รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 120 “การยั่วยุ”
ถึงแม้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่ต่อหน้านั้นจะดูเป็นปกติก็ตาม ไม่ว่าจะในแง่ของตรรกะ บรรยากาศ รวมถึงการคาดหวังทางจิตวิทยาที่เกิดจากคำพูดก่อนหน้านี้ ทว่าเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และคนอื่นๆ ต่างก็ยังคงรู้สึกตงิดๆ ชอบกลอยู่ดี
คำว่า ‘ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม’ ทั้งสองประโยคนี้ไม่ควรจะปรากฏออกมาในสถานที่ลักษณะเช่นนี้!
แปะ! แปะ! แปะ!
เสียงตบมือของซางเจี้ยนเย่านั้นไม่เคยพลาดโอกาสอยู่แล้ว
จากนั้นเขาก็ถามขึ้น
“สักไว้ที่หลังแบบนี้ อย่างนั้นก็มองไม่เห็นน่ะสิ แล้วจะเตือนใจตัวเองได้ยังไงเหรอ”
คุณลุงผู้มีเคราสีดอกเลาที่เพิ่งจะดึงเสื้อลงมาก็พลันชะงักไปในทันที รู้สึกอับจนคำพูดไปชั่วขณะ
อย่างไรก็ตาม เขานั้นใช้ชีวิตผ่านโลกมามาก มีประสบการณ์หลากหลาย จึงปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เขาถามกลับด้วยรอยยิ้ม
“งั้นคุณคิดว่าควรจะสักไว้ที่ไหนดีล่ะ”
“ที่หลังมือทั้งสองข้างไงครับ ข้างละประโยค ทุกครั้งที่อยากจะดื่ม พอยกมือขึ้นมาก็เห็นแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าราวกับว่าขบคิดถึงปัญหาเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี
“…” คุณลุงเคราสีดอกเลาผงกศีรษะ “อืม เป็นวิธีที่เข้าท่ามาก ฉันจะเพิ่มตัวเลือกนี้ไว้สำหรับอนาคต”
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นว่าอีกฝ่ายเพียงแค่รับปากไปอย่างนั้นเอง ดังนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา ถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ให้เรียกคุณว่าไงดีคะ”
“เฟอร์ลิน” ชายร่างใหญ่ซึ่งไว้เคราดกหนาสีดอกเลาตอบออกมาสั้นๆ
เขาถามซ้ำคำถามเดิม ไม่ได้สนใจว่าคนทั้งสี่นั้นมีชื่อเสียงเรียงนามเช่นไร
“จะดื่มเหล้าซักหน่อยไหม
“นี่เป็นเหล้าหมักชนิดพิเศษจากผลไม้ป่า ถ้าออกจากหมู่บ้านนี้ไปก็จะไม่เจออีกแล้วนะ”
พูดมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะออกมาพลางลูบเคราสั้นๆ นั้นไปด้วย
“เกือบทุกฤดูร้อน พวกเราจะกลับมาที่นี่เพื่อเก็บผลไม้ป่านี้มาหมักเป็นเหล้า”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปรอบๆ แล้วถามอย่างยิ้มแย้ม
“ฉันจะใช้อะไรเพื่อแลกกับเหล้าได้บ้างเหรอ”
เฟอร์ลินหัวเราะออกมา
“สิ่งที่พวกเราใช้แลกกับเหล้า ไม่ใช่ของที่เราต้องการ แต่เป็นของที่พวกคุณมี
“บนแดนธุลี คนที่หมกมุ่นอยู่กับคำตอบเดียว สุดท้ายมักไม่ได้อะไรเลย”
“เรามี…” เสียงเพลงดังกระหึ่มเป็นจังหวะด้านนอกนั้นทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกค่อนข้างผ่อนคลาย เธอกวาดตามองสมาชิกทีมรอบกายแล้วตบบ่าหลงเยว่หงที่อยู่ด้านขวาด้วยสีหน้าซุกซน
“เอาเขามาแลกได้ไหม ขับรถก็ได้ นิสัยก็ดี สูงพอสมควร ไม่ค่อยเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้นัก พอจะซ่อมรถได้บ้างนิดหน่อย เหมาะที่จะเป็นลูกเขยมาก”
