รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 158 “ความรู้สึกของพิธีกรรม”
เมื่อมาถึงประตูหลังของ ‘ร้านปืนอาฝู’ เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็เห็นอานหรูเซียงกำลังรออยู่
ในห้องบนชั้นสอง ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงที่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยเช่นกัน กำลังเฝ้ามองไปนอกหน้าต่าง ตรวจสอบสภาพแวดล้อมเพื่อป้องกันเกิดเหตุไม่คาดคิด
ภายใต้แสงจันทร์ยามราตรี อานหรูเซียงใช้มือกุมท้องด้านซ้ายล่างที่มีผ้าพันแผลพันไว้ บนมือและเสื้อผ้าเห็นคราบเลือดอย่างชัดเจน
“ไม่เป็นไรใช่ไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เท่าไหร่หรอก” อานหรูเซียงตอบอย่างเยือกเย็น
นี่แสดงว่าอาการบาดเจ็บของเธอไม่ได้ร้ายแรงนัก
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอก
“งั้นขึ้นไปคุยกันข้างบนเถอะ”
ในห้องพวกเขามีชุดปฐมพยาบาลอยู่ ซึ่งสามารถจัดการบาดแผลได้ดีกว่า ป้องกันไม่ให้ติดเชื้อในภายหลัง
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปบอกกู่ฉางเล่อ
“คุณกลับไปก่อนเถอะ ไม่ต้องใส่ใจเรื่องต่อจากนี้แล้ว
“ถ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อาจทำให้คุณเจอความยุ่งยากได้”
กู่ฉางเล่อคิดถึงลูกตนเองจึงไม่ได้ดึงดัน แล้วก็เดินออกจากห้องของซางเจี้ยนเย่า
เมื่อปิดบานประตูไม้เรียบร้อย เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันกลับมาดูอานหรูเซียง
“นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”
ที่เธอไม่ได้รีบถามตั้งแต่แรกก็เพราะว่าอานหรูเซียงก็ไม่ได้รีบเร่งที่จะบอก แสดงว่านี่ไม่ใช่เรื่องฉุกเฉิน และถึงจะรู้เรื่องราวเร็วขึ้นอีกสิบนาทีก็ใช่ว่าจะไปตามจับคนร้ายมาได้
อานหรูเซียงพูดอย่างสงบ
“ฉันถูกคนทำร้าย”
“ถูกทำร้าย…” เจี่ยงไป๋เหมียนแปลกใจ
จากความเห็นของเธอ การโจมตีซึ่งหน้านั้นไม่ใช่รูปแบบการลงมือของ ‘บาทหลวง’
อานหรูเซียงอธิบายรายละเอียดอย่างเป็นลำดับ
“ตอนกลางคืนฉันยังรับงาน ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ที่อื่นด้วย สอนหนังสือให้กับคนที่เลิกงานดึกน่ะ
“เมื่อตอนห้าทุ่มครึ่งหลังจากที่สอนเสร็จ ฉันออกจากถนนตะวันตกเพื่อกลับไปที่พัก แล้วก็เจอคนคนหนึ่งเข้า”
หลังจากสองทุ่มครึ่งไปแล้ว มีเพียงถนนตะวันตกกับถนนเหนือเท่านั้นที่ไม่ได้ดับไฟ และ ‘ห้องเรียนเฉพาะกิจ’ นั้นก็คือที่บ้านของนักเรียนนั่นเอง
“เขาสวมเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำ ดูผอมมากและเหมือนคนป่วยใช่ไหม” ซางเจี้ยนเย่าถามแทรกขึ้นมา
อานหรูเซียงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับคำถาม เธอผงกศีรษะ
“ใช่”
“เป็นเขาจริงๆ ด้วย” ซางเจี้ยนเย่ายิ้ม
อานหรูเซียงเล่าต่อ
“เขาเดินเข้ามาหาฉันแล้วพูดว่า ‘คุณผู้หญิง ความรู้เป็นต้นเหตุที่ทำให้โลกเก่าถูกทำลาย’
“ฉันคอยระวังคนจำพวกนั้นอยู่แล้ว แล้วก็นึกเรื่องที่พวกคุณกำลังสืบสวนเมื่อตอนบ่ายขึ้นมาได้ ฉันจึงไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสทำอะไรต่อ รีบดึงกริชออกมาแล้วบอกให้เขาถอยไป”
สมกับเป็นอานหรูเซียง… เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย และรู้ว่าเรื่องสำคัญจะเริ่มจากจุดนี้
ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความสงสัย
“ทำไมไม่ยิงล่ะ”
“ในตอนนั้นฉันแค่คิดเพียงว่าอยากจะขู่หมอนั่นเท่านั้น ดึงกริชออกมามันสะดวกกว่าน่ะ” อานหรูเซียงอธิบายต่ออย่างรวบรัด “โชคยังดีที่ฉันชักกริชออกมา ไม่ใช่ปืน”
