รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 15 ค้างคืน
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินก็รีบหันหน้าไปมองพร้อมกับชัก ‘มอสน้ำแข็ง’ ที่ใช้กระสุนขนาด 9 มม. ออกมาอย่างรวดเร็ว
เธอสังเกตอย่างละเอียดสักพักก่อนถามขึ้น
“นายเห็นไหมว่าเงานั่นมีลักษณะยังไง”
ซางเจี้ยนเย่าที่ยังคงเฝ้าระวังอยู่ ตอบกลับไป
“เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง แต่สวมไว้หนามาก ดูแล้วเหมือนกระรอกดิน”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้กังวล แต่โพล่งขึ้นอย่างประหลาดใจ
“นายรู้จักด้วยเหรอว่ากระรอกดินคืออะไร”
ถ้าจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่ซางเจี้ยนเย่าออกจากบริษัทมายังพื้นโลก สถานที่เดียวในบริษัทที่มีกระรอกดินปรากฏอยู่คือ ‘เขตวิจัย’ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่เข้ากับสถานภาพของนักศึกษาจบใหม่อย่างซางเจี้ยนเย่าแม้แต่น้อย
เหตุผลเดียวที่คิดออกคือมีภาพกระรอกดินอยู่ในตำราเรียน ซางเจี้ยนเย่าถึงได้ระบุออกมาแบบนี้ แต่ก็เป็นเรื่องยากมากสำหรับคนที่ไม่เคยเห็นของจริงแล้วจะเชื่อมโยงความสัมพันธ์แบบนี้ออกมาได้
ซางเจี้ยนเย่าใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือปืน ชี้ข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่ง
“ทางโน้นมีตัวนึง
“เหมือนกับภาพในหนังสือเรียน”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนมองตามนิ้วของซางเจี้ยนเย่า แล้วก็เห็นกระรอกดินตัวหนึ่งที่กำลังกระสับกระส่ายเหลียวซ้ายแลขวา
มันร้องออกมาครั้งหนึ่งแล้วก็มุดลงไปในรู
“ช่างสังเกตดีนี่” เจี่ยงไป๋เหมียนนิ่งค้างอยู่ครึ่งค่อนวันก่อนจะประเมินออกมา
ไป๋เฉินเงยหน้ามองท้องฟ้า
“ในฤดูนี้ ในเวลาแบบนี้ สวมเสื้อผ้าหนาๆ แล้วก็ตัวคนเดียวอีก น่าจะเป็นคนเร่ร่อนแดนร้าง อย่าไปสนใจเลย พวกเราคนมากกว่าและมีอาวุธด้วย เขาไม่กล้าเข้ามาใกล้หรอก
“ปัญหาเดียวก็คือเขาอาจมีการติดต่อกับกลุ่มโจร นั่นจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากซักหน่อย แต่เราไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก เดี๋ยวก็ไปกันแล้ว”
“ถ้ามีโจรมาจริงก็ดีสิ จะได้ให้พวกนายฝึกฝีมือไง!” เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมามองซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงอย่างยิ้มแย้ม
หลงเยว่หงใจเต้นรัว
“หัวหน้าไม่กลัวว่าพวกโจรมีหลายคนแล้วล้อมยิงถล่มเราเหรอ”
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดกลั้วหัวเราะ
“ที่นี่อยู่ห่างจากบริษัทไม่ไกลเท่าไหร่ แผนกความมั่นคงส่งทีมมาฝึกและซ้อมรบบ่อยๆ ถ้าพวกโจรมีคนมากมีอาวุธเยอะจริงล่ะก็ พวกมันคงโดนกวาดล้างไปนานแล้วล่ะ
“นอกจากนั้นแล้วพวกโจรส่วนมากในแดนธุลีอาจจะต่างจากที่นายคิดไว้ พวกเขาแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนเร่ร่อนที่ต้องกอดกันไว้เพื่อแบ่งปัน ‘ความอบอุ่น’ ให้รอดชีวิต ไม่มีอาวุธมากนักและก็ไม่มีคนมากเท่าไหร่ นั่นก็เพราะว่าไม่มีทางหาเสบียงรองรับได้เพียงพอ ในกลุ่มโจรนั้นบางทีคนที่ผอมแห้งอ่อนแอก็กลายเป็นเสบียงสำรองให้คนอื่นซะด้วยซ้ำ
“แน่นอนว่าพวกโจรชื่อดังก็ไม่ง่ายที่จะรับมือเหมือนกัน พวกมันดิ้นรนทำทุกวิถีทางเพื่อให้อยู่รอดต่อไปได้”
เสบียงสำรอง… หลงเยว่หงได้ยินแล้วรู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก
“หัวหน้า คุณพูดเรื่องโหดร้ายแบบนี้ด้วยน้ำเสียงไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยเหรอ”
“ไว้นายอยู่แดนธุลีนานๆ ไปก็ชินไปเองแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนก้มลงมองกาน้ำร้อนบนแผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์
