รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 149 มาตรการรับมือ
เจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันเมืองที่เข้ามาในตรอก พวกเขาเดินสอบถามคนเดินถนนสองสามคนที่กำลังเดินทางกลับบ้าน สอบถามเถ้าแก่ร้านค้าที่ยังเปิดร้านอยู่ แล้วก็จากไป เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รับเบาะแสอะไรเลย
เสียงโหวกเหวกที่ประตูเมืองยังคงดังลั่นอยู่ ไม่ได้สงบลงไป
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
มีคนมาเคาะประตูห้องของเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่า
“นั่นใคร” เจี่ยงไป๋เหมียนหันกลับมาถามโดยไม่มีทีท่าตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
“ผมเอง” เสียงหลงเยว่หงดังมาจากด้านหลังบานประตู
ซางเจี้ยนเย่าจึงเดินไปเปิดประตู
ทั้งเขาและเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นสามารถรับรู้ได้ว่านอกห้องนั้นมีคนอยู่สองคน ทว่าไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใคร จึงต้องถามออกมา
นี่เป็นเพราะว่าพวกเขากำลังจดจ่ออยู่กับสถานการณ์บนท้องถนน ทำให้ไม่ทันได้ตรวจสอบคนที่เดินมาเคาะประตูหน้าห้อง
เมื่อหลงเยว่หงเข้ามาในห้องแล้วก็ถามอย่างกังวล
“พวกเขาจะเข้ามาตรวจสอบในห้องหรือเปล่า”
เขายังคงระมัดระวังตัวอยู่ รอจนไป๋เฉินเข้ามาในห้องและปิดประตูเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยถามออกมาโดยควบคุมความดังเสียงไว้
“ถ้าหากว่าพวกชาวเมืองหญ้าไพรสามารถชี้ตัวได้ว่าเป็นฝีมือพวกเรา งั้นคนพวกนั้นก็เป็นผีสางแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างมั่นใจ
นี่ทำให้จิตใจของหลงเยว่หงสงบลงไปมาก
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูไป๋เฉินที่แม้ดวงตาจะยังบวมแดงอยู่บ้าง แต่สภาพโดยรวมนั้นนับว่าดีอยู่ เธอพูดเสริมด้วยรอยยิ้ม
“แต่ถึงโดนจับได้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรสักหน่อย
“พวกเราเตรียมแผนถอยกันไว้แล้วไม่ใช่หรือไง ก็เพียงแค่เพิ่มน้าหนานกับคนอื่นๆ ไปด้วย ให้เขาไปเปิดร้านที่อื่นกันใหม่”
แผนของพวกเขาก็คือ…
รีบไปที่ลานนอกบ้านก่อนศัตรูจะบุกเข้ามา จากนั้นก็ขับรถตรงไปจนสุดถนนตะวันออก
ที่นั่นมีประตูเมืองที่ตามปกติแล้วจะปิดเอาไว้ตลอดเวลา มีกองกำลังป้องกันเมืองประจำการอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่คน
เมื่อไปถึงก็ใช้บาซูก้า ‘มัจจุราช’ ยิงถล่มประตูเมือง จากนั้นก็ขับหนีไปทางช่องทางนั้น
สำหรับแดนธุลีแล้ว เหตุการณ์แบบนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น นักล่าซากอารยะต่างก็มีกฎว่า ‘ใครกำปั้นใหญ่ คนนั้นคือกฎ’ หากถูกบีบบังคับให้จนตรอกเมื่อไหร่ก็สามารถทำได้ทุกเรื่อง อย่างมากก็แค่ไม่กลับมาเมืองหญ้าไพรอีก และคอยระวังภารกิจที่ตามล่าพวกเขาแค่นั้นเอง
ถ้าใครแข็งแกร่งพอ งั้นก็สร้างภารกิจให้พวกนักล่ามาช่วยจับกุมสิ
สำหรับทีมของเจี่ยงไป๋เหมียนที่เป็นคนนอก ไม่มีทั้งญาติพี่น้อง ทั้งพวกพ้องและสหายในพื้นที่ อีกทั้งมาจากที่อื่น แถมยังมีกองกำลังใหญ่หนุนหลังอีกด้วย พวกเขาจึงยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้นไปอีก