“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนมีน้ำเสียงสงสัย
อานหรูเซียงชี้ที่บาดแผลที่หน้าท้องด้านซ้ายล่าง
“จู่ๆ ฉันก็ควบคุมมือตัวเองไม่ได้ แล้วก็แทงตัวเอง”
“เป็นพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้อีกชนิดหนึ่ง…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รู้สึกแปลกใจมากนัก แต่เริ่มตื่นตัวมากขึ้น
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” อานหรูเซียงนั้นเคยพบกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ มาแล้ว และเคยติดต่อกับนักล่าซากอารยะที่เป็นผู้ตื่นรู้มาด้วย “นี่ถ้าฉันถือปืน ก็คงยิงตัวเองไปแล้ว”
“จากนั้นล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
สีหน้าของอานหรูเซียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หมอนั่นไม่ได้ฉวยโอกาสโจมตีฉัน แต่ก็ยังไม่ได้จากไปไหน
“เขายืนอยู่ที่นั่น มองมาที่ฉันแล้วพูดต่อ ‘คุณกำลังวางยาพิษมนุษยชาติ ได้โปรดหยุดพฤติกรรมนี้ซะ ไม่อย่างนั้นพันธการแห่งผู้ครองกาลจะมาเยือน
“ฉันควบคุมตัวเองเอาไว้ ไม่โจมตีเขาอีก แล้วพอพูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป”
“ไอ้คนเสียสติ!” เจี่ยงไป๋เหมียนด่าเขาไปคำหนึ่ง
ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจอย่างเข้าใจความรู้สึก
“ความรู้สึกของพิธีกรรมสินะ”
ในขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า อานหรูเซียงก็สรุปจบการเล่า
“จากนั้นฉันก็พันแผลแบบง่ายๆ แล้วมาหาพวกคุณ”
ตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาเช้ามืด
“นั่นคือ ‘นิกายทอนปัญญา’ คนที่โจมตีคุณน่าจะมีฉายาว่า ‘บาทหลวง’” เจี่ยงไป๋เหมียนเปิดเผยข้อมูลบางส่วนที่เธอรู้
ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะทันที
“เขาน่าสงสารมาก”
“อะไรนะ” ครั้งนี้เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อาจทำความเข้าใจความคิดของซางเจี้ยนเย่าได้แม้แต่น้อย
ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจแล้วพูดอย่างจริงจัง
“นี่เป็นผลมาจากสติปัญญาลดทอนลง
“ไม่ว่าเรื่องไหนก็เลยต้องลงมือทำเอง พวกลูกน้องใช้การไม่ได้เลยสักคน มีแต่จะเกะกะขวางมือขวางเท้า”
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังแล้วก็หัวเราะออกมา
“นั่นสินะ
“การโจมตีทั้งสามครั้งนี่ ‘บาทหลวง’ ต้องลงมือเองตลอด ในฐานะหัวหน้าที่ต้องมาทำเองทุกอย่างแบบนี้ หมดราคาชะมัด ฉันยังเหนื่อยแทนเลย”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็คิดใคร่ครวญแล้ว ‘พูดกับตัวเอง’
“แบบนี้นี่เอง เขาถึงได้ควบคุมเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย กับคนอื่นๆ เพราะทาง ‘นิกายทอนปัญญา’ นั้นอัตคัดผู้ช่วยฝีมือดีนี่เอง…
“อืม… ยังมีเหตุผลอื่นอยู่อีก ก็คือใส่ความและยุแยงเสี้ยมให้แตกกัน”
เธอสงสัยว่า ‘นิกายทอนปัญญา’ นั้นรู้ว่าพวกเหลยอวิ๋นซงนั้นเป็นพนักงานของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็เลยลงมือกับพวกเขา แล้วก็ควบคุมให้ทำเรื่องที่สร้างความบาดหมางอย่างรุนแรงต่อเมืองหญ้าไพรและ ‘ปฐมนคร’ จนทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างสองกองกำลังใหญ่
อานหรูเซียงนั้นค่อนข้างใส่ใจต่อภารกิจที่ออกโดยสมาคม ทำให้พอรู้เรื่องของเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยอยู่บ้าง เธอจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องที่เจี่ยงไป๋เหมียน ‘พูดกับตัวเอง’ ออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนเก็บความคิดเธอกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วพูดกับอานหรูเซียง
