รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 110 มาตรการร่วมมือฉันมิตร
ชั้น 646 ณ ห้องทำงานของรัฐมนตรีช่วยว่าการ
เจี่ยงไป๋เหมียนเคาะประตูแล้วเดินเข้าไป เธอนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับผู้เป็นเจ้านายด้วยรอยยิ้ม
เซ็นนีนั้นเป็นหญิงสาวในวัยสามสิบปี ไว้ผมยาว ดวงตาและเส้นผมเป็นสีเกาลัด
เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวอยู่ด้านใน เสื้อแจ๊คเก็ตตัวนอกสีดำถูกตัดเย็บอย่างประณีต มีกระดุมเพียงสองเม็ดที่หน้าท้อง
หากพูดถึงเฉพาะด้านการแต่งกาย เซ็นนีดูเป็นคนฉลาดสุขุม แต่เรือนผมสีเกาลัดที่หยักศกเล็กน้อยรวมกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าช่วยเสริมความรู้สึกอบอุ่นสดชื่น ทำให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดและไว้วางใจ
รัฐมนตรีช่วยว่าการแผนกความมั่นคงยกถ้วยชากระเบื้องเคลือบสีฟ้าขึ้นมาจิบ จากนั้นพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยรอยยิ้มอย่างไม่เร่งรีบ
“ที่เรียกเธอมานี่ หลักหลักมีอยู่สองสามเรื่อง”
เมื่อเริ่มเปิดการสนทนา เธอก็หยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมา
“นี่เป็นข้อมูลการสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเธอรายงานขึ้นมาก่อนหน้านี้
“ที่พวกเธอต้องจำให้ขึ้นใจก็คือข้อมูลพวกนี้จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันตามระดับของมาตรการรักษาความลับ ต้องไปพิจารณาว่าข้อมูลอะไรที่สามารถนำไปบอกเล่าพูดคุยกับพนักงานทั่วไปได้ ข้อมูลอะไรที่ใช้สื่อสารกับคนที่ระดับสูงขึ้นไป และข้อมูลอะไรที่ไม่อนุญาตให้เผยแพร่ พูดคุยได้แค่เป็นการภายในและเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกี่ยวข้องเท่านั้น”
เจี่ยงไป๋เหมียนยื่นมือขวาออกไปตามสัญชาตญาณเพื่อรับมา แต่ทว่าเซ็นนี่กลับไม่ได้ส่งเอกสารให้
เธอเพียงแค่ทัดผมหลังใบหูก่อนจะพูดต่อ
“แต่ว่าในตอนนี้พวกเธอยังไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารพวกนี้หรอก”
“เอ๊ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพอจะรู้สึกได้ว่านี่มีความนัยอยู่ และพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้อย่างคลุมเครือ
หลังจากยื่นเอกสารส่งให้แล้ว เซ็นนียังไม่ได้อธิบายออกมาในทันที เธอวางข้อศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะเบื้องหน้า
“เรื่องของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ พวกเธอทำผลงานได้ดีมาก มูลค่ารางวัลตอบแทนจะประเมินหลังจากที่การสืบสวนเบื้องต้นได้ข้อสรุปแล้ว ส่วนจะได้รับรางวัลเมื่อไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการสืบสวนต่อจากนี้ ซึ่งก็คงไม่ใช่ในเร็วๆ นี้หรอก ยังไม่ต้องไปคิดเรื่องนี้”
เธอครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะเสริมต่อ
“ฝากบอกกับสมาชิกทีมของเธอที่ชื่อซางเจี้ยนเย่าด้วยว่าหลังจากนี้อีกสองสามวันให้ร่วมมือในการสอบปากคำในทุกๆ เรื่อง
“คดีนี้อยู่ในความรับผิดชอบของกองพลภายใต้คณะบริหาร ฉันไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้มากนัก”