ซางเจี้ยนเย่ายังคงเฝ้าระวังรอบด้าน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดซักถามเพื่อเพิ่มพูนความรู้
“ทำไมพวกคนในนิคมถึงถูกเรียกว่าคนเร่รอนแดนร้างด้วยล่ะ คนเมื่อตะกี้นั่นต่างหาก ถึงจะเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างตัวจริงเสียงจริง”
ไป๋เฉินดึงผ้าพันคอที่อยู่รอบคอแล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“เพราะการตั้งนิคมนั้นไม่ได้ยั่งยืน
“การเปลี่ยนแปลงของแหล่งน้ำ คุณภาพของผืนดิน สภาพดินฟ้าอากาศ และการอพยพของสัตว์ประหลาด เรื่องพวกนี้ล้วนส่งผลต่อความเหมาะสมของสถานที่ตั้งนิคมทั้งนั้น เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยน ผู้คนก็ต้องโยกย้ายไปหาสถานที่ตั้งถิ่นฐานกันใหม่
“จากปัจจัยทั้งหมดนี้ เรื่องที่มีผลกระทบต่อพวกเขาหนักสุดและทำให้เขาต้องย้ายถิ่นฐานบ่อยๆ ก็คือมีพวกกองกำลังใหญ่ๆ มาเจอนิคมของพวกเขาหรือเปล่า”
“ทำไมล่ะ” หลงเยว่หงถามด้วยความสงสัย
ไป๋เฉินเหลือบมองเขา
“บนแดนธุลีนั้น โจรที่ชื่อเสียงเลวร้ายที่สุดไม่ใช่กลุ่มโจรที่ใหญ่ที่สุด แต่เป็น ‘ทีมจับทาส’ จาก ‘ปฐมนคร’ พวกเขามักจะบุกยึดนิคมต่างๆ แล้วจับคนเอากลับไปเป็นทาส
“ในเหมืองและโรงงานในความครอบครองของ ‘ปฐมนคร’ มีทาสจำนวนนับไม่ถ้วนที่กลายเป็นศพ”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวเสริม
“โจรบางกลุ่มก็ทำแบบนี้ โดยเฉพาะพวกที่เป็นเจ้าของเหมือง”
“นี่ถ้าไม่เป็นเพราะ ‘ทีมจับทาส’ ของ ‘ปฐมนคร’ ที่คอยจับพวกโจรแล้วล่ะก็ ฉันเชื่อว่าอุตสาหกรรมที่คึกคักที่สุดบนแดนธุลีก็คือการค้าทาสนี่แหละ” พูดแล้วเหมือนจะทำให้ไป๋เฉินนึกถึงบางเรื่องขึ้นมา เธอเลยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“นอกจากนั้นแล้ว มีหลายนิคมที่ผลผลิตของนิคมไม่เพียงพอจะเลี้ยงดูผู้คนได้ทั้งหมด พวกเขาเลยต้องออกนอกนิคมไปหาผลไม้ ล่าสัตว์ป่า เก็บสารพัดสิ่งของเพื่อเอาไปแลกของที่ต้องการ มองจากมุมนี้ พวกเขาก็ยังเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างอยู่ดี”
หลงเยว่หงฟังแล้วนึกถึงตัวเอง
แม้ว่าหลายปีในหลายปีที่ผ่านมา เขาจะได้กินเนื้อสัตว์เพียงแค่สัปดาห์ละครั้ง และต้องตื่นขึ้นกลางดึกเพราะความหิวอยู่บ่อยๆ แต่อย่างน้อยเสื้อผ้าอาหารขั้นพื้นฐานก็ไม่ใช่ปัญหา
พอเทียบกับคนเร่ร่อนแดนร้างแล้ว เขาก็เหมือนอยู่บนสวรรค์
“น่าสงสารจริงๆ…” หลงเยว่หงทอดถอนใจ
ไป๋เฉินเหลือบมองเขา
“ก็น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ แต่ถ้านายเจอคนเร่ร่อนแดนร้างเมื่อไหร่ ห้ามใจอ่อนเกินไปเด็ดขาด ความแตกต่างระหว่างพวกเขากับโจรก็มีเพียงแค่ว่าเขาหิวมากแค่ไหน อาวุธในมือของนายเป็นยังไง ระวังตัวมากพอหรือเปล่า
“ตอนสมัยที่ฉันยังเป็นคนเร่ร่อนแดนร้าง บ่อยครั้งที่ถูกคนจู่โจม และบ่อยครั้งที่จู่โจมคนอื่น ในสายตาของคนเร่ร่อนแดนร้างแล้ว ไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว มีเพียงแค่อยู่รอดหรือตกตายเท่านั้น”
คำพูดไม่กี่ประโยคของเธอนี้ไม่ได้พูดดังมาก ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนต้องใช้แรงเก้าโคสองพยัคฆ์[1]เพื่อที่จะฟังให้ได้ยิน
พนักงานระดับ D6 ของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ที่มัดผมหางม้าผู้นี้ส่ายหน้าสั่นศีรษะ
“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป ฉันเคยเจอคนเร่ร่อนแดนร้างไม่น้อยเลยที่รู้คุณคนและตอบแทนความดีด้วยความดี”
“อย่างเช่นใครเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถาม
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มสดใส
“อย่างเช่น ไป๋เฉินไงล่ะ!”