“คืนนี้คุณนอนที่นี่แหละ พอฟ้าสางแล้วค่อยไปแจ้งเรื่องนี้กับกองกำลังป้องกันเมือง จากนั้นก็ร่วมมือกับพวกเขาโดยไปแจ้งภารกิจที่สมาคม ให้ตามหาหัวหน้าของ ‘นิกายทอนปัญญา’ ที่มีฉายาว่า ‘บาทหลวง’”
อานหรูเซียงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟย จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
“ทำไมไม่ไปตอนนี้เลยล่ะ” อานหรูเซียงถาม
“ลำพังแค่กองกำลังป้องกันเมืองน่ะ ทำอะไรในตอนกลางคืนไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องรอให้ประตูเมืองเปิดก่อน” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบาย “นอกจากนั้นก็ยังมีปัญหาเล็กน้อยที่ต้องจัดการก่อนด้วย”
อานหรูเซียงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีก
“ตกลง”
แล้วในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ยกมือขึ้นเพื่อถาม
“ให้ผมไปนอนที่ไหน”
“แหงล่ะ ก็ต้องนอนเตียงนายนะสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตาใส่ “ให้อานหรูเซียงนอนเบียดกับฉัน”
“ทำร้ายคนเจ็บนะนั่น” ซางเจี้ยนเย่ายังพูดต่อ
“ก็ได้ ก็ได้!” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างไม่เกรงใจ “งั้นให้อานหรูเซียงนอนเตียงนาย ส่วนนายก็ไปนอนเบียดกับหลงเยว่หงที่ห้องตรงข้าม หรืออยากจะไปนั่งหลับบนม้านั่งก็เอาที่สบายใจ”
ถึงแม้ว่าอานหรูเซียงจะไม่ค่อยเข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่นัก แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น เธอจึงทำตามที่พวกเขาจัดการ และเอนกายลงบนเตียงเตรียมตัวนอน
ซางเจี้ยนเย่าถือโอกาสไปที่ห้องฝั่งตรงข้าม เล่าให้ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาไม่ได้ค้างที่นั่นแต่กลับมายังห้องตนเอง นั่งบนม้านั่งแล้วฟุบหน้านอนลงกับโต๊ะ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ อานหรูเซียงก็ตื่นขึ้นมาแล้วรู้ตัวว่าคอของตนนั้นคล้องอยู่ใน ‘ห่วงเชือก’ ส่วนมือทั้งสองข้างก็จับ ‘ห่วงเชือก’ เอาไว้
‘ห่วงเชือก’ นั้นแขวนไว้กับใต้เตียงชั้นบนซึ่งสูงพอที่จะทำให้เธอผูกคอตายได้
คนที่ปลุกอานหรูเซียงก็คือซางเจี้ยนเย่า ดวงตาของเขากระจ่างใสมีชีวิตชีวาภายใต้แสงจันทร์ยามวิกาล
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งนอนอยู่บนเตียงชั้นบนก็ตื่นแล้วเช่นกัน เธอนอนคว่ำก้มมองลงมา
“นี่ฉันเป็นคนทำเหรอ” อานหรูเซียงถามอย่างไม่แน่ใจ แล้วก็เอาศีรษะลอดออกมาจาก ‘ห่วงเชือก’
“นี่แหละปัญหาเล็กน้อยที่ต้องจัดการ” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายด้วยรอยยิ้ม
จากประสบการณ์ของเจิงกว่างวั่ง ควรจะมี ‘การฆ่าตัวตาย’ เกิดขึ้นหลังจากที่ถูกสะกดจิต
แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเกิดตอนที่หลับเสมอไป
อานหรูเซียงย้อนนึกถึงเรื่องที่ตนเองได้ยินได้ฟังมาแล้วถามขึ้น
“สะกดจิตเหรอ”
“ก็อะไรทำนองนั้นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดอะไรให้ยืดยาว
เธอไม่ได้ให้ซางเจี้ยนเย่าใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ เพื่อขจัดผลของการสะกดจิต ด้านหนึ่งนั้นเป็นเพราะเธอไม่รู้คุณลักษณะของพลังพิเศษของ ‘บาทหลวง’ เกรงว่าอาจจะละเลยบางเรื่องไปจนเกิดอันตรายต่ออานหรูเซียง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เพราะว่าเธอไม่อยากเปิดเผยพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ของซางเจี้ยนเย่าโดยไม่มีเหตุจำเป็น
