รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 151 สหาย
ยามเช้า เวลา 9.05 น. ณ ตรอกที่อยู่เยื้องจากสมาคมนักล่า
หลังจากที่หลงเยว่หงยืนยันได้แล้วว่าไม่มีใครแอบลอบติดตามมา เขาวิ่งปรี่ด้วยความระมัดระวังไปยังไป๋เฉินที่ซ่อนตัวอยู่ที่หัวมุม
“ไปรับภารกิจที่สมาคมได้แล้วล่ะ”
ไป๋เฉินถอดหมวกเบเร่ต์บนศีรษะและหน้ากากบนใบหน้าออก จากนั้นก็กระชับผ้าพันคอสีเทาที่พันอยู่
“ตกลง”
เธอรู้สึกว่าจำเป็นต้องให้ความร่วมมือกับการสืบสวนและขจัดข้อสงสัยของตน เพื่อให้สมาคมปิดภารกิจไปเสีย ไม่อย่างนั้นคลื่นมหาชนของนักล่าซากอารยะทั้งหลายคงจะสร้างความน่ารำคาญไม่จบสิ้น และอาจจะนำมาซึ่งอันตรายโดยใช่เหตุ
เรื่องเดียวที่เธอไม่เข้าใจก็คือเหตุผลที่หลงเยว่หงยืนกรานที่จะออกไปดูลาดเลาให้ก่อนที่เธอจะไปยังห้องโถงของสมาคม ที่นั่นไม่ใช่ถ้ำเสือเสียหน่อย
แต่เนื่องจากเธอนั้นเพิ่งจะเป็นพนักงานใหม่ที่ได้รับมอบหมายจากบริษัท การได้รับความใส่ใจเช่นนี้ก็นับเป็นกำลังใจที่ควรค่าเช่นกัน
หลงเยว่หงที่เดินเป็นเพื่อนไป๋เฉินออกมาจากตรอก เอ่ยปากเตือนเธออีกครั้ง
“ตอนที่ถูกสอบปากคำ อย่าลืมล้วงกระเป๋าทุกๆ นาทีนะ”
ไป๋เฉินพูดอย่างขบขัน
“นี่นายเชื่อคนแปลกพรรค์นั้นด้วยหรือไง”
คนที่เช่าห้องอยู่ฝั่งตรงข้ามพวกเธอนั้นมีหน้าตาหล่อเหลาเป็นอย่างมาก แต่ก็ดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่
ที่จริงเธอเองก็คงจะเชื่อว่ามีดาวกระดาษพับใส่อยู่ในกระเป๋าจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะหลังจากตอนนั้น ไม่ว่าเธอจะจับกระเป๋าดูกี่ครั้งก็ยังคงไม่พบสิ่งใดเช่นเดิม
แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ทว่าเมื่อนึกถึงที่คนผู้นั้นบอกว่าให้รอจนกระทั่งมีคนมาซักถามถ่อน ถึงค่อยล้วงกระเป๋าไปจับดู ถ้าจับแล้วสัมผัสโดนก็แสดงว่ากำลังฝันอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้มั่นใจดาวกระดาษดวงน้อยนั่นจะไม่มีอยู่จริง
เธอเคยได้เจอได้ยินได้ฟังเรื่องมหัศจรรย์มาบ้าง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้ตื่นรู้
ดูท่าแล้วจิตสำนึกของฉันคงจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริงสินะ… ไป๋เฉินไม่คิดอะไรให้วุ่นวายอีก รีบเข้าไปในโถงสมาคมก่อนที่จะมีพวกนักล่าคนอื่นเข้าไป
เมื่อเข้ามาถึงข้างในแล้วเธอก็ไม่ได้กังวลอะไรอีก ยืนมองดูข้อความบนหน้าจอขนาดยักษ์ซึ่งกำลังถ่ายทอดเนื้อความที่เลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆ
‘ภารกิจ : ค้นหาผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของยูจีน
‘คำอธิบายภารกิจ : ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ผู้ชายสูงประมาณ 180 เซนติเมตร สวมเสื้อคลุมขนเป็ดสีกรมท่าและหมวกแก๊ป ผู้หญิงสูงประมาณ 170 เซนติเมตร สวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีเทา สวมหมวกแก๊ปเช่นกัน…
‘ค่าตอบแทน : เมื่อเบาะแสผ่านการตรวจสอบและได้รับการยืนยันความถูกต้องแล้ว ค่าตอบแทนขั้นต่ำคือ 10 ออเรย์ สูงสุดคือ 500 ออเรย์
‘ระดับภารกิจ : ระดับ C แต้มนักล่า 100
‘…’
และหลังจากนั้นไป๋เฉินก็เห็นภาพตนเองปรากฏอยู่บนหน้าจอขนาดยักษ์นั้น
‘ภารกิจ : ตามหานักล่าซากอารยะไป๋เฉิน
‘คำอธิบาย : เพศหญิง บางทีใช้ชื่อว่า เฉียนไป๋ หรือไป๋เฟิง เกี่ยวพันกับการหายตัวไปของยูจีน สูงประมาณ 160 เซนติเมตร ผมสั้น ดูรายละเอียดเพิ่มจากภาพ
‘ค่าตอบแทน : ทุกเบาะแสที่ยืนยันได้จะได้รับ 5 ออเรย์ หากนำตัวไป๋เฉินมาที่สมาคมหรือกองบัญชาการกองกำลังป้องกันเมืองจะได้รับ 20 ออเรย์
‘ระดับภารกิจ : ระดับ E แต้มนักล่า 10
กำลังตามหาฉันอยู่จริงๆ ด้วยสิ… ไป๋เฉินมองไปรอบๆ แล้วเห็นว่ามีชายในเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำตัวหนาคนหนึ่งกำลังมองมาที่ตนเอง
เธอเคยเห็นนักล่าซากอารยะผู้นี้มาก่อน และเพิ่งจะได้ยินหลงเยว่หงพูดชื่อเขาเมื่อไม่นานนี้เอง เธอจึงรู้ว่าเขาเป็น ‘นักล่าชั้นสูง’ ชื่อว่าโอดิค
ไป๋เฉินละสายตากลับมาไม่ได้สนใจ แล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์บริเวณเวทีกลมกลางห้องโถง เอ่ยปากพูดอย่างใจเย็น
“ฉันมารับภารกิจ”
“ภารกิจไหนคะ” พนักงานหญิงที่เคาน์เตอร์ถามออกมาตามปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ
ตามขั้นตอนมาตรฐานของพวกเขาแล้ว พนักงานไม่สามารถบอกปัดออกมาตรงๆ ว่าให้นักล่าซากอารยะไปใช้เครื่องสำหรับเลือกรับภารกิจเอาเอง พวกเขาจะต้องให้ความช่วยเหลือก่อน ถึงค่อยเสนอคำแนะนำว่าให้ไปใช้เครื่อง
“ตามหานักล่าซากอารยะไป๋เฉิน” ไป๋เฉินพูดชื่อตนเองออกมาโดยไม่ได้รู้สึกแปลกหรือตะขิดตะขวงอะไรแม้แต่น้อย
“ทราบแล้ว ขอตรานักล่าด้วยค่ะ” พนักงานหญิงพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อรับป้ายตราเอามารูดกับเครื่องแล้ว เธอก็ผงะไปในทันที
รอจนผ่านไปสองสามวินาที เธอก็เงยหน้าขึ้นมามองผ่านกระจกเคาน์เตอร์
“คะ…คุณ… คือไป๋เฉินเหรอคะ”
ไป๋เฉินลงทะเบียนกับสมาคมนักล่าด้วยชื่อเฉียนไป๋ แต่ทีมของยูจีนแจ้งชื่อจริงของเธอไป
“ใช่” ไป๋เฉินยังคงสุขุมสงบนิ่ง “ถือโอกาสหาเงินใช้หน่อยน่ะ”
ผ่านไปครู่หนึ่งพนักงานผู้นั้นถึงจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง
“ถ้างั้นฉันจะให้ตัวเลือกจบภารกิจกับคุณโดยตรงเลยนะ
“กรุณารอสักครู่นะคะ ฉันจะรีบไปรายงานก่อน”
ไป๋เฉินพูดออกมาตามตรง
“ทางที่ดีก็ให้คนที่มีอำนาจตัดสินใจได้มานี่เลยดีกว่า และให้ฉันร่วมมือกับการสืบสวนตามเงื่อนไขของฉัน”
แน่นอนว่าพนักงานผู้นี้ย่อมไม่อาจตัดสินใจได้เอง เธอหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมาแล้วรายงานเหตุการณ์
เพียงไม่นาน ชายร่างผอมสูงซึ่งมีผู้คุ้มกันรายรอบอยู่หลายคนก็เดินมาที่ห้องโถง ตรงมายังไป๋เฉิน