ไป๋เฉินนิ่งเงียบไปนานก่อนพูดขึ้น
“หัวหน้า น้ำเดือดแล้ว!”
เจี่ยงไปเหมียนพยักหน้าแล้วพูดกับซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง
“ไปที่รถ เอาถุงน้ำทั้งสี่ใบมานี่ให้หมด”
หลังจากเติมน้ำแล้ว ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็เริ่มหัดเรียนขับรถจี๊ป
เนื่องจากถนนนั้นกว้าง รถคันอื่นก็ไม่มี และไม่จำเป็นต้องจอดรถในตำแหน่งที่กำหนดตามกฎจราจร ทั้งคู่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสมาธิ ปฏิกิริยาตอบสนอง และการประสานงานของมือเท้า ทั้งหมดล้วนยอดเยี่ยม แทบไม่ต้องใช้ความพยายามเท่าไรก็สามารถขับรถได้อย่างชำนาญ
“รู้สึกเหมือนบินได้เลย” หลงเยว่หลงไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ที่ต้องสละตำแหน่งพลขับคืนให้ไป๋เฉิน
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าเห็นด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพื้นถนนนั้นเป็นดินอ่อนและเข้าใกล้บึงน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้สภาพแวดล้อมซับซ้อนมากขึ้น เขาคงจะซิ่งรถเหาะไปแล้ว
“ฟ้ามืดแล้ว ต้องระวังหน่อย” หลังจากหลงเยว่หงกลับไปนั่งเบาะหลังแล้ว ไป๋เฉินด้านหนึ่งเหยียบคันเร่ง อีกด้านก็พูดขึ้น “ข้างหน้ามีอาคารร้างอยู่หลังหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นจุดพักรถข้างทางหลวงของโลกเก่า คืนนี้พวกเราจะพักกันที่นั่น”
เจี่ยงไป๋เหมียนถือโอกาสสอนซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง
“สาเหตุที่พวกเราไม่เดินทางหลังจากฟ้ามืดแล้ว ไม่ได้เป็นเพราะกลางคืนอาจเจอกับพวกสัตว์ที่อันตรายยิ่งกว่าที่เห็นเมื่อตอนกลางวันหรอก แต่สาเหตุหลักก็คือหลังจากฟ้ามืดแล้ว แสงสว่างไม่มากพอ ทัศนวิสัยจะลดลงอย่างมาก
“นี่ทำให้เรามองเห็นหลุมบ่อและบึงน้ำได้ยากขึ้น ก็เหมือนกับการที่เราไม่รู้ล่วงหน้าว่ามีสิ่งมีชีวิตอันตรายเข้ามาใกล้ เรื่องนี้เป็นอันตรายถึงชีวิต พวกนายต้องจำให้ดีว่าสัตว์ร้ายและสัตว์ประหลาดส่วนมากนั้น ขอเพียงมองเห็นแต่เนิ่นๆ และด้วยอาวุธที่ทรงพลังเพียงพอ พวกนี้ล้วนไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย ศัตรูที่อันตรายที่สุดก็คือมนุษย์อย่างพวกเราและโรคภัยต่างหาก”
ไป๋เฉินที่ขับรถอยู่พูดขัดจังหวะขึ้นมา
“ฉันเคยเจอฝูงยุงกลายพันธุ์มาก่อน พวกมันแต่ละตัวใหญ่เท่านิ้วมือ มีจำนวนมากมายมหาศาล ตอนมันรวมกลุ่มกันนี่เหมือนเมฆดำก้อนใหญ่บินบนฟ้าบังแสงจนมืดไปหมด
“ตอนพวกมันกัดจะปล่อยพิษร้ายที่ทำให้ร่างกายมนุษย์และสัตว์เป็นอัมพาต ความคิดความอ่านช้าลง
“ในตอนนั้นพวกเร่ร่อนหลายสิบคนถูกพวกมันรุมตอม ดูดเลือดจนแห้งหมดตัว
“ไม่ว่าจะเป็นปืนพก ปืนไรเฟิล ปืนกล หรือบาซูก้า ก็ทำความเสียหายให้พวกมันได้ไม่มาก
“แต่ยังดี ตอนนั้นพวกเราหยิบเอาปืนพ่นไฟสองสามกระบอกที่ยังใช้การได้มาด้วย อาศัยพวกมันช่วยไว้ สุดท้ายแล้วคนหนึ่งในสามก็เลยรอดชีวิตมาได้”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ หลงเยว่หงถึงกับหนังศีรษะชาหนึบ ความหวาดกลัวแดนร้างยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้น
ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าวูบไหวราวกับว่าเขากำลังคิดหาวิธีรับมือกับสัตว์ประหลาดแบบนั้นอยู่
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“ในสถานการณ์แบบนั้น ‘กระสุนฆ่าหญ้า’ ของบริษัทก็เป็นตัวเลือกที่ดี”
ระหว่างที่ทั้งสี่คุยกันอยู่ รถจี๊ปก็ขับมาถึงซากปรักที่ไม่ใหญ่นักแห่งหนึ่ง
อาคารส่วนใหญ่ที่สูงไม่เกินสามชั้นล้วนพังถล่มลงมา พื้นผิวปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อย ผนังของเดิมนั้นแทบจะมองไม่เห็น ราวกับว่าถูกคลื่นสีเขียวกลบทับเอาไว้
ด้านหน้าอาคารเหล่านี้มีพื้นที่โล่งขนาดใหญ่ มีกองหินใหญ่บ้างเล็กบ้าง บนพื้นมีรอยแตกมากมาย พวกไม้เลื้อยแทรกตัวออกมาจากรอยแยกพวกนั้น
หลังจากไป๋เฉินหยุดรถก็กวาดตามองรอบๆ แล้วพูดขึ้น
“แถวนี้ไม่มีร่องรอยว่ามีคนมาทำอะไรในช่วงนี้…
“คืนนี้ก็พักที่นี่ละกัน แถวนี้มีแหล่งน้ำสะอาดอยู่”
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงทยอยลงจากรถ ทำตามคำสั่งของเจี่ยงไป๋เหมียนที่ให้ออกไปเก็บกิ่งไม้มาก่อกองไฟ และเอาแผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ที่ตากแดดมาทั้งวันมาชาร์จแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงของรถจี๊ป
รถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคนขับรู้จักแดนร้างเป็นอย่างดี หรือรู้จักนิคมรู้จักซากปรักที่สามารถเติมน้ำมันให้ได้ ก็จะใช้เดินทางได้เพียงแค่เฉพาะภายในเขตพื้นที่อิทธิพลของตัวเองเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ต้องพกพาถังน้ำมันไปให้พอ ซึ่ง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นค่อนข้างขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พวกเขาไม่ได้เตรียมเต็นท์มาเพราะว่านอนกันบนรถจี๊ปได้ สองคนยืนยาม สองคนนอนพัก สลับกันไป
เพียงไม่นานแสงไฟก็ส่องสว่างขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ค่อยๆ มืดลง เจี่ยงไป๋เหมียนหยิบอาหารกระป๋องทหารหลายกระป๋องออกมาอุ่น
ซางเจี้ยนเย่าที่กินธัญพืชอัดแท่งไปแล้ว คว้าเอาปืนไรเฟิลจู่โจมมาตรฐานของบริษัทที่มีฉายาว่า ‘นักรบคลั่ง’ ออกไปลาดตระเวนโดยรอบเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เงยหน้ามองขึ้นไปยังกลุ่มอาคารพังถล่มที่ถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อย
บนสุดของริมขอบอาคาร เงาร่างสีดำพุ่งผ่านไปก่อนที่จะหายไปด้านหลังของสิ่งกีดขวาง
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตื่นตระหนก เขาพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียน ไป๋เฉิน และหลงเยว่หง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พวกนายรีบกินหน่อยนะ”
“หือ” หลงเยว่หงทำหน้างง
ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างใจเย็น
“เหมือนมีอะไรเข้ามาใกล้”
* * * * *
[1] แรงเก้าโคสองพยัคฆ์ (九牛二虎之力) หมายถึง ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก