รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 147 ให้มันจบลงที่นี่
ทันทีที่เห็นยูจีน ร่างไป๋เฉินก็สั่นเทิ้มขึ้นมาทันที เธอรู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นจะรี่เข้ามาตบเข้ามาเตะตนเอง และบังคับให้เธอต้องทำในสิ่งที่รู้สึกรังเกียจขยะแขยงสารพัดอย่าง
หากกล้าขัดขืนก็จะถูกลงโทษเพิ่มเป็นสองเท่า ซึ่งนั่นเป็นการลงโทษที่ทำให้ถึงตายได้
หลังจากที่พยายามดิ้นรนขัดขืนในสองสามครั้งแรกแต่ก็ไม่สำเร็จ จิตใจที่ถูกทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็กลายเป็นพร่าเลือน สับสนมึนงง กลายเป็นว่านอนสอนง่าย ยินยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี
เมื่อยูจีนเห็นไป๋เฉินเข้าก็ราวกับจดจำตัวตนในบางด้านของตนเองขึ้นมาได้ ดวงตาค่อยๆ กลายเป็นดุร้าย แผ่นหลังก็เหยียดตรงขึ้น
ซางเจี้ยนเย่าเห็นเช่นนั้นเดินเข้ามาหาเขา
ยูจีนตัวสั่น รีบก้มตัวลงอีกครั้งเหมือนกับแบกรับน้ำหนักตัวเองไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
ดวงตาที่ดุร้ายนั้นก็ไม่ได้เต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายอีก สายตาเหลือเพียงแค่ความวิงวอนขอร้องเท่านั้น
หากว่าในตอนนี้เขามีหาง ก็คงจะกระดิกไม่หยุดอย่างแน่นอน
จนกระทั่งในตอนนี้หลงเยว่หงถึงจะยืนยันได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตาฝาดหรือฝันไป
เชี่ย!
หมอนี่คือยูจีนนี่นา
หัวหน้าทีมล่าทาสที่น่ากลัวคนนั้น!
แล้วไหงเขาถึงถูกหัวหน้ากับซางเจี้ยนเย่าลากตัวมาที่นี่ได้ แถมยังมีท่าทางเหมือนอยากกระดิกหางอ้อนวอนขอความเมตตาอีกด้วยล่ะ
คนคุ้มกันของเขาหายไปไหนหมด แล้วการดัดแปลงร่างจักรกลนั่นก็ด้วย
การระเบิดที่เกิดขึ้นทางถนนเหนือเมื่อตะกี้ นั่นคือหัวหน้ากับซางเจี้ยนเย่าลงมือจู่โจมขบวนของยูจีนอย่างนั้นเหรอ
หลังจากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็ใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ เพื่อทำให้เขากลายเป็นทาส
ไหนหัวหน้าบอกว่าจะไปไนต์คลับเพื่อเต้นรำแล้วก็หาเบาะแสไม่ใช่หรือไง
แล้วทำไมถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมาได้ล่ะ
แถมตอนออกไปก็ยังทำตัวเหมือนกำลังจะออกไปซื้อของ จากนั้นก็เจอเพื่อนโดยบังเอิญ ก็เลยชวนมาเที่ยวบ้าน!
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ไป๋เฉินก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติและรู้สึกตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
จากประสบการณ์ความรอบรู้ของเธอ ทำให้พอจะคาดเดาได้แล้วว่าที่ซางเจี้ยนเย่ากับหัวหน้าทีมบอกว่าจะออกไปเต้นรำหาเบาะแสก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น
พวกเขาตั้งใจจะไปหายูจีนตั้งแต่แรกแล้ว!
นี่เพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่สิบนาทีเท่านั้น พวกเขาก็กลับมาพร้อมกับพาตัวยูจีนที่แข็งแกร่งและได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนากลับมาด้วย
นี่มันยากเสียยิ่งกว่าการลอบสังหารเขาหลายเท่า!