“แบบนี้ก็คือจบเรื่องแล้วหรือเปล่า” อานหรูเซียงยังคงระวังตัวอยู่
“ถ้าว่ากันตามทฤษฎีก็แบบนั้นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบ “คุณนอนต่อเถอะ เราจะเฝ้าระวังให้”
หากเป็นคนอื่นก็อาจจะรู้สึกกระอักกระอ่วนเมื่อได้ยินแบบนี้ ถึงอย่างไรก็มีคนน้อยมากที่จะคุ้นเคยกับการนอนหลับภายใต้สายตาจ้องมองของผู้อื่น แต่อานหรูเซียงไม่ได้มีปัญหากับเรื่องนี้แม้แต่น้อย เธอผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
คราวนี้เธอหลับไปจนกระทั่งรุ่งสาง
หลังจากอาหารเช้าแล้ว ราวแปดโมงครึ่งพวกเขาก็แยกกัน ฝ่ายหนึ่งไปที่กองกำลังป้องกันเมือง อีกฝ่ายไปหาโอดิคที่สมาคมนักล่า
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเข้าไปถึงห้องโถงก็เห็นโอดิคนั่งรออยู่ริมขอบของบริเวณที่นั่ง
“อรุณสวัสดิ์” ซางเจี้ยนเย่าทักทายเขาอย่างกระปรี้กระเปร่า ไม่มีร่องรอยของการอดนอนมาตลอดคืนแม้แต่น้อย
โอดิคพยักหน้ารับแทนคำตอบ จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่บันได
“เจ้าเมืองสวี่อยากเจอพวกคุณ”
“ได้สิ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบรับอย่างไม่ลังเล
นี่เป็นความต้องการของเธออยู่แล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนเดินตามโอดิคขึ้นไปชั้นสอง เดินไปได้ราวๆ สิบเมตรเธอก็หันขวับไปมองซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าก็หันมามองเธอเช่นกัน จากนั้นสองสามวินาทีถัดมาเขาก็ผงกศีรษะ
เมื่อเดินจนมาถึงสุดทางเดิน โอดิคก็หยุดอยู่หน้าห้องที่มีทหารสี่นายถืออาวุธเพื่อคุ้มกัน
หลังจากที่สื่อสารกันด้วยเสียงอันเบาและยื่นอาวุธส่งให้ พวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
ห้องนั้นกว้างขวางมากและมีแสงสว่างเพียงพอ จึงทำให้ค่อนข้างสว่างไสว
ภายในห้องมีโต๊ะขนาดใหญ่ ชั้นหนังสือเรียงรายอยู่สองแถว ในบริเวณที่สำคัญมีเจ้าหน้าที่ติดอาวุธยืนเฝ้าระวัง
ผู้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือชายหนุ่มอายุยี่สิบปี สวมเสื้อสีดำที่ดูเก่าแก่ หวีผมเสยไปด้านหลังอย่างประณีตราวกับต้องการให้ตนดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
เขามีรูปร่างปานกลาง โครงหน้าชัดเจน มีร่องรอยสายเลือดแม่น้ำแดงเจืออยู่บ้าง
“เจ้าเมืองสวี่ พวกเขามาแล้ว” โอดิคก้าวไปข้างหน้าสองก้าว
สวี่ลี่เหยียนผงกศีรษะเล็กน้อย ชี้ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“นั่งสิ”
ผู้ที่ยืนด้านข้างเขาเป็นคนร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง
คนผู้นี้สวมเสื้อคลุมมีฮู้ดยาวคลุมตัวเองไว้ตลอดทั้งร่าง
หลังจากกล่าวทักทายเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พาซางเจี้ยนเย่าให้นั่งลงอย่างเป็นธรรมชาติ
สวี่ลี่เหยียนมองกวาดใบหน้าพวกเขาแล้วพูดอย่างครุ่นคิด
“คุณเป็นพวกเดียวกับเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟยใช่ไหม”
“เรากำลังสืบหาสาเหตุการหายตัวไปของพวกเขาอยู่ค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา “เจ้าเมืองสวี่ ไม่ทราบว่าตอนที่พวกเขามาหาคุณนั้น ต้องการสอบถามเรื่องอะไรเหรอคะ”
สวี่ลี่เหยียนยิ้มให้
“เรื่องที่เกี่ยวกับ ‘สวรรค์จักรกล’ น่ะ
“ไม่รู้ว่าพวกเขาไปได้ยินมาจากไหนว่า ‘สวรรค์จักรกล’ มี ‘เมนเฟรม’[1] อยู่เครื่องหนึ่งซึ่งทำงานมาตั้งแต่สมัยที่โลกเก่ายังไม่ถูกทำลาย”
* * * * *
[1] เมนเฟรม (主脑) คือ คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูงใช้สำหรับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก