รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 159 ความร่วมมือ
“เมนเฟรม…” เจี่ยงไป๋เหมียนนั้นศึกษาทางด้านนี้มาโดยเฉพาะ จึงรู้ดีว่าคำนี้หมายถึงอะไร
‘เมนเฟรม’ นั้นหมายถึงสมองขนาดใหญ่ของเมือง เป็นสมองในความหมายตามรูปคำอย่างแท้จริง
นี่เป็นเป้าหมายที่สำคัญของโลกเก่าซึ่งเป็นเส้นทางที่จะไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะที่ควบคุมด้วยสมองกลทั้งหมด
‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ ที่พวกเขาเคยเห็นจากซากปรักบึงหมายเลข 1 คือเวอร์ชันเริ่มแรก
ในเวอร์ชันสมบูรณ์ของระบบเมืองอัจฉริยะนั้น เมนเฟรมจะควบคุมเครือข่ายข้อมูลทั้งหมดด้วยอัลกอริทึมอันซับซ้อน ตั้งแต่รถยนต์ไร้คนขับไปจนถึงหุ่นสมองกลที่ไม่ใช่หุ่นส่วนตัว ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องทุกชนิดจะถูกคำนวณให้เกิดประสิทธิผลในการจัดสรรมากที่สุด เป็นการขจัดปัญหาแฝงทุกอย่างตั้งแต่ต้นตอ
ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นจากหางตาว่าซางเจี้ยนเย่ายกมือขวาขึ้นมาเช็ดมุมปาก
“…” เธอรู้สึกพูดไม่ออกไปชั่วครู่
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็ถอนหายใจด้วยอารมณ์
“คิดไม่ถึงเลยว่าเครื่อง ‘เมนเฟรม’ นั่นจะทำงานมาตั้งแต่สมัยที่โลกเก่ายังไม่ถูกทำลาย”
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่า ‘เมนเฟรม’ ที่ผ่านช่วงเวลาของการทำลายล้างโลกเก่ามาได้นั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีการบันทึกเหตุการณ์ที่สำคัญบางอย่างเก็บไว้
ด้วย
จากจุดนี้ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย และ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ของพวกเขาถึงได้มาขอพบเจ้าเมืองหญ้าไพร สวี่ลี่เหยียน
“ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรใช่ไหมล่ะ ในเมื่อโลกเก่าถูกทำลายไปตั้งนานแล้ว” สวี่ลี่เหยียนย่อมไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของเจี่ยงไป๋เหมียนได้
เขาเล่าเหตุการณ์ต่อ
“ในตอนนั้นผมตอบพวกเขาไปว่าผมเองก็ไม่รู้อะไรเช่นกัน พวกเราเพียงแค่ร่วมมือกันในด้านการค้าเท่านั้น พวกเขาจัดหาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ มาให้ รวมถึงพวกหุ่นจักรกลที่เอาไว้ทำงานในแต่ละด้าน ส่วนพวกเราก็ขายน้ำมันเชื้อเพลิง แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง แล้วก็ทรัพยากรที่ต้องใช้สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์”
สินค้าอย่างหลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่เมืองหญ้าไพรสามารถผลิตขึ้นได้ พวกเขาเป็นเพียงนายหน้าจัดหาของให้เท่านั้น
“อย่างนั้นตอนที่คุณติดต่อกับ ‘สวรรค์จักรกล’ ได้เจอรายละเอียดอะไรที่น่าสนใจบ้างไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่ออีกประโยคด้วยความเคยชินของวิชาชีพ
“พวกเขาทำการค้าอย่างเป็นการเป็นงานมาก ไม่รับสินบนด้วย เพราะว่าเป็นหุ่นสมองกล” สวี่ลี่เหยียนส่ายหน้ายิ้มให้ “ถ้าหากพวกคุณสนใจพวกนี้อย่างจริงจังนะ งั้นมาช่วยผมจัดการปัญหานี้ให้เสร็จก่อน เอาไว้พอพวกเขามาที่เมืองหญ้าไพรเพื่อทำการค้าเมื่อไหร่ ผมสามารถแนะนำให้พวกคุณรู้จักกันได้ มีเรื่องอะไรอยากถามจะได้ถามพวกเขาไปตรงๆ เลย”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่สองสามวินาทีก่อนจะถามอย่างจริงจัง
