รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 112 ออกเดินทางอีกครั้ง (จบองก์)
- Home
- รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)
- ตอนที่ 112 ออกเดินทางอีกครั้ง (จบองก์)
ห้องเลขที่ 14 ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงหายใจอย่างแผ่วเบาของตนเองเท่านั้น
สถานการณ์เช่นนี้ซางเจี้ยนเย่าเคยได้ประสบมาแล้วเมื่อครั้งก่อน แต่ในตอนนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนบอกว่าเธอจะอยู่อีกสองห้องถัดไป ไม่จากไปไหน
ในความมืดมิดที่มองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือตนเอง ซางเจี้ยนเย่าดูเหมือนว่าปรับตัวได้มากขึ้นแล้ว เขายังรู้สึกแปลกใจที่ตนเองไม่เกิดความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ลุกออกจากที่นั่ง เดินอ้อมโต๊ะโดยใช้ความทรงจำจนมาถึงพื้นที่โล่งตรงโซฟา
จากนั้นเขาก็ค่อยๆ นั่งลงบนพื้น นั่งขัดสมาธิบนพื้นที่เย็นเฉียบ
ในความมืดมิดนั้น ซางเจี้ยนเย่ายังคงรักษาท่าทางนี้เอาไว้ แล้วยกมือขวาขึ้นมากดขมับทั้งสองข้าง
จากนั้นศีรษะก็ตกลงอย่างรวดเร็ว เขาผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้นในท่านั่ง
แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะรักษาสมดุลในท่าเดิมไว้ได้ ร่างเขาค่อยๆ เอนลงทีละนิดจนกระทั่งพิงกับโซฟา ศีรษะเอนไปพิงกับที่เท้าแขน
* * * * *
ในทะเลมายาที่สะท้อนแสงระยิบระยับ ซางเจี้ยนเย่ามองเห็นเกาะหินรูปร่างประหลาดและผืนดินสีน้ำตาลเข้มอีกครั้ง
หากว่าเขาไม่อาจยืนหยัดต้านทานความหวาดกลัวและตื่นขึ้นมา ครั้งต่อไปที่เข้ามาที่นี่ก็จะไม่ได้อยู่บนเกาะ แต่จะมาอยู่ที่ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ที่ด้านข้างแทน
ซางเจี้ยนเย่านั้นคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมโดยรอบตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว เขาก้มศีรษะมองดูเงาอันพร่ามัวของตนที่สะท้อนขึ้นมาจากคลื่นน้ำลวงตา
แล้วเขาก็พูดด้วยเสียงต่ำ
“เกาะนี้มืดมาก ห้องเลขที่ 14 ก็มืดมากเหมือนกัน
“บนเกาะนั้นนอกจากเสียงตัวฉันเองแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอีก ห้องเลขที่ 14 นอกจากเสียงตัวฉันเองแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอีกเหมือนกัน
“ดังนั้น…”
ซางเจี้ยนเย่าหยุดไปชั่วขณะ แล้วตอบคำถามตัวเอง
“ดังนั้นเกาะนี้ก็คือห้องเลขที่ 14”
เมื่อพูดขาดคำ ดวงตาเขายังคงเป็นสีดำมืด เขาเอื้อมมือยึดขอบเกาะแล้วพลิกกายขึ้นไป
ไม่ผิดจากที่คาดไว้ ทัศนวิสัยในครรลองสายตากลายเป็นดำมืดมิดอีกครั้ง ในหูก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก
ซางเจี้ยนเย่านั่งลงไปบนพื้นอย่างไม่ลังเล เขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้นที่เย็นเฉียบ
นี่เป็นท่าเดียวกับที่เขานั่งอยู่ก่อนที่เขาจะหลับไป
สภาพแวดล้อมที่มืดมิดและเงียบสงัดก็พลันกลายเป็นความรู้สึกอันคุ้นเคยทันที ราวกับว่าเขาสามารถชี้บอกได้เลยว่าทางด้านขวามือของเขามีโซฟาเดี่ยว เยื้องไปด้านหน้ามีโต๊ะวางถ้วยชา มีเก้าอี้มีพนัก มีม้านั่งยาวกับตั่งเตี้ย
อีกสองห้องถัดไปก็มีเจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังรอเขาตะโกนเรียกหาอยู่
อารมณ์ของซางเจี้ยนเย่าสงบลงในทันที เช่นเดียวกับสองคืนที่ผ่านมา เขาคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ได้เผชิญมาในช่วงนี้ คิดคาดเดาว่านิกายอื่นๆ นั้นมีศีลมหาสนิทประเภทใด