“หัวหน้า…” หลงเยว่หงคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ หัวข้อสนทนาจะวกกลับมาที่ตัวเอง ทำเอารู้สึกกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
เฟอร์ลินหัวเราะลั่น
“ความปรารถนาดีขอรับไว้ด้วยใจ
“ลูกสาวคนเล็กของฉันไม่ขาดคู่ครองหรอก ยิ่งโตก็ยิ่งสวยเหมือนแม่ ทักษะการขับรถก็เก่งเกือบเท่าฉัน ถึงแม้ว่าอาจจะยังซ่อมรถไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แต่เรื่องพวกนี้ตอนนี้อายุยังน้อยก็ค่อยๆ หัด ค่อยๆ ฝึกฝนเก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ
“นอกจากนี้นะ ตั้งแต่สมัยเธอยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก ก็ชอบมาคอยป้วนเปี้ยนเฝ้าดูและช่วยเป็นลูกมือเวลาที่ฉันซ่อมรถ แล้วก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่ร่างกายมีน้ำมันเบนซิน ดีเซล น้ำมันหล่อลื่นติดตัวจนล้างไม่ออก หนุ่มๆ ในคาราวานหลายคนเดินตามเธอต้อยๆ”
หลงเยว่หงฟังคำบอกเล่าของเฟอร์ลินแล้วก็นึกภาพตาม ทำเอาต้องหดร่างห่อตัวไปโดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่ที่ขึ้นมาบนรถอาร์วีคันนี้ เขาก็ได้กลิ่นน้ำมันเบนซินจางๆ จากร่างเฟอร์ลิน รวมถึงลูกค้าสองสามคนที่อยู่ด้านข้าง
เขาเกรงว่าหัวข้อสนทนาจะไม่พ้นตัวสักที จึงหันไปมองเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วแกล้งบ่นออกมา
“ทำไมหัวหน้าถึงไม่แนะนำซางเจี้ยนเย่าล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“ฉันกลัวว่าผ่านไปยังไม่ถึงวัน หมอนี่ก็คงถูกไล่ตะเพิดออกมาแล้วน่ะสิ
“ถ้าแบบนั้น ก็เท่ากับว่าเราไม่ได้จ่ายค่าเหล้าไม่ใช่หรือไง”
เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่าแสดงท่าทางว่ากำลังจะตอบคำ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงรีบหันไปพูดกับเฟอร์ลินทันที
“เราใช้อาหารกระป๋องทหารแลกได้ไหม เป็นเนื้อย่างแดงกระป๋องน่ะ”
“หนักเท่าไหร่” เฟอร์ลินถามอย่างชำนาญ
“500 กรัม” เจี่ยงไป๋เหมียนบอกตัวเลข
“ต้องการเหล้าชนิดไหน” เฟอร์ลินแนะนำสินค้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ชนิดแรกนั้นเป็นเหล้าที่หมักจากผลไม้ป่าโดยตรง มีปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำมาก ดื่มแล้วไม่เมา คล้ายกับไวน์องุ่น พวกคุณรู้จักไวน์องุ่นใช่ไหม
“อืม รู้จัก” เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นผงกศีรษะพร้อมกัน
ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น ช่วงเทศกาลปีใหม่ พวกเขาสามารถซื้อมาดื่มได้นิดหน่อยตามโควต้าของแต่ละคน
ส่วนไป๋เฉินนั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอเร่ร่อนไปมากมายหลายที่ บางครั้งก็ได้ดื่มเหล้าบ้าง
เฟอร์ลินพูดต่อ
“ถ้าเป็นชนิดนี้ หนึ่งกระป๋องได้สี่แก้ว
“นอกจากนี้ก็ยังมีเหล้าอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเอาเหล้าผลไม้มากลั่นซ้ำหลายรอบ มีแอลกอฮอล์สูง ถ้าเพิ่งเคยดื่มครั้งแรกจะเมาได้ง่ายมาก ราคาสามกระป๋องต่อสี่แก้ว
“สามารถลงบัญชีไว้ก่อนได้ จะออกจากค่ายเมื่อไหร่ค่อยจ่าย”
แน่นอนว่าเจี่ยงไป๋เหมียนย่อมไม่อาจปล่อยให้สมาชิกทีมตกอยู่ในสภาพมึนเมาภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ได้ เธอจึงพูดออกมาตรงๆ
“ถ้าอย่างนั้นขอเป็นเหล้าแอลกอฮอล์ต่ำก็แล้วกัน”
หลงเยว่หงกับคนอื่นๆ ย่อมไม่คัดค้านอยู่แล้ว
“ตกลง” เฟอร์ลินหยิบแก้วที่แขวนคว่ำไว้ที่เคาน์เตอร์สีขาวนวลสี่ใบขึ้นมา
แล้วในตอนนี้เอง โต๊ะที่อยู่ริมหน้าต่างซึ่งอยู่ด้านข้างของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็มีชายกำยำร่างใหญ่หัวเราะขึ้นมา
“ที่แท้ก็เป็นแค่ทีมของผู้หญิงกับเด็กน้อยที่กล้าแค่ดื่มเหล้าที่รสชาติเหมือนดื่มน้ำเปล่า”
ซางเจี้ยนเย่าซึ่งนั่งอยู่ใกล้กับพวกเขาที่สุด หันหน้ากลับไปมองทันที
ชายกำยำในชุดสีดำงอแขนเบ่งกล้าม จ้องตามองตอบซางเจี้ยนเย่าอย่างไม่ยอมแพ้
หนึ่งวินาที สองวินาที… สิบวินาที… ซางเจี้ยนเย่ายังคงอยู่ในท่าเดิม ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองหลงเยว่หงกับไป๋เฉิน มองเห็นว่านัยน์ตาของทั้งคู่ล้วนแสดงความหมายเดียวกัน
เยี่ยม! ซางเจี้ยนเย่ากำลังแข่งจ้องตา ใครหลบตาก่อน หรือพูดออกมาก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้
แน่นอนว่านี่เป็นเกมที่ซางเจี้ยนเย่าตัดสินใจเองคิดเองเออเองเท่านั้น
หลังจากผ่านไปสิบวินาที ในที่สุดชายร่างกำยำก็ทนไม่ไหว เขาลุกขึ้นยืนขึ้นมาทันที
“นายหมายความว่ายังไง”
“คุณแพ้แล้ว” ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะออกมา
“ไอ้บ้า!” ชายร่างกำยำด่าออกมา “เล่นเป็นเด็กไปได้ ขนยังไม่งอกหรือไง”
เฟอร์ลินที่กำลังรินเหล้าอยู่พลันเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วตวาดใส่
“จ้าวเถี่ย พอสักทีเถอะ แค่ดื่มเสร็จแล้วก็ลุกไปฉี่สองสามแก้วแกก็จำชื่อแซ่ตัวเองไม่ได้แล้วหรือไง”
จ้าวเถี่ยไม่กล้าขัดคำสั่งหัวหน้า เขานั่งลงแล้วก่นด่าอยู่ในใจ
แล้วในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้สูง เดินไปหน้าจ้าวเถี่ย จากนั้นก็เริ่มปลดเข็มขัดกางเกงของตน
“กะ… แกจะทำอะไร” จ้าวเถี่ยกับพวกพ้องรู้สึกงุนงง
ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงจัง
“ของฉันใหญ่กว่านายแน่นอน”
ในขณะนี้ ไม่เพียงแต่จ้าวเถี่ยกับพรรคพวกเท่านั้น แม้แต่เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และคนอื่นๆ ต่างก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า
รอจนกระทั่งสติกลับมา ความโกรธอย่างรุนแรงก็พวยพุ่งขึ้นมาจากในใจของจ้าวเถี่ย
นี่ไม่ใช่แค่เพียงเพราะเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังทำให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าจะต้องตอบสนองกลับไปอย่างไร
จะให้เขาลุกขึ้นยืนปลดกางเกงออกต่อหน้าทุกคนแล้วมาวัดเทียบกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ทำแบบนั้นได้ซะที่ไหนกันเล่า
ถึงแม้ว่าหมอนี่จะไร้ยางอาย แต่จ้าวเถี่ยนั้นยังต้องรักษาหน้า ยังต้องรักษาชื่อเสียงของตัวเองไว้ด้วย
ยิ่งกว่านั้น ถ้าเขาชนะก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาล่ะ
ถ้าเป็นแบบนั้นจ้าวเถี่ยก็คงไม่กล้าสู้หน้าใครๆ อีก ไม่มีหน้าจะทนอยู่ในกองคาราวานได้อีกต่อไปแล้ว
ไม่สิ จะปล่อยให้หมอนี่จูงจมูกต่อไปไม่ได้… จ้าวเถี่ยหรี่ตาแล้วชี้ออกไปข้างนอก
“ไม่เลวนี่
“กล้าออกไปซ้อมมือกันหน่อยไหมล่ะ”
“ได้!” ซางเจี้ยนเย่ารัดเข็มขัดกลับคืน ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองนั้นมองไม่ออกว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
เธอไม่ได้กังวลว่าซางเจี้ยนเย่าจะพ่ายแพ้ ถึงอย่างไรเธอก็มั่นใจในทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของตัวเองมาก ซึ่งใน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ซางเจี้ยนเย่าเป็นรองเพียงแค่เธอเท่านั้น
เธอเพียงแค่ไม่รู้ว่าซางเจี้ยนเย่าต้องการจะทำอะไรกันแน่
เจี่ยงไป๋เหมียนห้ามหลงเยว่หงไม่ให้พูดอะไร เพราะคิดว่ารอเอาไว้ให้ซางเจี้ยนเย่าแสดงความแข็งแกร่งออกมาให้เห็นในระหว่างการต่อสู้ นั่นจะทำให้การเจรจาอะไรหลังจากนั้นสะดวกง่ายดายมากยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นว่าเหล่าสหายของซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เฟอร์ลิน หัวหน้าคาราวานการค้าของ ‘คนไร้ราก’ จึงปล่อยให้การแสดงดำเนินต่อไป เขาตะโกนเสียงดังลั่นออกไปด้านนอก
“ปิดเพลงก่อน!
“มีคน ‘อยากโชว์’!”
ลำโพงจากรถอาร์วีทั้งสองคันเงียบสนิทลงอย่างรวดเร็ว กลุ่มชายหญิงที่โยกย้ายส่ายสะโพกในลานโล่งซึ่งล้อมรอบด้วยโต๊ะเก้าอี้ต่างพากันถอยออกไปนอกวง
จ้าวเถี่ยกระโดดออกมาจากรถอาร์วีของหัวหน้าคาราวานด้วยท่าทีดุดัน และเข้าไปในพื้นที่โล่งซึ่งมีแสงสีจากหลอดไฟกะพริบวูบวาบ
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รีบร้อนออกไป เขาปลดเป้ยุทธวิธีลงมาก่อน จากนั้นก็หยิบเอาลำโพงคู่โปรดออกมา เป็นลำโพงตัวเล็กสีดำมีพื้นด้านล่างสีน้ำเงิน
มันสามารถเสียบปลั๊กใช้ไฟฟ้าก็ได้ หรือจะใช้แบตเตอรี่ชนิดอายุการใช้งานยาวนานจากโลกเก่าที่ตอนนี้มีกองกำลังหลายแห่งผลิตออกมาก็ได้เช่นกัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ วงคิ้วงดงามของเจี่ยงไป๋เหมียนก็กระตุกเล็กน้อย
จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็วางลำโพงตัวเล็กไว้ที่ประตูรถอาร์วี แล้วกดปุ่ม
เสียงไฟฟ้าดังซ่าๆ แล้วก็เงียบไป
วินาทีถัดมา น้ำเสียงแหลมสูงของผู้หญิงก็ดังออกมาจากลำโพงตัวน้อย
“ฉันเงยหน้ามอง
“ยังดวงจันทรา…[1]”
ร่างกายซางเจี้ยนเย่าโยกไปมาตามจังหวะเพลง เท้าของเขาออกจังหวะเท้าสลับหน้าหลังอย่างเป็นจังหวะ
จากนั้นก็งอนิ้วกวักเรียกจ้าวเถี่ย
“เข้ามา!”