“เจ้าเมืองสวี่ มีคนต้องการลอบสังหารคุณใช่ไหม”
สวี่ลี่เหยียนขมวดคิ้ว รู้สึกประหลาดใจไปครู่หนึ่ง
“โอดิคบอกคุณเหรอ”
“ผมไม่ได้พูดนะ” โอดิครีบปฏิเสธ
“งั้นคุณรู้ได้ยังไง” สวี่ลี่เหยียนมองดูเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าอย่างสงสัย
“เดาเอาน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ “เดาจากเรื่องที่ ‘บาทหลวง’ ของ ‘นิกายทอนปัญญา’ เคยทำมาก่อน เขาถูกหมายหัวจากปฐมนครก็เพราะไปลอบสังหารอาวุโสของวุฒิสภา”
สวี่ลี่เหยียนตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะถอนหายใจ
“ขอบอกตามตรงว่าตอนที่เห็นพวกคุณสองคนเมื่อครู่ ผมยังรู้สึกดูถูกอยู่บ้าง รู้สึกเหมือนเป็นพวกไม้ประดับที่มีดีแค่หน้าตา แต่ไร้ความสามารถ
“ผมรู้ว่าเป็นการตัดสินที่ไร้ซึ่งมูลเหตุใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็ยังอดคิดแบบนั้นไม่ได้อยู่ดี
“แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคิดผิดไปอย่างสิ้นเชิง”
รอจนกระทั่งเขาพูดจบ ซางเจี้ยนเย่าก็วิเคราะห์ให้ฟังอย่างตั้งใจ
“คนระดับสูงอย่างคุณ ในใจย่อมรู้สึกทะนงตนเย่อหยิ่งอยู่มาก เมื่อเห็นใครเหนือกว่าตนในบางด้าน ก็เลยรู้สึกอดดูหมิ่นดูแคลนไม่ได้ หล่อเหลาสะสวยคือไร้สมอง แข็งแรงคือป่าเถื่อน นั่นก็เพื่อรักษาความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าเอาไว้…”
สวี่ลี่เหยียนยกสองมือขึ้นมาประกบไว้ข้างหน้า
“ฟังแล้วก็มีเหตุผล
“คุณเก่งด้านจิตวิเคราะห์มาก”
“ผมต้องรับมือกับนักจิตวิทยาอยู่บ่อยครั้งน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยความมั่นใจ
ถ้าหากแบบนั้นเรียกว่ารับมือละก็… ถือว่าดีแล้วที่ไม่ถูกเอ่ยปากไล่ตรงๆ เจี่ยงไป๋เหมียนแอบวิจารณ์อยู่ในใจ แล้วตัดสินใจดึงหัวข้อสนทนาให้กลับเข้าที่เข้าทาง
“เจ้าเมืองสวี่ เมื่อครู่คุณบอกว่าฉันเดาถูกงั้นเหรอคะ”
“ใช่” สวี่ลี่เหยียนไม่ได้ปิดบัง “เมื่อราวสองเดือนก่อนผมได้รับข้อมูลว่ามีคนต้องการลอบสังหาร หลังจากที่พ่อผมเสียชีวิตไปแล้วก็มีเหตุทำนองนี้อยู่บ่อยครั้ง ผมชินแล้วล่ะ จากนั้นผมก็ค่อยๆ เสริมกำลังยาม และส่งเจ้าหน้าที่ข่าวกรองออกไปจำนวนมาก หวังว่าจะได้รู้ให้เร็วที่สุดว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลัง จะได้กำจัดภัยซ่อนเร้นโดยเร็ว”
พูดถึงตรงนี้เขาก็มองไปที่โอดิค
“มิสเตอร์โอดิคเป็นผู้ช่วยที่ผมจ้างมาจากสมาคมเป็นพิเศษ เขาเก่งเรื่องการสืบสวนสอบสวน ฉายาของเขาก็คือ ‘เครื่องแกะรอย’ และ ‘เครื่องจับเท็จ’
“ใครจะไปคิดว่าเขาเพิ่งจะมาถึงได้เพียงแค่สองวัน หลิวต้าจ้วงซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองคนสำคัญที่สุดของผมในเมืองนี้กลับถูกยิงตายอยู่กลางถนน
“ผมเชื่อว่าที่เขาถูกเก็บ เป็นเพราะได้พบกับเบาะแสสำคัญ”
เจี่ยงไป๋เหมียนนั่งฟังเงียบๆ จากนั้นก็อธิบายทุกเรื่องที่ตนสามารถเปิดเผยได้
รวมถึงเรื่องที่รับภารกิจให้ตามสืบสวนเกี่ยวกับการหายตัวไปของเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟย ซึ่งสุดท้ายแล้วก็พบว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เหมือนถูกควบคุมไว้ และสงสัยว่านี่น่าจะเกี่ยวข้องกับ ‘บาทหลวง’ คนนั้นของ ‘นิกายทอนปัญญา’
ท้ายสุดเธอก็บอกว่า