นี่ทำให้บางครั้งบางคราวเขาก็ยกมือขวาขึ้นมาเช็ดมุมปาก เพียงแต่ตอนที่นึกถึงว่าศีลมหาสนิทของชุมนุมหลวงจีนน่าจะเป็นน้ำมันหล่อลื่นกับแบตเตอรี่ก็สั่นศีรษะอย่างเศร้าใจยิ่งนัก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซางเจี้ยนเย่าอยากจะลุกขึ้นมายืนร้องเพลงดังๆ หรือไม่ก็ตะโกนถามว่ามีใครอยู่บ้างอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ได้
อย่างไรเสียก็ยังมีเจี่ยงไป๋เหมียนอยู่ห่างไปอีกสองห้องถัดไป
หลังจากที่เขาควบคุมตัวเองไว้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีเหตุแทรกซ้อนเกิดขึ้น เขาก็เริ่มรู้สึกราวกับว่าความมืดมิดเช่นนี้ ความเงียบงันเช่นนี้ ไม่ได้มีอยู่อีกต่อไปแล้ว ไม่อาจทำอะไรเขาได้อีกต่อไปแล้ว
เขาถึงกับร้องเพลงออกมาเบาๆ อย่างสบายใจและอิ่มเอมใจ
ไม่รู้เวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ซางเจี้ยนเย่าเริ่มรู้สึกง่วงนอนเป็นอย่างมากจึงหลับตาลงเพื่อสงวนพลังงานเอาไว้โดยไม่สนใจอะไรอีก
จากนั้นเขาก็หลับใหลไปจริงๆ
ทันใดนั้นลำแสงอันบริสุทธิ์ก็สาดส่องขึ้นมาในที่แห่งนี้ อาบไล้จนเบื้องหน้าเขากลายเป็นสีแดง
ซางเจี้ยนเย่าลืมตาขึ้นมา มองเห็นความมืดมิดรอบกายได้หายไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ ของทะเลลวงตา
บนเกาะมีผืนดินสีน้ำตาลเข้มและโขดหินขรุขระปรากฏขึ้น
ลำแสงที่แยงนัยน์ตาทำให้เขาต้องยกมือขวาขึ้นมาป้องไว้อย่างไม่รู้ตัว
หลังจากที่หลับตาแล้วลืมขึ้นมาอีกครั้ง ซางเจี้ยนเย่าก็มองเห็นหลอดฟลูออเรสเซนต์ส่องแสง มองเห็นเพดานสีเทาอ่อน
แล้วในตอนนี้เขาก็รู้ตัวว่ากำลังเอนพิงที่เท้าแขนของโซฟาและนอนหลับไป
เนื่องจากห้องเลขที่ 14 มีแสงไฟสว่างขึ้นมาแล้ว ไม่ตรงกับเงื่อนไขที่ตั้งไว้ ทำให้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ของเขาไม่มีผลอีกต่อไป
ซางเจี้ยนเย่าพลิกข้อมือขึ้นมา มองดูนาฬิกาที่สวมเอาไว้
เข็มบนหน้าปัดบอกว่าขณะนี้เป็นเวลา 6.30 น.
นี่เป็นเวลาที่ไฟถนนเริ่มส่องสว่าง
ซางเจี้ยนเย่าหลับตาลงอีกครั้ง ไม่ทราบว่าควรรู้สึกเช่นไร
จากนั้นก็จับที่เท้าแขน พยุงกายขึ้นมา หันไปมองที่ประตู
ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังเข้ามาใกล้ เจี่ยงไป๋เหมียนที่สวมเสื้อผ้ายับย่นก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู
เธอขยี้ตาไปพลาง มองดูซางเจี้ยนเย่าที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างแปลกใจไปพลาง แล้วก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
“รักษาท่าทางให้เป็นแบบเดียวกันทั้งภายนอกภายใน” ซางเจี้ยนเย่ากล่าวความจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่มีทางเข้าใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนชะงักไปในคราแรก จากนั้นถึงได้เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
“นายพยายามเข้าไปเผชิญกับความกลัวใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ อีกครั้งน่ะเหรอ
“แล้วชนะได้ไหม”
“ก็นับว่าชนะแหละ ถึงมันจะไม่ยอมรับว่าแพ้ก็เถอะ แต่มันก็ไม่ปรากฏออกมาอีกเลย” ซางเจี้ยนเย่าคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบ
เจี่ยงไป๋เหมียนตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“แล้วพลังของนายมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหม”
พูดจบเธอก็เสริมอีกหนึ่งประโยค
“แต่ถ้าไม่สะดวกใจจะบอกก็ไม่ต้องบอกหรอกนะ”
ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาตามตรง
“ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแค่ระยะขอบเขตทำการ
“ระยะไกลกว่าก่อนหน้านิดหน่อย แต่ไม่มากเท่าไหร่
”ตอนหัวหน้าอยู่ห่างไปสิบสองสิบสามเมตร ผมก็รับรู้ตัวตนของคุณได้แล้ว และก็รู้สึกว่าสามารถพันธนาการมือคุณเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวได้ด้วย”
“พันธนาการมือไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว… ก่อนหน้านี้พลังนี้มีระยะทำการเท่าไหร่เหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
“สิบเมตร” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ปิดบัง
“งั้นก็เพิ่มขึ้นราว 30% สินะ… นี่เพิ่งจะแค่ความกลัวเรื่องแรก รอไว้ให้นายเอาชนะได้มากกว่านี้ และหาตัวเองเจอ ไม่แน่ว่าพลังของนายอาจจะเพิ่มเป็นเท่าตัว หรือไม่ก็สามเท่าสี่เท่าเลยก็เป็นได้” เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่างนั้นระยะการรับรู้ของนายก็คือระยะทำการของพลังพิเศษสินะ”
“มันขึ้นอยู่กับพลังพิเศษที่มีรัศมีทำการกว้างที่สุดน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าเสริมคำพูดเจี่ยงไป๋เหมียนให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความสงสัย
“พลังอื่นๆ นี่ไม่ถึงสิบเมตรเหรอ”
“แต่เดิมนั้น ‘ตัวตลกชักจูง’ มีระยะสามเมตร ส่วน ‘คนไร้เหตุผล’ อยู่ที่ห้าเมตร” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
เจี่ยงไป๋เหมียนพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
“พอ พอ พอ นี่มันเป็นความลับของนาย จะมาบอกรายละเอียดกันแบบนี้ไม่ได้”
ซางเจี้ยนเย่ามองดูเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มแต่ไม่ต่ำ
“พวกเราทั้งสี่คนนั้นนับว่าเป็นสหายที่ผ่านประสบการณ์ร่วมเป็นร่วมตายมาหลายครั้งหลายหน ในสถานการณ์ส่วนใหญ่แล้วผมคิดว่าพวกเราสามารถไว้วางใจกันได้ สามารถช่วยระวังหลังให้กันได้ และมุ่งฝ่าไปข้างหน้าด้วยกันได้
“พอเลย! นายไม่ต้องมาพูดซ้ำหรอก!” เจี่ยงไป๋เหมียนอดตวาดอย่างยิ้มแย้มไม่ได้
ถ้อยคำพวกนี้เป็นคำพูดที่เธอพูดเพื่อขจัดความกลัวในจิตใจของซางเจี้ยนเย่าเมื่อคืนที่ผ่านมา
เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อไม่รอช้าโดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่ามีโอกาสได้คิดอะไร
“ในเมื่อเอาชนะความกลัวได้แล้ว งั้นทำไมถึงยังนั่งทื่อไม่ลุกขึ้นมาอีกล่ะ นั่งขัดสมาธิบนพื้นนี่มันสบายนักหรือไง”
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างสัตย์ซื่อ
“ขาเป็นเหน็บน่ะ”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ “อยากให้ฉันช่วยไหมล่ะ”
“ไม่ต้องหรอก” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ใส่ใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะพูดว่า “ไม่ต้องทำเป็นเก่ง” ก็พลันเห็นซางเจี้ยนเย่าเหยียดแขนยันพื้น พลิกร่างตีลังกายืนด้วยมือในท่าหกสูง
ยืนด้วยมือ…
จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็ใช้สองมือต่างเท้าเดินไปที่ประตูอย่างร่าเริง
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับหมดคำพูด
* * * * *
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน…
เวลาเก้าโมงเช้า ณ ลานจอดรถบนพื้นโลกของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’