ผู้บัญชาการกองพลกับรัฐมนตรีช่วยว่าการอย่างเธอนั้นมีตำแหน่งเท่าเทียมกัน ต่างก็เป็นผู้บริหารระดับ M1 ทั้งคู่
“ทราบแล้วค่ะ ฉันจะบอกให้เขารู้” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างรู้สึกกังวลอยู่บ้าง
เธอไม่อาจรับประกันได้ว่าตอนที่ถูกสอบปากคำ ซางเจี้ยนเย่าจะไม่เกิดอาการสมองกระตุกขึ้นมา
ไม่ใช่เพียงแค่ว่าเธอไม่อาจรับประกัน แม้แต่เจ้าตัวซางเจี้ยนเย่าเองก็ไม่สามารถจะรับประกันได้เช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าเซ็นนีไม่รู้สึกถึงความผิดปกติที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงเจี่ยงไป๋เหมียนแม้แต่น้อย เธอพูดต่อ
“เมื่อคืนนี้ทางคณะกรรมการบริหารจัดประชุมฉุกเฉิน และได้ยืนยันเรื่องเมืองน้ำล้อมแล้ว”
“แล้วผลเป็นไงบ้างคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ปิดบังความกังวลใจที่มีอยู่
เซ็นนียิ้มให้อย่างอ่อนโยนแล้วพูด
“ลงนามในมาตรการร่วมมือฉันมิตรก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนหายใจโล่งอก
มาตรการความร่วมมือฉันมิตรนั้นเป็นคำที่ใช้เรียกอย่างเป็นทางการ หากแปลให้เป็นคำพูดที่เข้าใจอย่างง่ายๆ นั่นก็คือ…
สร้างความสัมพันธ์ในรูปแบบนิคมบริวาร
ถึงแม้ว่าแบบนี้จะเทียบไม่ได้กับการรับเมืองน้ำล้อมเข้ามาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่เจี่ยงไป๋เหมียนยอมรับได้
เซ็นนีไม่ได้รีบพูดต่อ เธอยกถ้วยชากระเบื้องเคลือบสีฟ้าขึ้นมา แล้วเป่าใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำให้หลบออกก่อนจะจิบ
หลังจากทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นแล้ว เธอยังคงยิ้มเฉกเช่นก่อนหน้าแล้วพูดต่อไป
“เราจะเริ่มทำการค้ากับเมืองน้ำล้อมก่อนชุดหนึ่ง และส่งทีมปฏิบัติการไปให้เพื่อช่วยฝึกกำลังพลติดอาวุธ และสร้างระบบบัญชาการที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นให้กับพวกเขา
“ถ้าพวกเขาแสดงความประสงค์ยื่นคำร้องมา เราก็สามารถจัดส่งเจ้าหน้าที่พลเรือนไปช่วยจัดระเบียบระบบการจัดการภายในและกำจัดความขัดแย้งให้เรียบร้อยก่อนที่มันจะปะทุออกมา
“หลังจากนั้นคนที่เราส่งไปก็จะค่อยๆ คัดเลือกต้นกล้า และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เข้าร่วมกับบริษัทอย่างเป็นทางการ
“อีกสิบปีข้างหน้า หากว่าความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างเมืองน้ำล้อมกับพวกเรายังคงดำเนินอยู่และผลงานของพวกเขาเป็นที่ยอมรับ ทางเราก็จะพิจารณารับให้พวกเขามาเข้าร่วมอย่างสมบูรณ์”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย
“แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ”
นี่เป็นแผนที่ผ่านการคิดอย่างรอบคอบและมากด้วยประสบการณ์ เพื่อให้ทางเมืองน้ำล้อมยอมรับได้มากขึ้น
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนพลันเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาทันที จึงถามออกมาโดยไม่รอให้เซ็นนีพูด
“ท่านรมช.ต้องการจะส่งพวกเราไปเจรจากับเมืองน้ำล้อมใช่ไหม”