ไป๋เฉินถามตัวเองว่าถ้าหากไม่มีอุปสรรคทางด้านจิตใจที่ครอบงำอยู่และมีข้อมูลอยู่ในมือมากพอ จะทำเรื่องแบบนี้ได้ไหม เธอตอบได้ทันทีเลยว่าสามารถซุ่มยิงเขาได้ แต่ไม่มีทางจับเป็นอีกฝ่ายมาได้อย่างแน่นอน
ร่างกายเธอสั่นเทิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและหายใจหนักหน่วง เธอพยายามสะกดข่มจิตใจ เงยหน้าขึ้นมามองยูจีน
ทว่าเมื่อได้สบสายตากัน ดวงตาของยูจีนก็พลันกลับมาดุร้ายอีกครั้ง ราวกับว่าไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอออกมาให้คนที่เคยเป็นเหยื่อของตัวเองได้เห็น
ซางเจี้ยนเย่าร้อง “ฮึ่ม” ออกมาคำหนึ่งทันที
ยูจีนรีบกะพริบตาก้มหน้าลงไปทันที
หลังจากที่เผชิญหน้ากันเป็นเวลานานโดยไม่ถูกทำร้ายตบตี ในที่สุดไป๋เฉินก็ค่อยๆ สงบใจลงได้ และเข้าใจบางเรื่องขึ้นมาได้
เจ้าปีศาจที่แข็งแกร่งราวกับจะอยู่ยงคงกระพันนั้น ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่การแสดงของมันผู้นี้เท่านั้นเอง
และมันก็ไม่มีทางจะทำร้ายเธอได้อีกแล้ว
อาการตัวสั่นของเธอค่อยๆ หายไป ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย
ดวงตาเธอแดงก่ำ ลมหายใจก็หนักหน่วงรุนแรง
แล้วทันใดนั้นไป๋เฉินก็เอี้ยวตัวไปด้านซ้ายครึ่งหนึ่ง เกร็งต้นขาขวาแล้วเหวี่ยงน่องกับนิ้วเท้าออกไปราวกับหวดแส้ พุ่งตรงเข้าไปบริเวณหว่างขาของยูจีน
ยูจีนคิดจะหลบตามสัญชาตญาณทันที ทว่าปฏิกิริยาของเขากลับไม่ว่องไวพอ
ผลัวะ!
เขาเอามือกุมเป้า หนีบขาทั้งสองข้าง แล้วทรุดฮวบลงไปอย่างฉับพลัน
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงเสียจนไม่เหลือเรี่ยวแรงกรีดร้อง มีเพียงเสียงครืดคราดอยู่ในลำคอราวกับไก่ที่กำลังถูกบีบคออยู่เท่านั้น
ซี้ด… ร่างกายท่อนล่างของหลงเยว่หงเย็นวาบขนลุกขึ้นมาทันที เขารีบเบี่ยงตัวไปด้านข้างอย่างไม่รู้ตัว
เจี่ยงไป๋เหมียนแอบจุ๊ปากเงียบๆ ไม่ให้รบกวนไป๋เฉิน
แฮ่ก… แฮ่ก…
หลังจากที่เตะออกไปเต็มแรง ไป๋เฉินก็ก้มตัวเอาสองมือยันเข่าไว้ เธอหอบหายใจหนักหน่วงราวกับว่าใช้เรี่ยวแรงไปจนหมดสิ้น
ในดวงตาเธอเสมือนว่ามีหมอกจนทำให้ตาพร่า บนพื้นก็มีหยาดน้ำหยดลงไปหยดแล้วหยดเล่า ค่อยๆ แผ่ซึมออก
และในพริบตาไป๋เฉินก็รีบยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดดวงตาพร้อมกับยืดตัวขึ้นมา