“วันวานลืมเลือน
“โศกศัลย์จางหาย…”
ท่ามกลางเสียงเพลงเช่นนี้ เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ จ้าวเถี่ยพลันรู้สึกว่าถ้าหากเขาจู่โจมออกไปจริงๆ ก็อาจจะพ่ายแพ้ได้
มันทำให้เขารู้สึกราวกับว่าถูกจับถอดกางเกงต่อหน้าธารกำนัล
แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เขาไม่มีทางเลือกอีก ไม่อาจถอยหลังได้อีกแล้ว
จ้าวเถี่ยปรับสภาพจิตใจ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ย่างเท้า
ในระหว่างนี้เขาก็คอยจ้องมองเท้ากับหัวไหล่ของซางเจี้ยนเย่าอย่างไม่วางตา
นี่เป็นเพราะว่าทักษะการต่อสู้เท่าที่เขาพอจะรู้จักอยู่ไม่กี่อย่างนั้น จังหวะเท้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ส่วนเรื่องของหัวไหล่นั้นจะทำให้เขาคาดการณ์ได้ว่าคู่ต่อสู้จะใช้มือข้างใด
ในฐานะ ‘คนไร้ราก’ เขาได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดมาตั้งแต่ยังเด็ก และเมื่อครั้งที่เขาอยู่ที่ปฐมนครก็ยังได้กราบนักมวยที่แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงมากคนหนึ่งเป็นอาจารย์อีกด้วย ไม่ได้เป็นเพียงแค่นักเลงหัวไม้ที่อาศัยขนาดตัวเพื่อรังแกคนอื่น
หลังจากปรับจังหวะของตัวเองแล้ว เขาก็สาวเท้าก้าวไปข้างหน้า
และเกือบในเวลาเดียวกันนั้นเอง ซางเจี้ยนเย่าก็สาวเท้าก้าวถอยหลัง
จ้าวเถี่ยเดินหน้าขึ้นอีก ซางเจี้ยนเย่าก็ถอยหลังกลับอีก
ทันใดนั้นซางเจี้ยนเย่าก็เปลี่ยนเป็นสาวท้าวก้าวขึ้นหน้า
จ้าวเถี่ยรีบถอยหลบทันทีตามปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ
เดินหน้า ถอยหลัง ถอยหลัง เดินหน้า จังหวะของคนทั้งคู่นั้นราวกับกำลังเต้นตามจังหวะเพลงที่ ‘มองไม่เห็น’ อย่างสมบูรณ์แบบ
บรรดาผู้ชมรอบข้างต่างพากันตบมือ
“เต้นสวยมาก!”
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าการแสดงที่หัวหน้าคาราวานพูดเมื่อครู่นี้หมายถึงอะไร
เมื่อได้ยิน ‘เสียงชมเชย’ เช่นนี้ ทำเอาจ้าวเถี่ยถึงกับหน้าแดง ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป รีบพุ่งขึ้นหน้าทันที
ซางเจี้ยนเย่าหลบจ้าวเถี่ยได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็ยื่นแขนออกไปคว้าจับพร้อมกับยื่นเท้าออกไปเพื่อขัดขา แล้วทุ่มจ้าวเถี่ยลงไปกระแทกพื้นนอนนับดาว
สุดท้ายเขาก็เอนตัวลงไปนอนจับกดล็อคคู่ต่อสู้เอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
จ้าวเถี่ยนับได้ว่าเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นกัน เมื่อเห็นว่าไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว ก็ไม่ได้พยายามฝืนดันทุรังต่ออีก เขาก้มหน้าพูดอู้อี้
“ฉันแพ้แล้ว”
ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นยืน แล้วเดินกลับไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เขาหยิบลำโพงตัวเล็กขึ้นมาแล้วกดสวิทช์ปิด
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูซางเจี้ยนเย่า ขมวดคิ้วถามออกมา
“อย่าบอกนะว่าไอ้ที่นายทำเรื่องอ้อมโลกแบบนี้ ก็แค่อยากจะหาเรื่องออกไปเต้นรำเท่านั้น”
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าอย่างสัตย์ซื่อ
“ใช่
“ก็หัวหน้าไม่อนุญาตให้ผมออกไปเต้นตรงๆ นี่นา”
“แต่นายก็ไม่เห็นจะเชื่อฟังไม่ใช่หรือไง อื้อหือ แถมยังรู้จักใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาตีฝ่าประจิม[2]ซะด้วย ฉลาดไม่เบาเลยนี่” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะร่า
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดชั่วขณะก่อนจะพูดตอบออกมา
“ดูเหมือนว่าอาการป่วยของผมจะแย่ลง”
* * * * *
[1] จากเพลง 月亮之上 (บนดวงจันทรา) ขับร้องโดยวง 凤凰传奇 (ตำนานวิหคหงสา)
[2] กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาตีฝ่าประจิม (声东击西) เป็นหนึ่งในกลศึกจากสามก๊ก เป็นการบุกโจมตีศัตรูในจุดที่คาดไม่ถึง โดยการหลอกล่อว่าจะโจมตีทางทิศตะวันออก ให้ศัตรูนำกำลังทหารไปเฝ้าระวังไว้ แต่กลับบุกโจมตีจริงทางทิศตะวันตก