เพราะแบบนี้สินะ ถึงได้บอกว่าในตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารพวกนี้
“คุยกับเธอนี่ทำให้เรื่องง่ายขึ้นเยอะเลย” เซ็นนียิ้มและกล่าวชม “พวกเธอเป็นคนเริ่มในเรื่องนี้ ดังนั้นย่อมแน่นอนว่าต้องให้พวกเธอเป็นคนสานต่อ ไว้อีกสามวันห้าวันหลังจากนี้ พวกเธอก็เอาเครื่องรับส่งสัญญาณโทรเลขไร้สายกับแบตเตอรี่ที่ต้องใช้ไปด้วย หากว่าการเจรจาลุล่วงก็เก็บเครื่องรับส่งสัญญาณเอาไว้ที่นั่นและบอกคลื่นความถี่ที่ใช้ติดต่อกับเราให้พวกเขารู้ จากนั้นก็ให้ทางเมืองน้ำล้อมส่งรายงานมา ทางพวกเธอก็แนบรหัสลับมาด้วยกันเพื่อเป็นการยืนยัน แต่ถ้าหากว่าการเจรจาไม่ประสบผล พวกเธอก็เอาเครื่องโทรเลขไปที่เมืองหญ้าไพรแทน”
“เมืองหญ้าไพรงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนแปลกใจเล็กน้อย
ที่นั่นเป็นเมืองชายแดนของ ‘ปฐมนคร’ ซึ่งอยู่ติดกับชายขอบของแดนกันดารหลวงจีน เป็นพื้นที่เปิดโล่งที่มีนักล่าซากอารยะไปๆ มาๆ อยู่เป็นประจำ
กลุ่มของอู๋โส่วสือกับอานหรูเซียงที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เคยพบเจอก็มาจากเมืองหญ้าไพร
เซ็นนีผงกศีรษะ
“นี่เป็นภารกิจที่สองของพวกเธอ
“เธอก็รู้อยู่แล้วว่านอกจากพวกเธอแล้วก็ยังมีทีมสำรวจเก่าทีมอื่นอีกด้วย
“มีทีมหนึ่งที่เข้าไปในเมืองหญ้าไพร หลังจากส่งโทรเลขกลับมาแล้วก็ขาดการติดต่อไป นี่ก็เกือบจะสามสัปดาห์แล้ว
“ทางเราได้ให้เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของบริษัทในเมืองหญ้าไพรติดตามสืบสวนแล้ว แต่ก็ยังคงไม่มีความคืบหน้า
“ภารกิจของเธอก็คือร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับการหายตัวไปของทีมนั้น จากนั้นจะดำเนินการตอบโต้หรือจะสืบสวนทำภารกิจหลักต่อโดยอาศัยเบาะแสใหม่จากทีมที่หายไปก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของตัวเองได้เลย
ภารกิจหลักก็คือ ‘สำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ นั่นเอง
“นี่ประเมินความสามารถของพวกเราสูงเกินไปหรือเปล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามเก็บระงับความปรารถนาที่อยากจะลองทำเอาไว้ก่อน “ทีมพวกเราเพิ่งจะก่อตั้งมาได้แค่สามเดือนกว่าเท่านั้น แล้วภารกิจก่อนหน้าก็เพิ่งจบไปไม่นานนี้เอง”
เซ็นนีมองเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วยิ้มให้
“ฉันมั่นใจในตัวเธอ
“นอกจากนั้นทางบริษัทเองก็ยังมีขุมกำลังอยู่ที่นั่นด้วย เธอสามารถเรียกใช้ได้เลย”
“ทำไมถึงให้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่เพิ่งก่อตั้งมาไม่นานไปทำภารกิจนี้ล่ะ ส่งทีมอื่นหรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ข่าวกรองคนอื่นไปทำเรื่องนี้ไม่ดีกว่าเหรอคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนยังคงรู้สึกสงสัยไม่คลาย
หลังจากพูดไปแล้วก็ตระหนักขึ้นมาได้ทันที
“ท่านรมช. คุณต้องการให้พวกเราออกจากบริษัทไประยะหนึ่งก่อนใช่ไหม”
เซ็นนี้พยักหน้าและยิ้มให้เป็นการชมเชย
“เข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งสมกับที่เป็นเธอจริงๆ”
เธอดึงข้อศอกกลับมาจากบนโต๊ะแล้วอธิบายอย่างรวบรัด