เส้นผมบนศีรษะของเขาเริ่มหร็อมแหร็มแต่ยังคงเป็นสีดำ มีรอยย่นที่หางตา ปาก และหน้าผาก ลักษณะที่สะดุดตาที่สุดก็คือจมูกอันใหญ่โต
“ผมคือรองประธานสมาคม ชุยเอิน” ชายร่างผอมสูงผงกศีรษะแนะนำตัวเอง
จากนั้นก็พูดอย่างมีมารยาท
“คุณผู้หญิงไป๋เฉิน ไม่ต้องกังวลไป กองกำลังป้องกันเมืองเพียงแค่ตามหาคุณเพื่อขอความร่วมมือในการสืบสวนเท่านั้น”
ไป๋เฉินพูดโดยไม่สนใจอีกฝ่าย
“ฉันมีสองเงื่อนไข
“ข้อแรก ฉันไม่ไว้ใจพวกเขา ก็อย่างที่คุณรู้นั่นแหละ มีหลายครั้งหลายหนที่พวกเขาไม่สามารถหาผู้ร้ายตัวจริงได้ก็เลยสุ่มหาปีศาจตายแทนมาสองสามคนแล้วชี้ว่าพวกเขาเป็นผู้ร้าย ดังนั้นฉันจะยอมให้สอบปากคำและร่วมมือกับการสืบสวนอยู่ภายในสมาคมเท่านั้น
“ข้อสอง ฉันยังทำภารกิจไม่เสร็จ ต้องหาเงินเลี้ยงชีพ และตอนนี้กำลังรีบอยู่ ดังนั้นช่วยกรุณาเร่งมือด้วย”
วัตถุประสงค์ของสมาคมนักล่าก็คือการให้บริการแก่นักล่าซากอารยะ อำนวยความสะดวกให้กับนักล่าซากอารยะ และเป็นบ้านพักพิงของนักล่าซากอารยะ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์เหล่านี้จะทำได้จริงแค่ไหน แต่อย่างน้อยคนระดับสูงของสมาคมย่อมไม่กล้าปฏิเสธต่อหน้าสาธารณชนอยู่แล้ว ชุยเอินเองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
นี่ยังรวมถึงว่าสมาคมนักล่าท้องถิ่นนั้นมีความสัมพันธ์รูปแบบพิเศษกับคฤหาสน์เจ้าเมืองด้วย คำขอของไป๋เฉินจึงได้รับการตอบรับอย่างง่ายดาย
ชุยเอินใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม
“ได้สิ
“วางใจเถอะ ตราบใดที่คุณไม่ได้เป็นผู้ลงมือ ทางสมาคมย่อมไม่มีทางมองว่าคุณเป็นผู้กระทำผิดอย่างแน่นอน”
ชุยเอินพูดประโยคหลังด้วยเสียงอันดังเพื่อให้นักล่าซากอารยะที่อยู่โดยรอบได้ยินกันอย่างทั่วถึง
ด้วยคำมั่นสัญญาจากรองประธานซึ่งดูแลเรื่องต่างๆ ของนักล่าซากอารยะ ทำให้ไป๋เฉินวางใจ เธอเดินตามขึ้นไปชั้นสอง เข้าไปในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง
ภายในห้องมีเพียงแค่โต๊ะสี่เหลี่ยมและมีเก้าอี้วางอยู่ในแต่ละด้านของโต๊ะ
ไป๋เฉินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ด้านใน แล้วเอื้อมมือขึ้นมาแตะกระเป๋าโดยไม่รู้ตัว
เธอพยายามหักห้ามใจ และหัวเราะเยาะตัวเองอย่างเงียบๆ
‘นี่ฉันได้รับอิทธิพลจากตาคนพิลึกนั่นจริงเหรอเนี่ย…’
แม้กระทั่งในตอนนี้ส่วนลึกในใจเธอก็ยังเชื่อว่าจะมีดาวกระดาษพับดวงน้อยนั่นปรากฏขึ้นมาในกระเป๋าของตนเอง
เธอนั่งรออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ชุยเอินและผู้คุ้มกันจะปรากฏตัวออกมาพร้อมกับกล่าวขอโทษ
“กองกำลังป้องกันเมืองโทรมาบอกว่าพวกเขาต้องรอจนกระทั่งช่วงบ่ายถึงจะส่งคนมาได้
“คุณออกไปสะสางเรื่องราวของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนก็ได้ พอเสร็จเรื่องแล้วก็ค่อยกลับมาใหม่ แบบนี้ดีไหม”