เธอมองดูยูจีนที่กำลังขดตัวเป็นกุ้งแล้วผ่อนหายใจยาว จากนั้นก็พูดกับซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยเสียงที่แหบเล็กน้อย
“ฉันให้น้าหนานมีส่วนร่วมในการจัดการกับมันได้ไหม
“รับรองว่าเธอจะปิดปากสนิท ไม่แพร่งพรายออกไปแน่”
เมื่อนึกถึงผ้าพันคอสีเข้มรอบลำคอของน้าหนาน เจี่ยงไป๋เหมียนก็พยักหน้าเล็กน้อย
“ได้สิ”
ไป๋เฉินพรวดพราดเดินออกจากห้อง เดินไปตามทางเดินแล้วลงบันไดไปชั้นล่าง
“หัวหน้า… พวกคุณออกไปข้างนอกก็เพื่อจะไปจับเขางั้นนะเหรอ” เมื่อหลงเยว่หงเห็นว่ายูจีนหมดสติไปเพราะความเจ็บปวดแล้ว เขาก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มรับคำ
“เขาเรียกว่ากันไว้ดีกว่าแก้”
“นะ… นี่มันหุนหันพลันแล่นไปหน่อยหรือเปล่า” หลงเยว่หงยังรู้สึกรับไม่ค่อยได้อยู่บ้าง
ซางเจี้ยนเย่านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ก็มันดึกแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องระทึกขวัญบ้างก็น่าเสียดายน่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนแอบกลอกตามองบน เธอกำลังยืนเฝ้าประตูที่เปิดคาไว้ คอยสังเกตเสียงเคลื่อนไหวภายนอกอยู่
เพียงไม่นานนักไป๋เฉินก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับน้าหนานที่สวมเสื้อคุลมผ้าฝ้ายสีแดงเข้ม
น้าหนานซึ่งเกล้ามวยสูงดูมีเสน่ห์ ค่อยๆ ปิดประตูอย่างระวังแล้วยืนดูไป๋เฉินพลิกร่างยูจีนที่นอนหมดสติไปให้หงายขึ้นมา
ปากเธออ้ากว้างออกมาทันทีจนกลายเป็นวงกลมเล็กๆ ค้างอยู่แบบนั้นอย่างเนิ่นนาน
ร่างกายเธอค่อยๆ สั่นเทาอย่างช้าๆ ทว่ารุนแรงเสียยิ่งกว่าไป๋เฉินก่อนหน้านี้
เธอส่ายหน้าไปมา ก้มศีรษะลงและหัวเราะเสียงต่ำออกมาราวกับว่ากำลังสะอึกสะอื้นอยู่
เธอหัวเราะแล้วก็รีบตรงเข้าไปที่ข้างยูจีน นั่งยองลงแล้วถกเสื้อยืดของเขาขึ้น
แผ่นอกและหน้าท้องของยูจีนปรากฏต่อสายตา มันฉายประกายโลหะแวววาวภายใต้แสงไฟ
นั่นเป็นชิ้นส่วนจักรกลซึ่งติดตั้งฝังไว้ มีหลายรูที่สามารถเปิดออกมาได้
“คงเป็นช่องสำหรับเสียบเชื่อมต่อสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่ ‘แผ่วเบา’
คำพูดของเธอนั้นได้ปลุกให้น้าหนานรู้สึกตัว เธอหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“เป็นมัน!
“เป็นมันจริงๆ ด้วย!”
