รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 109 สลัดหางทิ้ง
ห้อง 12 เขต C ชั้น 349
เฉินซิ่นเหยียนรับโทรศัพท์อีกครั้ง ฟังอยู่ชั่วครู่
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เธอครุ่นคิดแล้วถามขึ้น
“เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงไปในทางไม่ดีงั้นเหรอ”
เฉินซิ่นเหยียนพยักหน้า
“‘ผู้ชี้นำ’ เหรินเจี๋ย ที่ชั้น 495 ติดเชื้อ ‘โรคไร้ใจ’ ตอนนี้ถูกควบคุมตัวไว้แล้ว
“คุรุศักดิ์สิทธิ์วิญญาณหวน จางจื่อชง ทำลายไฟล์จากกล้องวงจรปิดไปเป็นจำนวนมาก จากนั้นผูกคอตายในห้องทำงานตัวเอง”
เจี่ยงไป๋เหมียนเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ลงมือเร็วชะมัด”
เฉินซิ่นเหยียนพูดต่อ
“จางจื่อชงเขียนจดหมายลาตายไว้ บอกว่าตนเองมีพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ที่ทำให้คนมีอาการคุ้มคลั่งเสียสติ ลักษณะเหมือนกับคนเป็น ‘โรคไร้ใจ’ และเป็นคนจัดการกับเสิ่นตู้และเหรินเจี๋ย
“เขารู้ว่าตัวเองถูกเปิดโปงแล้ว ไม่ทางหนีรอดไปได้ จึงได้ตัดสินใจพลีชีพเพื่อนิกาย”
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังอย่างเงียบๆ จนจบ จากนั้นถามขึ้น
“เขาบอกหรือเปล่าว่าได้รับการปลูกฝังความเชื่อเกี่ยวกับตุลากรชะตามาจากไหน”
“ในจดหมายลาตายบอกว่าเขาทำงานอยู่ในแผนกความมั่นคง ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาได้ขึ้นไปทำงานบนพื้นโลกบ่อยครั้ง นี่สอดคล้องกับประวัติการทำงานของเขา” สีหน้าของเฉินซิ่นเหยียนผ่อนคลายลง กลับคืนสู่สภาวะสงบเช่นก่อนหน้า
เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะถามออกมา
“เธอคิดยังไงเรื่องการตายของจางจื่อชง และเรื่องจดหมายลาตาย”
เจี่ยงไป๋เหมียนดุนกระพุ้งแก้มจนพองแล้วรีบหยุดการกระทำโดยเร็วเพื่อรักษาภาพลักษณ์
เธอยิ้มแล้วตอบ
“จดหมายเล่ารายละเอียดมากเกินไป เหมือนกับว่าต้องการอธิบายรายละเอียดทุกอย่างให้ชัดเจนแล้วแบกรับความผิดทั้งหมดไว้คนเดียว”
“วีรชนมักคิดเห็นตรงกัน[1]” เฉินซิ่นเหยียนยกนิ้วหัวแม่มือให้
เขาหยุดไปขณะก่อนจะพูดต่อ
“ในเมื่อสมาชิกคนสำคัญอย่างสงหมิงถูกจับกุมไปแล้ว ปฏิบัติการวันนี้ก็ใกล้จะยุติลงแล้วล่ะ
“การตายของจางจื่อชงกับเรื่องไฟล์จากกล้องวงจรปิดที่ถูกลบทิ้งไปนั่นทำให้เส้นทางการสืบสวนที่เหลือถูกตัดขาดไปหมดแล้ว ทำได้เพียงแค่ใช้คำสารภาพของเขามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ตามปกติกับบุคคลอื่นและสืบสวนในเชิงลึกมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องดูว่าไฟล์วิดีโอจากกล้องวงจรปิดที่ฝ่ายเทคนิคกู้คืนกลับมาได้จะมีประโยชน์มากน้อยขนาดไหน”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม
“ถ้าอยากให้ช่วยอะไรก็มาหาฉันได้เลยนะ”
หลังจากให้คำมั่นแล้วเธอก็ยิ้มให้ทันที
“และถ้ามีความคืบหน้าอะไรเพิ่มเติม รีบบอกให้ฉันรู้ทันทีด้วย”
เฉินซิ่นเหยียนหัวเราะ
“ได้สิ ไม่มีปัญหา”
* * * * *
