือ พอฟังว่าหลินหว่านยังอยู่กองถ่ายเดียวกับอี้อวิ๋นฉัง ก็ไม่สงบแล้ว เขาเกรงว่าทั้งสองคนถ่ายหนังร่วมกันจะเกิดเรื่อง ไม่ใช่เพราะเขาเชื่อในความสามารถของหลินหว่าน แต่เผื่อเอาไว้ก่อนจะเป็นไรไป
พอคิดเช่นนั้นก็หยิบเสื้อนอกของตัวเองไปดูที่กองถ่ายซะหน่อย
“ท่านประธาน คุณจะไปไหนคะ อีกเดี๋ยวเรายังมีประชุม…” เลขาเห็นท่านประธานออกมา ก็รีบไล่ตามมาบอก
“เลื่อนไป รอผมกลับมาค่อยว่ากัน”
การมาถึงของเซียวจิ่งสือสร้างความโกลาหลได้ไม่น้อย ไป๋เจี๋ยในตอนนี้ได้แต่ถอนใจกับความซวยของตัวเอง จึงไปเตะตาเธอเข้าอย่างจัง