เธอหัวเราะลั่นจนขาอ่อนแรงทรุดนั่งลงกับพื้นห้อง เจือด้วยเสียงสะอื้นที่ถูกบีบเค้นออกมาจากส่วนลึกของลำคอ
ไป๋เฉินไม่ได้ปรามไว้ รอให้เธอค่อยๆ สงบลงเอง
น้าหนานค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วผงกศีรษะให้กับซางเจี้ยนเย่า เจี่ยงไป๋เหมียน และหลงเยว่หง
“ขอบคุณ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างสุภาพและอ่อนโยน
เดิมทีนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะถลึงตาใส่เขา แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าคำตอบแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร
น้าหนานเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะถามออกมาด้วยความสงสัย
“พวกคุณมาที่เมืองหญ้าไพรเพื่อจัดการกับเขางั้นเหรอ”
เธอคิดว่ากลุ่มคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเธอก็คือผู้ช่วยที่ไป๋เฉินว่าจ้างมาเพื่อล้างแค้น
“เอ่อ…” เจี่ยงไป๋เหมียนลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะปฏิเสธการคาดเดาของอีกฝ่ายดีหรือไม่
ถึงแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่สะดวกจะตอบออกไปตรงๆ เช่นนี้ แต่เธอก็ยังมีวิธีการรับมืออยู่
ดังนั้นในวินาทีถัดมาเธอก็รีบหันไปมองซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าช่วยตอบกลับทันที
“เรื่องกล้วยๆ”
“…” คำพูดที่เหลือของน้าหนานถูกกลืนลงคอไปโดยพลัน
* * * * *
ที่ชั้นใต้ดินของ ‘ร้านปืนอาฝู’
ยูจีนตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ มองเห็นหลอดไฟสีเหลืองส่องสว่าง
ที่นี่เป็นที่ไหนกัน… เขาค่อยๆ ฟื้นคืนสติ และพยายามคิดทบทวนว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น
จากนั้นเขาก็จำได้ว่าตนเองถูกลอบโจมตี แล้วก็ติดตามคนที่ลอบโจมตีไปยังสถานที่บางแห่ง แล้วก็ถูกไป๋เฉินเตะเข้าที่ร่างกายท่อนล่าง
นี่ทำให้เขาเจ็บปวดอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ยูจีนรู้สึกว่าร่างกายท่อนล่างเกิดความไม่สบายขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดนั้นยังคงฝังใจราวกับเงาตามตัว
และหลังจากนั้นก็มีใบหน้ามากมายปรากฏขึ้นเบื้องหน้า มองดูเขาอย่างเหยียดหยาม
หนึ่งในใบหน้าเหล่านั้นเป็นของไป๋เฉินที่เขาเพิ่งจะได้พบเมื่อไม่นานมานี้ และก็รู้สึกคุ้นตากับใบหน้าอีกสองสามคน แต่ในตอนนี้นึกไม่ออกว่าเป็นใคร
“อืม… อืม…” ยูจีนอ้าปากจะพูด แต่ก็พบว่าตนเองถูกสิ่งของยัดเอาไว้เต็มปาก
ไป๋เฉินจ้องมองเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ดิ้นไปก็เท่านั้นแหละ เสียแรงไปเปล่าๆ พวกเครื่องจักรกลในร่างแก ถูกทำลายไปหมดแล้วล่ะ”
พูดจบเธอก็ปลดผ้าพันคอสีเทาออกมาจากลำคอตนเอง ทำให้เครื่องหมายที่เป็นคำว่า ‘ทาสหญิง’ กับ ‘105’ ปรากฏออกมาให้เห็น
น้าหนานที่อยู่ด้านข้างเธอก็ปลดผ้าพันคอออกเช่นกัน
ในตำแหน่งเดียวกันนั้นมีสัญลักษณ์สีดำเหลือบเขียวที่คล้ายกัน
อันหนึ่งคือ ‘ทาสหญิง’ และอีกอันหนึ่งคือ ‘98’
ผู้หญิงอีกหลายคนที่อยู่ข้างๆ ก็ทยอยปลดผ้าพันคอออกทีละคนทีละคนเผยลำคอของตนเองออกมา
ยูจีนเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาอยากจะหัวเราะออกมาและพูดเยาะเย้ยออกไป ทว่าภายในใจนั้นกลับรู้สึกหวาดกลัวจับจิตจับใจ
ไป๋เฉินไม่สนใจเขา เธอหันไปมองน้าหนาน
“คุณจะทำ หรือให้ฉันทำ”
น้าหนานเงียบไปสองสามวินาที ก่อนจะกัดฟันพูด
“ฉันเอง”
จากนั้นเธอก็หยิบกริชซึ่งแวววาวราวหิมะที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมา
ยูจีนรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี เขาพยายามดิ้นรนสุดชีวิต ทำสายตาให้น่ากลัวเพื่อข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม
เมื่อได้เห็นสายตาคุ้นเคยที่น่าสะพรึงกลัวนี้เข้า ร่างกายของน้าหนานก็สั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้อีกครั้ง
เธอยกกริชในมืออันสั่นเทาขึ้นมา สูดหายใจเข้าสองสามครั้งก่อนจะจ้วงแทงลงไปอย่างฉับพลัน
เมื่อความรู้สึกของคมมีดอันแหลมคมแทงทะลุเนื้อเข้าไปส่งไปถึงสมอง ในที่สุดเธอก็เหมือนได้หลุดออกมาจากพันธนาการที่มองไม่เห็นเสียที
“เอาไป!