กฎหมายเมืองหญ้าไพรทำอะไรกับพวกเราได้หรือไง
แต่แน่นอนว่าทั้งหมดที่พูดมาก่อนหน้านี้ หมายถึงว่าตนเองต้องมีพละกำลังที่แข็งแกร่งพอเสียก่อน ไม่เช่นนั้นก็คงถูกสังหารทิ้งตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มก่อกวนสร้างปัญหาขึ้นมาเสียอีก
เมื่อคิดถึงแผนถอนตัว หลงเยว่หงก็โล่งใจมากขึ้น
ทว่าเจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“แต่ว่ามีปัญหากับเสี่ยวไป๋นี่สิ
“พอยูจีนได้เจอเธออีกครั้ง หลังจากนั้นผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดีเขาก็ถูกโจมตีซะแล้ว จุดนี้ย่อมทำให้มีคนสงสัยแน่ เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ละนะ”
คนคุ้มกันที่อยู่กับยูจีนในตลาดมืดแล้วได้เจอกับไป๋เฉินนั้นไม่ใช่คนคุ้มกันที่ถูกยิงเสียชีวิตซึ่งก่อนหน้านั้นเต้นอยู่ที่พื้นที่เต้นรำ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ยกกำปั้นขวาทุบลงที่ฝ่ามือซ้ายของตัวเองทันทีด้วยสีหน้าที่ขัดใจ
“คิดอะไรของนายละนั่น” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมา
“หลังจากที่ควบคุมตัวยูจีนไว้แล้ว ผมน่าจะวนรถกลับมาฆ่าคนคุ้มกันพวกนั้นให้หมด” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าตัวเองคิดน้อยเกินไป
ขอเพียงฆ่าพวกนั้นให้ตายหมด ก็จะไม่หลงเหลือพยานอีก จะไม่มีใครเชื่อมโยงไป๋เฉินกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่
จากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็ยกมือถูหน้าผากถอนใจ
“แบบนั้นจะมีเรื่องมากเกินไปน่ะสิ ยิ่งลากถ่วงนานเท่าไหร่ก็ยากจะถอนตัวหลบออกไปโดยมีคนเห็นน้อยลงได้ยากเท่านั้น
“นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของคนคุ้มกันพวกนั้นใช่ว่าจะรับมือได้ง่ายเสียเมื่อไหร่ ต่อให้นายเป็นผู้ตื่นรู้ก็เถอะ นอกจากจะฆ่าไม่หมดแล้ว อาจจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งด้วยซ้ำ
“และถ้ามีปลาหลุดรอดไปได้ แม้จะแค่ตัวสองตัว เท่านั้นก็เพียงพอให้รูปร่างลักษณะนายถูกเปิดเผยได้แล้ว”
ในยามนี้เสียงเคลื่อนไหวเอะอะที่หน้าประตูเมืองก็ค่อยๆ เงียบสงบลงแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปถามไป๋เฉิน
“ยูจีนมีศัตรูมากไหม”
“อืม… คนที่ขัดแย้งจนมีแรงจูงใจให้ฆ่าเขามีเพียบเลยล่ะ” ไป๋เฉินตอบเสียงเรียบ “ต่อให้นับแค่ในเมืองหญ้าไพรก็เถอะ ทั้งรายคนทั้งกองกำลังก็นับว่ามีไม่น้อย”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ
“งั้นก็ดีเลย”
แล้วเธอก็ถามต่อ
“ในทีมล่าทาสของยูจีนมีกันกี่คน พลังยิงเป็นไงบ้าง”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ดวงตาซางเจี้ยนเย่าก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
ไป๋เฉินคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง
“ทีมล่าทาสของ ‘ปฐมนคร’ นั้นแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกนั้นเกี่ยวพันกับกองทัพ นับได้ว่าเป็นองค์กรกึ่งทางการ ส่วนประเภทหลังนั้นเป็นแบบเอกชน พอได้รับใบอนุญาตมาแล้วก็รวมทีมของตัวเองขึ้นมา ทีมล่าทาสของยูจีนเป็นประเภทหลัง
“แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีคนถึง 50-60 มียานพาหนะจำนวนมาก มีปืนกลและปืนใหญ่ สามารถยิงทำลายนิคมคนเร่ร่อนทั่วๆ ไปได้สบาย…”
ไป๋เฉินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริม
“ยูจีนเป็นคนสนิทของอาวุโสของวุฒิสภาเมือง ‘ปฐมนคร’ ทีมเขาน่าจะควบคุมด้านอาวุธ”
“มิน่าล่ะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างโล่งใจ “มิน่าล่ะ ทีมของยูจีนถึงได้กล้าลงมือกับเมืองหญ้าไพร”
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของตัวเธอเองเท่านั้น ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะถูกต้อง เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้เห็นสถานการณ์ที่ประตูเมืองด้วยตาของตัวเอง
หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เธอก็ขมวดคิ้ว
“ตอนนี้ฉันกำลังลังเลอยู่ว่าอีกสักสองวันข้างหน้าเนี่ย ควรจะให้เสี่ยวไป๋ไปเดินตามถนนดีหรือเปล่า
“ถ้าให้เธอไป แน่นอนว่าต้องถูกขอให้สอบปากคำแน่ ถึงแม้ว่าระดับความน่าสงสัยจะค่อนข้างต่ำและเจ้าตัวก็ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย แต่ก็ต้องทำตามขั้นตอน และนอกจากนั้น ที่นี่ไม่ได้เป็นแผนกภายในของบริษัท ดังนั้นพวกเจ้าหน้าที่สืบสวนพวกนั้นจะต้องซักถามทุกเรื่องโดยไม่สนวิธีการ ไม่แน่ว่าอาจจะให้เสี่ยวไป๋พาพวกเขามาแถวๆ ตึกนี้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็อาจจะเป็นปัญหา หากไม่ระวังให้ดีก็จะถูกเปิดโปงได้
“แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้น การหายตัวไปเฉยๆ ก็ยิ่งจะทำให้น่าสงสัยมากขึ้นไปอีก”
ไป๋เฉินนิ่งเพื่อใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาตรงๆ
“ตอนนี้ฉันเองก็เลือกไม่ถูกเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไร ให้ฉันไปค่อยๆ คิดดูก่อน แล้วพรุ่งนี้จะให้คำตอบกับเธอ” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มปลอบใจอีกฝ่ายแล้วมองทุกคนรอบๆ “แต่ถ้าคิดไม่ออกก็จะมาปรึกษากับทุกคนอีกที”
เมื่อพูดขาดคำ ไฟในห้องก็ดับพรึบลงทันที
ไฟถนนไม่กี่ดวงที่อยู่ในตรอกก็พลันถูกกลืนกินโดยความมืด
นี่ถึงเวลาดับไฟประจำวันแล้ว
เมื่อเห็นว่าการเคลื่อนไหวด้านนอกสงบลงไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ให้หลงเยว่หงกับไป๋เฉินกลับไปที่ห้องตัวเองเพื่อพักผ่อนนอนหลับ เลิกกังวลเรื่องนี้ ไม่ต้องคิดอะไรอีก
เมื่อภายในห้องอันมืดมิดเหลือเพียงแค่เธอกับซางเจี้ยนเย่าเพียงสองคน เขาก็พูดออกมาทันที
“ผมมีวิธี”
“วิธีอะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนเตรียมระวังตัวไว้ก่อน
ซางเจี้ยนเย่าพูดต่ออย่างสงบ
“ถือโอกาสในตอนกลางดึก แอบออกนอกเมืองไปถล่มค่ายของทีมจับทาสของยูจีนซะ
“พอพวกมันถูกกวาดล้างจนเกลี้ยง ทุกอย่างก็จบเรียบร้อย”
ในเมื่อไม่มีคนร้องทุกข์แล้ว ทางเมืองหญ้าไพรก็จะสืบสวนแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น