“ถึงคุณไม่กลัวว่าฉันจะหนีไปก็เถอะ แต่ฉันก็ต้องคอยกังวลว่าจะมีพวกนักล่าคนอื่นมากวนใจอยู่ดี ดังนั้นเรามาจบเรื่องนี้กันโดยเร็วดีกว่า” ไป๋เฉินยังคงยืนกรานตามเจตนารมณ์เดิม
ชุยเอินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
“ถ้าอย่างนั้นผมจะแจ้งพวกเขาไป แล้วพยายามหาคนของเรามาจัดการในเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
ว่ากันตามหลักการแล้วนี่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันเพราะทุกคนต่างก็ทำงานรับใช้คฤหาสน์เจ้าเมือง
ไป๋เฉินพยักหน้ารับและรอคอยต่อไปอย่างเงียบๆ
ผ่านไปราวสิบห้านาที ชุยเอินก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับรอยยิ้ม
“เราตกลงกับทางนั้นได้แล้ว พวกเราจะหาคนที่เป็นมืออาชีพและน่าเชื่อถือมารับผิดชอบในการสอบปากคำและสืบสวน”
พูดจบเขาก็แนะนำชายที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“นี่คือ ‘นักล่าชั้นสูง’ โอดิค หนึ่งในฉายาของเขาก็คือ ‘เครื่องจับเท็จ’ ไม่มีคำโกหกใดที่จะปิดบังเขาได้”
โอดิคผู้มีผมสีดำดวงตาสีฟ้าผงกศีรษะให้เล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทาย
เมื่อเห็นว่าผู้สอบปากคำมาถึงแล้ว ไป๋เฉินก็นึกถึงคำแนะนำของหลงเยว่หงขึ้นมาได้ จึงยกมือขึ้นมาคาอยู่ที่กระเป๋าตามสัญชาตญาณ
ในตอนนี้ชุยเอินได้พาคนคุ้มกันออกจากห้องแล้วปิดประตูลง
ไป๋เฉินใช้จังหวะนี้สอดมือลงไปในกระเป๋าตนเอง
และในวินาทีต่อมานั้นเอง รูม่านตาเธอก็ขยายตัวเล็กน้อย
นั่นเพราะว่าเธอสัมผัสกับดาวกระดาษพับในกระเป๋าได้!
เธอสัมผัสถูกดาวกระดาษพับที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อได้จริงๆ!
ก่อนจะเข้ามาในห้องนี้ เธอมั่นใจมากว่าในกระเป๋านั้นไม่มีอะไร!
นี่หมายความว่า… ฉันกำลังฝันอยู่งั้นเหรอ ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้ปรากฏขึ้นในใจทันที ทำให้เธอหลุดออกมาจากสภาวะมึนงง เธอพบว่าตนเองกำลังเดินออกมาจากประตูไนต์คลับ ‘วันนี้’ พร้อมกับหลงเยว่หง และดูเหมือนว่าจะมีสายตาดุร้ายของยูจีนจับจ้องตามมาจากเบื้องหลังด้วย
กำลังฝัน… หัวใจไป๋เฉินวูบไหวแต่เธอไม่ได้แสดงอาการผิดปกติอะไรให้เห็น เธอจำลองฉากในความทรงจำนั้นออกมา และเดินนิ่งเงียบกลับไปยังอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของ ‘ร้านปืนอาฝู’
จากนั้นเธอก็เข้าไปให้ห้องตัวเอง เอนตัวลงนอนที่เตียงชั้นบนของเตียงสองชั้น จ้องมองเพดานอย่างปวดร้าวใจ
แล้วเธอก็หลับไปในลักษณะนี้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ เมื่อตื่นขึ้นมาและรับประทานมื้อเช้าเสร็จ หลงเยว่หงก็เดินเข้ามาในห้อง บอกกับเธอว่าสมาคมได้แจ้งภารกิจ พวกนักล่าซากอารยะก็เลยกำลังตามหาตัวเธออยู่ แนะนำให้เธอปลอมตัวเวลาจะออกไปไหนมาไหน