ห้อง 196 เขต B ชั้นที่ 495
ซางเจี้ยนเย่านั่งอยู่ที่โต๊ะมองไปยังบานกระจกหน้าต่างที่เพียงแค่ยื่นมือออกไปก็สัมผัสโดนแล้ว สายตาเขาดูเลื่อนลอยอยู่บ้าง
ตอนนี้รายการ ‘เรื่องเล่าสารพัน’ กำลังออกอากาศอยู่ แล้วก็พลันมีเสียงสดใสไพเราะที่พนักงานของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังขึ้นมาขัดจังหวะการออกอากาศ
“พนักงานทุกท่าน นี่เป็นรายงานข่าวด่วน ฉัน…ผู้ประกาศข่าว ‘โฮ่วอี๋’ นะคะ
“หลังจากการสืบสวนอย่างละเอียด เมื่อคืนนี้ทางบริษัทได้จับกุมกลุ่มผู้กระทำผิด…
ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าขยับวูบ เขาเอนหลังพิงเก้าอี้
หลังจากรายงานข่าวจบลง ภายใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ
วันรุ่งขึ้นซางเจี้ยนเย่าไปที่ห้องเลขที่ 14 ชั้น 647 ก่อนเวลาเริ่ม 15 นาที และไม่รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นเจี่ยงไป๋เหมียนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
เขาเดินเข้าไปลากเก้าอี้ออกมานั่งลง แล้วเริ่มพูดโดยไม่รอให้หัวหน้าทีมพูดอะไร
“ผมน่าจะถูกคนจู่โจมทำร้ายมา”
เดิมทีเจี่ยงไป๋เหมียนคิดจะพูดอะไรออกมาอยู่หลายคำแต่คำพูดก็ถูกสะกดค้างไว้ทันที
เธออดถามด้วยความแปลกใจไม่ได้
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่า ‘น่าจะ’”
ซางเจี้ยนเย่าชี้ไปที่บริเวณระหว่างหัวไหล่ซ้ายกับหน้าอกของตัวเอง
“เพิ่งมีรูทะลุไปจนถึงเสื้อเกราะอยู่ตรงนี้”
แล้วเขาก็ยกแขนขวาชูขึ้นมา
“และจู่ๆ ที่ข้อศอกข้างนี้ก็มีรอยฟกช้ำกับรอยถลอก แล้วก็ที่ซี่โครงกับขาด้านนี้ด้วยเหมือนกัน”
พูดถึงตรงนี้ซางเจี้ยนเย่าก็เสริมขึ้นอีก
“นี่ไม่ได้เกิดจากการฝึกซ้อมภาคปฏิบัติของหัวหน้า เพราะเมื่อวานผมไม่ได้ร่วมฝึกด้วย”
“ระวังตัวดีมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้า ครุ่นคิดก่อนจะถามกลับ “รอยพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ซางเจี้ยนเย่าใคร่ครวญถึงคำถามข้อนี้มาก่อนแล้ว
“หลังจากที่ลาหัวหน้ากลับไปแล้ว ก่อนผมจะเปิดประตูเข้าบ้าน
“ผมจำได้เพียงแค่ว่าตัวเองเดินไปถึงเขต B หลังจากนั้นก็พบว่าตัวเองยืนอยู่หน้าประตูบ้านแล้ว ช่วงเวลาที่ความทรงจำหายไปน่าจะราวๆ สองสามนาที
“ตอนนั้นมีคนแปลกๆ เดินผ่านมา ผมเห็นหน้าเขาไม่ชัด”
“แปลกยังไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่าง ‘เคร่งขรึม’
“เขาร้องเพลงไม่ได้เรื่อง”
“…นั่นเป็นลักษณะเฉพาะประการหนึ่งล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจเงียบๆ “แล้วยังมีลักษณะภายนอกอะไรอย่างอื่นอีกไหม”
“เขาสวมหมวกแก๊ปแล้วกดปีกหมวกลงมาต่ำมาก พอได้ยินผมเรียก เขาก็รีบวิ่งหน้าตั้งเป็นกระต่ายตื่นตูมเลย” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายตามความเป็นจริง “ก่อนจะวิ่งหนีไป เขาหยิบท่อโลหะกับอะไรบางอย่างขึ้นมาจากพื้น ผมสงสัยว่านั่นน่าจะเป็นอาวุธที่ใช้ทำร้ายผม ที่เจาะเสื้อเป็นรู”
“เหมือนนายจะฝังใจเรื่องกระต่ายมากเลยนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างไม่จริงจัง “แล้วทำไมนายถึงไม่ไล่ตามเขาไปล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ตอนนั้นผมคิดว่าที่เขาวิ่งหนีไปเป็นเพราะกลัวว่าผมจะวิจารณ์เกี่ยวกับทักษะการร้องเพลงของเขาน่ะ”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนมุมปากกระตุก “ดูเหมือนอาการความคิดกระโดดไปมาของนายนี่ มันเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียเลยนะ บางครั้งมันก็ทำให้นายไม่ได้โดนผลกระทบจากสภาวะที่เกี่ยวเนื่องกัน หลุดออกมาจากพันธนาการที่ขังเอาไว้ได้ แต่บางครั้งก็ทำให้นายพลาดเบาะแสที่เห็นตำตาอยู่ทนโท่”
เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อโดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าพูด
“แล้วทำไมนายถึงมั่นใจว่าช่วงที่ความทรงจำหายไปนั้นราวๆ สองสามนาที”
ซางเจี้ยนเย่ามองดูหัวหน้าทีมด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
“ตอนที่หัวหน้าได้นาฬิกามาครั้งแรก ไม่ได้ยกขึ้นมาดูเป็นระยะหรอกเหรอ”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนยอมรับว่าตรรกะของซางเจี้ยนเย่านั้นมีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง แต่เธอก็ไม่อยากจะยอมรับสักเท่าใด “แต่นายได้รับนาฬิกามาตั้งหลายวันแล้วไม่ใช่เหรอ จนไปถึงเมืองฉีเฟิง แล้วก็กลับมาถึงบริษัท ยิ่งกว่านั้นนาฬิกาของนายก็ยังดีอยู่ เสียหายแค่นิดหน่อยเท่านั้น ยังทำงานได้ดี เดินเป็นปกติ ยังจะเห่ออยู่อีกหรือไง”
ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“ก็ถ้าผมไม่ดูนาฬิกาบ่อยๆ แล้วพนักงานคนอื่นในบริษัทเขาจะรู้ได้ไงว่าผมมีนาฬิกาแล้ว”
“จริงของนาย…” เจี่ยงไป๋เหมียนถูกเกลี้ยกล่อมสำเร็จ
เธอไม่ถามอะไรอีก ใช้ความคิดวิเคราะห์เรื่องราว
“พูดอีกอย่างก็คือมีความเป็นไปได้สูงว่านายถูกคนจู่โจมทำร้าย แต่นายกลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตัวเองในช่วงเวลานั้น จึงทำได้เพียงแค่คาดเดาจากร่องรอยบนร่างกายสินะ…
“คนที่จะลงมือทำร้ายนายในช่วงนี้ ก็มีเพียงแค่คนของ ‘พิธีกรรมชีวิต’ เท่านั้น อืม… คุรุศักดิ์สิทธิ์วิญญาณหวนน่าจะเห็นนายคุยอยู่กับสงหมิง ดังนั้นเขาก็เลยรีบลงมือทันที
“จุดประสงค์ของพวกเขาก็คือลบเบาะแสที่เกี่ยวข้องที่สามารถโยงไปถึงพวกเขาได้ และขัดขวางกระบวนการสืบสวน
“ซึ่งเป้าหมายนี้สามารถบรรลุได้โดยการโดยการฆ่านายทิ้ง หรือทำให้ติดโรค ‘คนไร้ใจ’ หรือไม่ก็ลบความทรงจำที่เกี่ยวข้องซะ
“ซึ่งอย่างหลังนี้สามารถเชื่อมโยงกับเรื่องที่ทำให้นายไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการถูกลอบทำร้ายได้”
พูดกับตัวเองจนมาถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองดูซางเจี้ยนเย่า พูดในสิ่งที่ตนคาดเดาออกมา
“นิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ ไม่มีเวลามากพอที่จะวางแผนสังหารอย่างละเอียด ทำได้เพียงแค่รีบส่งสมาชิกที่เป็นผู้ตื่นรู้ซึ่งมีพลังลบความทรงจำมาหานายโดยเร็วที่สุด ซึ่งในตอนนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเกิดการต่อสู้ขึ้น แต่ทว่าสุดท้ายเขากลับทำไม่สำเร็จ จึงไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงแค่ลบความทรงจำล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทิ้งไป เพื่อจะหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย…”
แปะ! แปะ! แปะ! ซางเจี้ยนเย่าตบมืออย่างเห็นด้วย
เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตาใส่เขา
“แล้วทำไมเขาถึงไม่ทำให้นายติด ‘โรคไร้ใจ’ ไปตรงๆ เลยล่ะ
“หรือว่านั่นเป็นการทุบหม้อทำลายไหวิธีสุดท้ายที่เอาไว้ใช้ตอนหมดทางเลือกแล้ว หรือว่าก่อนจะไปจู่โจมนาย คุรุศักดิ์สิทธิ์วิญญาณหวนจางจื่อชงยังไม่ได้คิดจะยอมพลีชีพ”
เจี่ยงไป๋เหมียนถามขึ้นโดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าพูด
“นายลืมเรื่องที่คุยกับสงหมิงไปแล้วหรือเปล่า
“ลืมเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ ไปบ้างไหม”
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“ยังไม่ลืมครับ ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นยังครบถ้วนสมบูรณ์ ยังสอบทวนซ้ำเพื่อยืนยันกันได้ทุกเรื่อง”
เห็นได้ว่าตั้งแต่เมื่อคืนนี้เขาก็ทำการประมวลความจำไปจนหมดแล้ว
“ดูท่าแล้ว พลังลบความทรงจำนี้ค่อนข้างมีข้อจำกัด อาจจะสามารถกำหนดเป้าหมายได้เพียงแค่สองสามนาที ใช้พลังครั้งหนึ่งก็ลบไปได้แค่ช่วงหนึ่ง… น่าเสียดายที่คุรุศักดิ์สิทธิ์วิญญาณหวนได้ทำลายวิดีโอจากกล้องวงจรปิดทิ้งไปเยอะมาก ไม่งั้นเราก็คงจะตามรอยคนที่มาจู่โจมทำร้ายนายได้ อ้อ ฉันต้องรายงานเรื่องนี้ไปด้วย…” จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็เล่าเกี่ยวกับปฏิบัติการเมื่อคืนให้ฟังอย่างละเอียด
ในตอนท้ายเธอก็พูดว่า
“เดิมทีนั้นฉันก็มีเรื่องข้องใจนิดหน่อย
“จากคำให้การของสงหมิง ไม่มีเรื่องไหนที่พูดถึงนายเลย และก็ไม่ได้บอกว่าได้คุยกับนายด้วย
“ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าเขากำลังปกป้องนายซึ่งเป็นผู้ตื่นรู้ เป็นนีโอฮิวแมน ยังรู้สึกว่าเขามีสามัญสำนึกพื้นฐานแห่งความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง แต่ว่าคนที่เขานับว่าเป็น ‘มนุษย์’ นั้นมีอยู่ไม่มากนักหรอก
“แต่พอมามองดูในตอนนี้ เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเจอกับคนคนนั้นก่อนหน้านาย แล้วก็ถูกลบความทรงจำไป”
ซางเจี้ยนเย่าเกิดความสงสัย
“ทำไมถึงต้องลบความทรงจำเขาด้วยล่ะ รู้ก็ให้รู้ไปสิ”
“ฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกัน อาจจะเป็นไปได้ว่าพวกระดับสูงของ ‘พิธีกรรมชีวิต’ กลัวว่าเขาจะปลุกระดมพวกนีโอฮิวแมน… ในตอนนั้นพวกเขาน่าจะมีความมั่นใจว่าจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างหมดจด แต่ผลกลับกลายเป็นว่าพลังการต่อสู้ของนายนั้นเหนือกว่าที่พวกเขาคิดไว้ ดังนั้นพวกเขาไม่อาจไม่เลิกล้มแผนกลางคัน ฉันก็เลยรอดตัวไป ไม่ต้องเจอกับการลอบโจมตีต่อเนื่องหลังจากนั้นอีก” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างสบายสบาย “หลังจากนี้พวกเราก็ได้แต่ต้องรอดูว่าผลการสืบสวนของบริษัทจะออกมาเป็นยังไง เหอ เหอ อย่างน้อยตอนนี้เรื่องที่นายเป็นผู้ตื่นรู้ก็ยังคงเป็นความลับอยู่ล่ะนะ”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้น
“ผมก็รู้สึกเหมือนกันว่ากล้องวงจรปิดนั่นต้องมีอะไรอยู่”
“อืม ใช่ ไม่แปลกเลยที่พวก ‘พิธีกรรมชีวิต’ นั้นมั่นใจว่าความลับจะไม่รั่วไหล และก็เอาแต่พร่ำบอกว่าเทพีตุลากรชะตานั้นคอยสอดส่องใส่ใจสรรพชีวิต คุรุศักดิ์สิทธิ์คอยมองดูอยู่ตลอด” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจที่เปี่ยมอารมณ์ “คงไม่มีใครคิดหรอกว่าผู้รับผิดชอบแผนกสอดส่องจะเป็นคุรุศักดิ์สิทธิ์ของนิกาย นี่ก็ทำให้อธิบายได้ว่าทำไมการเผยแพร่ความเชื่ออย่างลับๆ ของพวกเขาถึงได้ไม่ถูกเปิดโปงมาตลอดหลายปี”
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สีหน้าก็แปลกไปเล็กน้อย
“หัวหน้าคิดว่าไฟล์วิดีโอจากกล้องพวกนั้นจะกู้คืนมาได้ไหม”
“ก่อนหน้านี้ที่ฉันรู้มาก็คือยากมาก ยากสุดๆ เลยล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกสังหรณ์ใจ ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้ม “อย่าบอกนะว่านายถอดกางเกงทำเรื่องน่าอายต่อหน้ากล้องวงจรปิดน่ะ”
ซางเจี้ยนเย่ามองเจี่ยงไป๋เหมียนขึ้นๆ ลงๆ
“หัวหน้า คุณนี่วิปริตจริงๆ”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนกัดฟันกรอด
ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงจัง
“ผมแค่แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ เอาไฟส่องมัน แล้วก็ทำท่าเยาะเย้ยดูแคลนแค่นั้นเอง”
เจี่ยงไป๋เหมียนเม้มปากแน่นพลางส่ายหน้าสั่นศีรษะด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก็ถอนหายใจ
“ชีวิตนายนี่บรรเจิดซะจริงเชียว…”
ทันทีที่เธอพูดจบ โทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวในห้องของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ดังขึ้นมา
เจี่ยงไป๋เหมียนทำท่าทางบอกใบ้ไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าพูดอะไรแล้วยกหูรับสาย
“สวัสดีค่ะ เอ๊ะ ท่านรัฐมนตรี… จะให้ฉันไปที่นั่นเหรอคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบวางสายแล้วพูดกับซางเจี้ยนเย่า “รมช.เซ็นนีตามตัวฉันน่ะ คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ หรือไม่ก็เรื่องของเมืองน้ำล้อมได้คำตอบแล้ว”
* * * * *
[1] วีรชนมักคิดเห็นตรงกัน (英雄所见略同) เป็นสำนวนบอกว่าวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่จะมีความเห็นไปในทางเดียวกัน เป็นการกล่าวยกย่องทั้งคู่สนทนาและตนเองว่าเป็นผู้มีปัญญาและมีความคิดเห็นสอดคล้องกัน