“เป็นวิธีที่ดี” เจี่ยงไป๋เหมียนตบมือแปะแปะ เรียนรู้มาจากซางเจี้ยนเย่าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จากนั้นเธอก็พูดต่อ
“ตอนนี้มีเพียงแค่คำถามเดียวเท่านั้น พวกเราสองคนจะไปถล่มค่ายที่มีกองกำลังติดอาวุธอยู่ได้ยังไง”
ราวกับว่าซางเจี้ยนเย่าคิดคำนวณแผนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจึงเปิดปากเล่าต่อ
“อันดับแรก ผมจะแกล้งทำเป็นว่ามีเบาะแสแล้วเข้าไปคุยกับยามที่เฝ้าทางเข้าค่าย จากนั้นก็ทำให้เขาเป็นเพื่อน
“ต่อไปก็ให้เขาพาผมไปหาคนที่ดูแลค่ายตอนนี้ แล้วฉวยโอกาสทำให้คนดูแลค่ายกลายเป็นเพื่อน
“จากนั้นก็ค่อยๆ หาเบาะแสไปเรื่อยๆ เพื่อเตรียมตัวลงมือ โดยผมจะให้บรรดาคนที่รับผิดชอบทั้งหมดมารวมตัวกันที่จุดเก็บกระสุน
“ขั้นตอนสุดท้ายก็แค่โยนลูกระเบิดใส่ จัดการเรื่องต่างๆ ให้สิ้นซาก
“ถ้าหากหัวหน้าคิดว่าเรื่องนี้เกินกำลังของพวกเราสองคนและอันตรายเกินไปที่จะต้องรับมือแบบหนึ่งต่อสามสิบ งั้นก็เรียกไป๋เฉินกับหลงเยว่หงมาร่วมด้วย การต่อสู้แบบหนึ่งต่อสิบห้าก็ถือว่าอยู่ในขอบเขตที่สมเหตุสมผล”
“สมเหตุสมผลบ้านนายนะสิ!” เจี่ยงไป๋เหมียนด่าด้วยความโมโหปนขบขัน นายคิดว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์จิ้งฝ่าที่เป็นเหล็กเป็นโลหะทั้งเนื้อทั้งตัว ไม่กลัวลูกกระสุนหรือไง”
หลังจากดุด่าไปรอบหนึ่ง เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดต่อ
“จะว่าไป แผนนี้มันก็มีโอกาสเป็นไปได้จริงๆ นั่นแหละ ถึงแม้จะฟังดูบ้าบิ่นไปหน่อย แต่ก็มีโอกาสสำเร็จ
“ปัญหาเดียวก็คือ เวลาไม่เหมาะที่จะลงมือ”
เธอพูดอย่างเคร่งขรึม
“หากว่าทีมล่าทาสของยูจีนเข้ามาในเมืองไม่สำเร็จ และคนที่รับผิดชอบนั้นมีประสบการณ์พอสมควร ภายใต้สถานการณ์ที่มีศัตรูอยู่มากมาย กองกำลังคู่อริก็มีไม่น้อย ดังนั้นคืนนี้เขาจะต้องสั่งให้ลูกน้องทุกคนถืออาวุธติดตัวไว้ตลอด ใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ ให้ยิงทิ้งได้ทันที
“ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกคำสั่งแบบนั้นก็เถอะ แต่ตอนนี้จะต้องวางกำลังไว้อย่างแน่นหนา สามก้าวมียาม ห้าก้าวมีป้อม กว่าจะเข้าไปถึงตัวคนรับผิดชอบได้ก็จะต้องฝ่าสมาชิกทีมล่าทาสจำนวนมากให้ได้เสียก่อน
“นายมั่นใจแค่ไหนว่าตลอดทางพวกเขาจะไม่พูดจาทักทายเพื่อนใหม่ของนายสักคำสองคำ จนทำให้ผลของ ‘ตัวตลกชักจูง’ กลายเป็นล้มเหลวไป”
เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ามีความผิดหวังเจืออยู่เล็กน้อย เจี่ยงไป๋เหมียนจึงคลี่ยิ้มออกมา
“ไปหลับให้สบายเถอะ ฉันคิดวิธีได้แล้ว”
“อะไรเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยบอก ขืนบอกตอนนี้เดี๋ยวนายก็นอนไม่หลับกันพอดี”
* * * * *
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เวลาหกโมงเช้าท้องฟ้ายังมืดอยู่
ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นมานั่งก่อนแล้ว เขากำลังรอให้เจี่ยงไป๋เหมียนตื่น และเล่าให้ตนฟังว่าวิธีที่ว่านั่นคืออะไร
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเจี่ยงไป๋เหมียนก็ปีนลงมาจากเตียงบนแล้วพูดกับเขาอย่างตื่นเต้น
“ฉันคิดวิธีออกแล้ว!”