ในระหว่างนี้เธอเจตนาไม่ให้ผู้ชายพิลึกคนนั้นปรากฏตัวออกมาในเหตุการณ์ภาพฝัน
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ทันใดนั้นไป๋เฉินก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เธอจึงตื่นขึ้นมา
แล้วก็พบว่าตนเองยังคงอยู่ที่ห้องเล็กๆ ภายในสมาคมนักล่าดังเช่นก่อนหน้า
ไม่รู้ว่าโอดิคลงมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาหดนิ้วที่เคาะโต๊ะกลับไปแล้วพูดด้วยดวงตาสีฟ้าที่สงบเยือกเย็น
“คุณหลับไปน่ะ
“เมื่อคืนนี้เป็นเพราะเรื่องของยูจีนเลยทำให้นอนไม่ค่อยหลับใช่ไหม”
“ใช่ ฉันอยากจะฆ่าเขากับมือจนแทบทนไม่ไหว แต่จนใจที่ไร้ฝีมือ แค่เจอหน้าเขาก็ตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว” ไป๋เฉินตอบอย่างสงบ
สติเธอนั้นกระจ่างชัดเจน
โอดิคมองเธอสองสามวินาทีก่อนจะผงกศีรษะเบาๆ
“คุณไม่ได้โกหก”
จากนั้นเขาก็ถามเธออีกสองสามคำถามและได้รับคำตอบอย่างไม่มีการปิดบังอำพราง
ไป๋เฉินกระทั่งปลดผ้าพันคอตนเองออกเพื่อให้เขาได้เห็นรอยสักคำว่าทาสหญิงที่อยู่บนคอ
นี่ทำให้ไป๋เฉินรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเพราะตามปกตินั้นเธอจะไม่ให้ใครเห็นรอยสักนี้เด็ดขาด แต่ทว่าวันนี้เธอกลับทำราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา
คำอธิบายของเธอก็คือต้องการขจัดความเป็นผู้ต้องสงสัยให้เร็วที่สุด
“ผมเข้าใจความเจ็บปวดหวาดกลัวของคุณ” โอดิคพูดจบก็ลุกขึ้นยืน “คุณไปได้แล้วล่ะ”
“เร็วขนาดนี้เชียว” ไป๋เฉินรู้สึกประหลาดใจ
โอดิคตอบอย่างง่ายๆ
“เพราะว่าคุณไม่ได้โกหก”
ไป๋เฉินไม่ได้ถามไถ่รายละเอียด เธอลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องไป
หลังจากที่กลับลงไปที่ห้องโถงชั้นหนึ่งและรับเงิน 20 ออเรย์กับ 10 แต้มนักล่าแล้วเธอก็มาพบกับหลงเยว่หงที่ยังเป็น ‘นักล่ามือใหม่’ อยู่ จากนั้นก็เดินออกจากห้องโถงสมาคมและกลับไปยังจัตุรัสกลาง
ระหว่างทางเธอก็ได้พบชายพิลึกซึ่งพักอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามคนนั้นอีก รวมทั้งเพื่อนหญิงของเขาด้วย
ขณะที่คนทั้งสองกลุ่มกำลังจะสวนกันนั้น ซางเจี้ยนเย่าก็ยิ้มแล้วหยิบป้ายชื่อตนเองออกมา แอบทำท่าติดไว้ที่หน้าอกตนเอง
ป้ายนั้นเป็นสีแดงและมีตัวอักษรสีทอง
บนป้ายเขียนเอาไว้ว่า
‘ผานกู่ชีวภาพ’
ทันทีที่ไป๋เฉินได้เห็นป้ายชื่อนี้ก็ราวกับวงจรของความทรงจำทั้งหมดได้เชื่อมต่อประสานเข้าด้วยกัน เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียนผุดขึ้นมาในห้วงความคิดทันที
เธอกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้แสดงอาการพิรุธอะไรออกมา
เมื่อทั้งสองฝ่ายห่างกันออกมาในระยะหนึ่งแล้ว มุมปากของเธอก็ขยับเล็กน้อยแล้วรีบยกมือขึ้นมาอำพรางดวงตาที่เริ่มเป็นสีแดงเจือจาง
การได้มีสหาย… มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