“การสืบสวนคดีของ ‘พิธีกรรมชีวิต’ ไม่ค่อยราบรื่นนัก เบาะแสหลายอย่างถูกตัดขาด
“นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ได้ในเวลาสั้นๆ พวกเราเป็นห่วงว่าพวกสาวกคลั่งที่ซ่อนตัวอยู่จะลงมือแก้แค้นหลังจากที่เรื่องซาลง
“แล้วเธอคิดว่าใครที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นเป้าหมายที่ถูกลงมือมากที่สุดล่ะ”
“ซางเจี้ยนเย่ากับฉัน” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างไม่ลังเล
เซ็นนีร้อง “อืม” คำหนึ่ง
“ถึงแม้ว่าจะใช้พวกเธอเป็นเหยื่อล่อได้ แต่ฉันไม่อาจปล่อยให้พวกเธอไปเสี่ยงได้
“ตัวเธอนั้นไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพราะอาศัยอยู่ในเขตผู้บริหารที่ควบคุมการเข้าออกอย่างเข้มงวด และพ่อเธอก็ยังถูกคุ้มครองในทางลับอยู่ตลอดเวลา ทว่าทางซางเจี้ยนเย่านั้นนับว่าอันตรายกว่ามาก และนอกจากนั้นก็ยังมีความเป็นไปได้ที่พวกนั้นจะระบายโทสะไปที่สมาชิกทีมคนอื่นๆ ด้วย”
พูดมาถึงตรงนี้เซ็นนีก็เอนตัวไปด้านหลังพลางถอนใจเงียบๆ
“ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ง่ายที่สุดคือส่งพวกเธอไปบนพื้นโลก ให้อยู่ห่างจากวังวนนี้ชั่วคราว
“เชื่อฉันเถอะว่าเรื่องของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ นั้นยุ่งยากกว่าที่เธอคิดไว้มาก
“ไปเถอะ ไปอยู่บนพื้นโลกสักสองสามเดือน รอจนถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วค่อยกลับมา ในตอนนั้นเรื่องราวก็ควรจะคลี่คลายลงแล้วล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วยกับวิธีการนี้ แต่ยังถามอย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง
“แล้วครอบครัวของลูกทีมคนอื่นล่ะ”
โดยหลักแล้วเธอกำลังพูดถึงหลงเยว่หง
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก พวกเขาอยู่ไกลไปหลายระดับ ไม่ได้เป็นคนเกี่ยวข้องโดยตรง พวกสาวกคลั่งพวกนั้นไม่ตามไประบายโทสะใส่หรอก คนอื่นๆ ยังมีคุณสมบัติให้ถูกเล่นงานมากกว่าอีก และพวกเราก็ให้การดูแลตามสมควรแล้วด้วย” เซ็นนีอธิบายแบบสั้นๆ “และถ้าหากพวกคลั่งนั่นลงมืออย่างไร้เหตุผลล่ะก็ พวกเราก็จะขุดรากถอนโคนพวกมันอย่างสิ้นซากได้เร็วขึ้นอีก”
เมื่อเห็นว่าเจี่ยงไป๋เหมียนไม่มีคำถามอะไรอีก เซ็นนีก็หยิบเอกสารขึ้นมาและจบการสนทนาลง
“พวกนี้ก็คือข้อมูลของทีมที่หายไป เธอเอาไปศึกษาสักสองสามวัน หลังจากนั้นก็ร่างแผนปฏิบัติการมาให้ฉัน
“ฮ่า ฮ่า ถึงแม้ว่าแผนที่วางไว้อาจจะใช้ไม่ได้กับเหตุเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างภารกิจก็เถอะ แต่ก็ยังต้องทำตามขั้นตอนไว้ก่อนแหละ”
เจี่ยงไป๋เหมียนหยิบแฟ้มขึ้นมาแล้วยิ้ม
“ถ้าจะขอเบิกชุดเกราะกระดูกเสริมแรงชนิดที่ใช้ทางการทหาร หรือชุดเกราะไบโอนิกสมองกลจะได้ไหมคะ”
“แล้วเธอคิดว่าไงล่ะ” เซ็นนีถามกลับด้วยรอยยิ้ม
เจี่ยงไป๋เหมียนห่อเหี่ยวลงทันตา
เมื่อเซ็นนีเห็นแบบนี้ก็พูดเสริมขึ้น
“แต่ถ้าหากว่าพวกเธอหาชุดเกราะกระดูกเสริมแรงชนิดที่ใช้ทางการทหาร หรือชุดเกราะไบโอนิกสมองกลมาได้ล่ะก็ ฉันก็สามารถอนุมัติให้ทีมเธอเอาไปใช้ได้เลย”
“รับทราบค่ะ!” รอยยิ้มของเจี่ยงไป๋เหมียนพลันสดใสขึ้นทันที
นี่ทำให้เซ็นนีสงสัยอยู่ครามครันว่าเมื่อครู่นี้เธอน่าจะแกล้งทำเป็นห่อเหี่ยวเสียมากกว่า
* * * * *
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนกลับมาถึงห้องเลขที่ 14 ชั้น 647 พร้อมกับเอกสารทั้งสองชุด ก็พบว่าทั้งหลงเยว่หงและไป๋เฉินล้วนแต่มาถึงกันแล้ว
เธอเจตนาแสดงท่าทีเคร่งขรึมและมองทั้งคู่
“มีสองเรื่อง”
สีหน้าของไป๋เฉินพลันเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยในขณะที่ลุกขึ้นมาจากที่นั่ง หลงเยว่หงก็รู้สึกกล้ามเนื้อที่แผ่นหลังหดเกร็ง
แล้วในตอนนี้เสียงของซางเจี้ยนเย่าก็ดังขึ้น
“หัวหน้า คุณกำลังแอบหัวเราะอยู่ในใจสินะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนทนแกล้งตีสีหน้าเคร่งขรึมอีกต่อไปไม่ไหว เธอด่าไปอย่างยิ้มแย้ม
“ฉันแอบหัวเราะที่ไหนกันยะ”
“ผมเดาเอาน่ะ” ซางเจี้ยนเย่ามีสีหน้าจริงจัง
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนสูดลมหายใจลึกแล้วค่อยๆ ผ่อนออกมา จากนั้นก็หันไปพูดกับไป๋เฉิน “เรื่องเมืองน้ำล้อม ได้รับคำตอบมาแล้ว”
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งหมอกควันความกังวลของเจี่ยงไป๋เหมียน ก็ทำให้ไป๋เฉินลอบถอนใจโล่งอก แล้วรีบถามออกมา
“ว่าไงบ้าง”
เจี่ยงไป๋เหมียนทวนซ้ำคำพูดของรมช.เซ็นนี และพูดต่อ
“ภารกิจเรื่องการประสานงานถูกมอบหมายให้พวกเรา อีกสามวันออกเดินทาง”
เริ่มต้นจากเป็นนิคมบริวารก่อนแล้วค่อยพิจารณารับเข้ามาอยู่ในความดูแลในภายหลัง แม้ว่ากรณีแบบนี้จะมีให้เห็นน้อยแต่ไป๋เฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธ
“ต่อให้พวกเขาไม่ได้มอบหมายภารกิจนี้มาให้ ฉันก็จะยื่นเรื่องขออาสาไปทำ”
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจวางใจได้…
“แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ” หลงเยว่หงกล่าวอย่างทอดถอนใจ
ภาพของกลุ่มเด็กๆ ในเมืองน้ำล้อมที่นั่งเรียนอยู่นั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา
ซางเจี้ยนเย่าเอ่ยถามขึ้น
“ครั้งนี้เราขอเบิกอาหารกระป๋องให้เยอะขึ้นเพื่อเอาไปทำการค้าได้ไหม”
“นายจะเอาส่วนของนายไปทำการค้าเพิ่มก็ได้นะ แต่ว่าในการเดินทางต่อจากนั้นก็คงจะขลุกขลักอยู่ไม่น้อยแหละ ตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว อาหารค่อนข้างขาดแคลน” เจี่ยงไป๋เหมียนยกข้อดีข้อเสียขึ้นมาพูด
ไป๋เฉินถามกลับทันที
“การเดินทางต่อจากนั้น…”
เส้นทางกลับจากเมืองน้ำล้อมนั้นใช้เวลาเพียงแค่วันเศษก็กลับมาถึงแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีเสบียงเพิ่มเติมอีก
เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปยังหลงเยว่หงแล้วก็ถอนหายใจ
“ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่ามีสองเรื่อง
“พวกเราต้องเดินทางต่อไปที่เมืองหญ้าไพรอีก”
หลงเยว่หงร้องโพล่งออกมาทันที
“ไปนานแค่ไหน”
เขากำลังไปได้ดีกับหญิงสาวที่เพิ่งถูกแนะนำให้รู้จัก อีกเพียงไม่นานก็น่าจะได้สานสัมพันธ์กันอย่างยั่งยืน
“อย่างเร็วก็หนึ่งเดือนกว่า อย่างช้าก็สามสี่เดือน” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ไม่ได้ระบุเวลาที่ตายตัว