ซางเจี้ยนเย่ามองไปที่เธอพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่ว่าหัวหน้าคิดวิธีออกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเหรอ”
เจี่ยงไป๋เหมียนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะนึกได้ว่าเมื่อคืนนี้เธอพูดอะไรกับซางเจี้ยนเย่าก่อนจะเข้านอน
เธอจึงหัวเราะแห้งๆ ออกมาสองครั้ง
“ในฐานะหัวหน้าทีม การรักษาขวัญกำลังใจของทีมนั้นต้องมาก่อนเรื่องอื่นเสมอ
“อีกอย่างนะ ไม่ใช่ว่าฉันคิดวิธีได้แล้วหรือไง
“ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้อยู่แล้ว!”
จากนั้นเธอก็ทำท่าว่า ‘รีบถามฉันสิ ว่าคิดวิธีไหนออกมาได้’
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดเงียบๆ สองสามวินาทีก่อนจะอ้าปากถาม
“คุณไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลยใช่ไหม”
“…ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกน่า” สีหน้าของเจี่ยงไป๋เหมียนทรุดฮวบทันที แทบจะไม่อาจรักษาภาพลักษณ์ของความเป็นจ้าวกลยุทธ์ของตนไว้ได้
ซางเจี้ยนเย่าค่อยกลับมาที่หัวข้อเดิม
“แล้วมีวิธีอะไรเหรอ”
รอยยิ้มของเจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ กว้างขึ้น
“ให้เสี่ยวไป๋ร่วมมือกับการสอบปากคำ
“แต่เราสามารถเตรียมการล่วงหน้าได้ ปล่อยให้การสืบสวนเป็นไปตามสถานการณ์ที่เราคาดหวัง ทำให้ผลลัพธ์อยู่ในการควบคุมของเรา”
เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ายังคงดูงุนงงอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดเสริมด้วยรอยยิ้ม
“ข้อเท็จจริงก็คือเสี่ยวไป๋ไม่ได้โจมตียูจีน เรื่องนี้สามารถพิสูจน์ได้
“ขอเพียงแค่นายใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ไว้ล่วงหน้าเพื่อทำให้เธอไม่คิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันอีกต่อไป และเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการลงมือสังหารหลังจากนั้นด้วย หรือไม่ต้องคิดถึงมันเลยก็ยิ่งดี เท่านี้เธอก็สามารถผ่านการสอบปากคำได้แล้ว ถึงแม้จะใช้สารพัดวิธีของผู้ตื่นรู้มาสอบสวนก็ตาม
“หลังจากนั้นก็รอให้การสอบปากคำจบแล้วค่อยสลายผลกระทบไป”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มราวกับสุนัขจิ้งจอกที่ขโมยไก่ได้สำเร็จ
“และพวกเราก็ยังสามารถเลือกเวลาที่จะทำให้คนสอบปากคำเป็นคนที่พวกเราคุ้นเคยได้ด้วย
“อย่างเช่นโอดิคที่คาดว่าน่าจะมีพลังที่แทรกแซงความฝันได้
“ทำให้คนมีสติแจ่มชัดในความฝัน นายก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วไม่ใช่หรือไง”