“ยังคงเป็นสหายเก่า” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปยังรถจี๊ปสีเขียวอมเทาที่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางคันเดิม “ซ่อมเสร็จเรียบร้อย”
เธอกวาดสายตามองดูซางเจี้ยนเย่าที่ตื่นเต้นจนออกนอกหน้า ไป๋เฉินที่สงบนิ่ง และหลงเยว่หงที่ดูหดหู่ แล้วก็พูดขึ้น
“ได้อ่านแผนภารกิจกันทุกคนแล้วใช่ไหม
“มีคำถามอะไรเกี่ยวกับเส้นทางการเดินทางหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ! (ค่ะ)” ซางเจี้ยนเย่าและไป๋เฉินตอบกลับเสียงดัง
ฝ่ายหลังนั้นเริ่มสงวนท่าทีน้อยลงกว่าเมื่อตอนที่เพิ่งเข้าร่วม ‘ทีมสำรวจเก่า’ ในช่วงแรกๆ
“ไม่มีครับ” ในวันนี้หลงเยว่หงดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาสักเท่าไหร่
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ใส่ใจเขา เธอเดินไปเปิดท้ายรถแล้วชี้ข้าวของที่วางเรียงอยู่ข้างใน
“พวกอาวุธยังเป็นแบบที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ มีปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ – ‘ยูไนเต็ด 202’ – ปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ – ปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ และก็ปืนยิงระเบิด ‘ทรราช’ อ้อ แล้วก็เพื่อชดเชยอาวุธหนักที่พวกเราขาดไป ฉันก็เลยเบิกบาซูก้าทำลายเกราะแบบประทับบ่ามาด้วย มันมีฉายาว่า ‘มัจจุราช’”
“กระสุนที่ต้องใช้ก็มีเพียบ แล้วก็ยังมีพวกกระสุนที่พบเห็นได้ทั่วไปอีกด้วย
“อาหารมีเตรียมไว้มากกว่าที่พกไปรอบก่อน หลังจากพวกเราเสร็จเรื่องที่เมืองน้ำล้อมแล้วก็จะตรงไปเมืองหญ้าไพรให้เร็วที่สุด จะไม่มัวชักช้าร่ำไร ถึงแม้ว่าที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ข่าวกรองกำลังสืบสวนอยู่ ถึงขาดพวกเราไปก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ภารกิจที่รับมาก็ต้องทำให้เต็มที่ การช่วยชีวิตคนก็เหมือนดับไฟ ต้องรีบทำโดยด่วน
“นอกจากนั้น ตอนนี้ก็ย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว การหาอาหารในแดนร้างเป็นเรื่องลำบากมาก…”
หลังจากอธิบายเรื่องราวต่างๆ จนจบแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามขึ้น
“พวกนายมีอะไรอยากถามไหม”
ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงต่างพากันสั่นศีรษะ ซางเจี้ยนเย่าก้าวออกมาด้านหน้าแล้วถามขึ้น
“จะออกเดินทางตอนไหน”
“…ตอนนี้เลย” เจี่ยงไป๋เหมียนกัดฟันตอบ
พวกเขาทำเหมือนกับครั้งก่อน เปิดประตูขึ้นรถที่ขับโดยเจี่ยงไป๋เหมียน ผ่านการตรวจสอบหลายต่อหลายชั้น ออกมาทางประตูโลหะอันหนักอึ้ง ในที่สุดก็เข้าสู่แดนธุลี
ที่ต่างจากครั้งก่อนก็คือทุกคนล้วนสวมแว่นกันแดดไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ถูกแสงยามเช้าแยงตาเหมือนเคย
ในขณะที่สมาชิกทีมคนอื่นต่างชื่นชมทิวทัศน์โดยรอบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ขับรถไปอย่างเงียบๆ
เมื่อออกจากอาณาเขตของบริษัท จู่ๆ เธอก็หักพวงมาลัยเปลี่ยนเส้นทางทันที
“หัวหน้า นี่คุณขับไปผิดทางหรือเปล่า” หลงเยว่หงเหลือบมองดวงอาทิตย์เพื่อยืนยันเส้นทาง
“ไม่ผิดหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยรอยยิ้ม
หลงเยว่หงรู้สึกงุนงง
“แต่ว่าเส้นทางนี้มันต่างไปจากที่เขียนไว้ในแผนภารกิจนี่นา”
เจี่ยงไป๋เหมียนยกมุมปากโค้ง ยิ้มอย่างมีความนัย
“ที่เขียนไว้นั่นก็เพื่อหลอกพวก รมช.น่ะ”
“อ้าว… ทำไมล่ะ” หลงเยว่หงงุนงงมากยิ่งขึ้น
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูซางเจี้ยนเย่าด้วยกระจกหลัง
“ในแดนธุลีจะต้องมีพวกสมาชิกคนอื่นๆ ของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ อยู่อย่างแน่นอน ต่อมาในภายหลังถึงได้แทรกซึมเข้ามาในบริษัท ฉันเกรงว่าพวกสาวกที่ซ่อนตัวอยู่ในบริษัทจะแอบสืบข้อมูลแผนภารกิจของพวกเรา แล้วลอบส่งข่าวออกไปให้พวกพ้องบนพื้นโลกเพื่อให้พวกนั้นมาแอบซุ่มลอบโจมตีเรา
“ดังนั้นตั้งแต่แรกฉันก็ไม่ได้คิดจะใช้เส้นทางที่เขียนไว้ในแผนภารกิจอยู่แล้วล่ะ ฮา ฮา ที่ปรึกษากับพวกนายเกี่ยวกับเส้นทางนั่นก็เพื่อให้การแสดงสมจริงยิ่งขึ้นน่ะ”
ไป๋เฉินที่นั่งข้างคนขับฟังแล้วก็ครุ่นคิดตาม
“หัวหน้ากลัวว่าที่จริงแล้วยังมีคนของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ แฝงตัวอยู่ในกลุ่มเบื้องบน และภารกิจครั้งนี้ก็เป็นกับดักอย่างนั้นเหรอ”
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
“กันไว้ก่อนก็ไม่เสียหลายน่ะ”
หลงเยว่หงมองดูแผ่นหลังของหัวหน้าทีมด้วยความนับถืออย่างไม่รู้ตัว ส่วนซางเจี้ยนเย่านั้นฮัมเพลงราวกับว่าไม่สนใจอะไรแม้แต่น้อย
ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า รถจี๊ปตีโค้งขับตรงไปในแดนร้าง
* * * * *
ภายในห้องไร้ผู้คนห้องหนึ่งใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’
เยว่ฉีฝานผู้มีพลังพิเศษ ‘ลบชิ้นส่วนความจำ’ สวมหมวกแก๊ป เปิดประตูอย่างเงียบเชียบแล้วเดินเข้าไป
ที่นี่ไม่มีหลอดไฟแต่ก็ไม่ได้มืดสนิทเพราะว่ามีหน้าจอ LCD ขนาดไม่ใหญ่เท่าไรนักติดตั้งไว้ที่ผนังห้องโดยรอบ หน้าจอนั้นเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเพื่อแสดงภาพเหตุการณ์ของพื้นที่ในแต่ละเขตแต่ละชั้น
แสงสีหน้าจอเปลี่ยนไป เยว่ฉีฝานมองไปยังเครื่องจักรที่กินพื้นที่ไปอย่างน้อยหนึ่งในสามของห้อง โค้งคำนับแล้วตะโกนขึ้น
“คุรุศักดิ์สิทธิ์!”
“เสียงสังเคราะห์ไร้อารมณ์ดังออกมาจากลำโพง
“เจ้าไปบอกพวกสมาชิกที่ยังไม่ถูกเผยตัวว่าในช่วงสามเดือนนี้อย่าเพิ่งลงมือทำอะไร”
“ทราบแล้ว คุรุศักดิ์สิทธิ์” เยว่ฉี่ฝานตอบอย่างไม่ลังเล
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมา
แล้วก็พลันเห็นว่าบนหน้าจอ LCD จำนวนนับไม่ถ้วนบนผนังรายรอบนั้นมีภาพตนเองปรากฏขึ้นมา
นี่รวมถึงภาพตัวเขาที่สวมหมวกแก๊ปกำลังมีปฏิสัมพันธ์กับสงหมิง มีภาพเขากำลังขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 495 มีภาพซางซางเจี้ยนเย่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับเขา มีภาพตัวเขากำลังฮัมเพลงแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีภาพที่เขากำลังวิ่งหนีหน้าตั้ง มีภาพเขาที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่เพื่อคุยโทรศัพท์…
ม่านตาของเยว่ฉี่ฝานเบิกขยาย ร่างกายเกร็งราวกับว่ากำลังจะระเบิด ลืมที่จะพูดอะไรออกมา
ไม่กี่วินาทีต่อมา บนหน้าจอ LCD นั้นก็มีภาพของซางเจี้ยนเย่ามากมายปรากฏขึ้น
มีภาพที่เขากำลังทดลองใช้พลังพิเศษ มีภาพทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่กล้อง มีภาพเขาใช้ไฟฉายส่องดูด้านบน มีภาพที่เขาพูดคุยกับสงหมิง มีภาพที่เขาแสดงท่าทางไม่เหมาะสม มีภาพเขากำลังตีลังกาหกสูงใช้มือเดินต่างเท้า…
“คุรุศักดิ์สิทธิ์…” เยว่ฉี่ฝานหนังศีรษะชาหนึบ ร้องออกมา
น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ดังขึ้นอีกครั้ง ก้องสะท้อนภายในห้อง
“เราเคยพูดแล้วว่าเราคอยเฝ้ามองพวกเจ้าอยู่เสมอ”
( – จบองก์ที่สอง – )