“รับไปซะ!
“เอาไปให้หมด!”
เธอตะโกนร่ำไห้เสียงดัง กริชในมือกระหน่ำจ้วงแทงลงไปอย่างบ้าคลั่ง
* * * * *
ด้านนอกของห้องลับใต้ดิน เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่ายืนพิงผนังด้านหนึ่งฟังเสียงจากภายในห้องอย่างเงียบๆ มีทั้งเสียงร้องไห้ เสียงตะโกน และเสียงสาปแช่ง
เพียงไม่นานนักทุกสิ่งก็เงียบสงบลง
พวกเขารออยู่สองสามนาทีก่อนที่น้าหนานจะเปิดประตูออกมา ตลอดทั้งร่างมีหยดเลือดสาดกระเซ็นอยู่เต็มตัว
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูข้างในด้วยความอยากรู้อยากเห็น และพบว่าไม่อาจเชื่อมโยงภาพของยูจีนเข้ากับซากศพที่นอนจมกองเลือดนั้นได้เลย
ซางเจี้ยนเย่านั้นคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็หุบปากแน่นสนิท
“คืนนี้เราจะปิดตายห้องลับนี้ทิ้ง จะไม่มีใครสามารถเปิดได้อีกตลอดกาล” น้าหนานพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าด้วยเสียงแหบเครือว่าจะจัดการกับศพอย่างไร
พูดแล้วเธอก็ถอนใจก่อนจะหัวเราะเยาะตนเอง
“ที่จริงแล้วพวกเราสร้างห้องนี้ขึ้นมาเพื่อใช้ซ่อนตัวเพราะกลัวการตามล่าของยูจีนกับพรรคพวก แต่ที่ไหนได้ สุดท้ายที่นี่กลับกลายเป็นหลุมฝังศพของมันซะอย่างนั้น
“หวังว่าวิญญาณของมันจะถูกผนึกเอาไว้ในนี้ ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกตลอดกาล”
แปะ! แปะ! แปะ!
ซางเจี้ยนเย่าตบมือเพื่อบอกว่าเธอพูดได้ดีมาก
นี่ทำให้คนอื่นตกใจจนพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
“เอาละ พวกเราออกไปกันเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “ทีหลังถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรก็มาหาพวกเราได้นะ”
น้าหนานผงกศีรษะพลางหัวเราะออกมา
“งั้นค่าเช่าของพวกคุณ ฉันไม่คิดก็แล้วกัน
“น่าเสียดายที่คืนนี้ไม่มีเวลาแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเราจะมาบริการให้
“จากนี้ไปก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ หลังจากที่พวกเราหลบหนีออกมาก็ไม่กล้าออกไปเตร็ดเตร่ที่ไหน ได้แต่อยู่กันที่นี่ พักอยู่ที่ร้านขายปืน บางครั้งบางคราวก็ใช้ร่างกายเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเราเลือกเป้าหมายอย่างระวัง และก็มีมาตรการป้องกันด้วย ดังนั้นสุขภาพยังแข็งแรง ปลอดโรคแน่นอน
“ฮ่า ฮ่า ผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ดี ไม่มีปัญหา”
เจี่ยงไป๋เหมียนสำลัก ‘แค่ก’ ออกมาคำหนึ่ง
“เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันเถอะ เอาไว้คุยกันทีหลัง”
‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่รีบจ้ำอ้าวกลับไปยังชั้นสองทันที แยกย้ายห้องใครห้องมัน
แล้วจู่ๆ ไป๋เฉินก็หยุดชะงักอยู่ที่ประตูห้อง
เธอพูดออกมาเบาๆ ในขณะที่หันหลังให้กับซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียน
“ขอบคุณมาก”