“พวกเราได้พบกับผู้เสียหายที่เคยเจอ ‘บาทหลวง’ แล้วล่ะ อีกไม่นานเธอจะมาที่นี่เพื่อแจ้งภารกิจ”
“ทำได้ไม่เลว” สวี่ลี่เหยียนกล่าวชมเชย แล้วหันไปพูดกับโอดิค “ผมหวังว่าจะตามรอยเป้าหมายเจอได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ไม่ว่า ‘บาทหลวง’ คนนั้นจะเป็นผู้บงการเบื้องหลังตัวจริงหรือไม่ก็ตาม แต่เขาต้องมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้แน่นอน
“ผมจะรีบไปหาข้อมูลเดี๋ยวนี้” โอดิคลุกขึ้นยืน
เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเองก็ลุกขึ้นแล้วตามหลังออกมาจากห้องทำงานของประธานสมาคมเช่นกัน
“ผมจะไปพบผู้เสียหายก่อน” โอดิครีบเดินไปที่บันไดโดยไม่รอฟังคำตอบ
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ว่าตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการสืบสวนต่อจากนี้แล้ว ดังนั้นเธอจึงเดินเอ้อระเหยตามหลังเขาไป รอให้บรรดานักล่าซากอารยะทั้งหลาย ‘อุทิศตัวรับใช้’
เมื่อพวกเขาออกมาห่างจากห้องทำงานของประธานสมาคมจนเกือบจะถึงบันไดแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามโดยกดเสียงเล็กน้อย
“เมื่อกี้ตอนที่ขึ้นมาถึง นายเข้าใจคำถามฉันหรือเปล่า”
เธอกำลังหมายถึงตอนที่เธอใช้สายตาและท่าทางถามออกมา
ซึ่งในตอนนั้นซางเจี้ยนเย่าได้ผงกศีรษะเพื่อยืนยัน
ในเวลานี้เมื่อนึกย้อนกลับไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็เริ่มไม่แน่ใจว่าหมอนี่เข้าใจในสิ่งที่ตนถามไปจริงๆ ไหม
จะว่าไปแล้ว ต่อให้เป็นตัวเธอเองก็เถอะ เพียงแค่การใช้สายตามองมาแบบนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าจะตีความออกหรือเปล่า
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ลังเล
“ผมเข้าใจ
“ตอนที่พวกเราเดินกันอยู่ในตอนนั้นไม่มีใครผ่านมาสักคน ดังนั้นการที่คุณมองมา แสดงว่าต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งคุณสัมผัสได้
“ในห้องที่สวี่ลี่เหยียนอยู่ มีคนอยู่ในนั้นหลายคน
“นี่ก็เลยทำให้ผมนึกถึงครั้งสุดท้ายที่พวกเรานั่งรอกันอยู่ชั้นล่างที่มีคนกลุ่มใหญ่เดินผ่านหัวเราไป หนึ่งในนั้นมีทั้งจิตสำนึกของมนุษย์และสัญญาณไฟฟ้าของหุ่นจักรกล
“ถ้าหากว่าสิ่งที่คุณตรวจจับได้เป็นสัญญาณไฟฟ้าของมนุษย์ทั้งหมด คุณคงไม่มีทางหันมามองผมเพื่อขอคำยืนยันหรอก
“ดังนั้นคำตอบจึงง่ายมาก คุณต้องการจะถามผมว่าทุกคนในนั้นมีจิตสำนึกของมนุษย์ใช่หรือเปล่า”
เจี่ยงไป๋เหมียนตกตะลึงไปสองสามวินาทีก่อนจะเปิดปากพูด
“เป็นวิธีคิดที่ซับซ้อนชะมัด แต่ว่าใช่แหละ นายเดาถูกแล้ว…”
เธอต้องยอมรับว่าในบางด้านนั้นซางเจี้ยนเย่าไม่ได้สมองทึบ และยังถึงขั้นเรียกได้ว่าเฉลียวฉลาดมากเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่ว่าเขามักจะทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อน
เมื่อเดินมาถึงบันได เจี่ยงไป๋เหมียนมองลงไปพลางกระซิบ
“คนในเสื้อคลุมที่ยืนอยู่ข้างสวี่ลี่เหยียนนั่นน่าจะเป็น ‘นิรันดร์กาล’”
ส่วนจะเป็นหลวงจีนจักรกลหรือเปล่านั้นก็ยังไม่แน่ชัด
“ไม่รู้ว่าเขาจะรู้จักอาจารย์เซนจิ้งฝ่าหรือเปล่านะ” จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้น
“นายนี่หมกมุ่นอยู่กับอาจารย์เซนจิ้งฝ่าเสียจริงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนล้อเขา
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“อาจารย์เซนจิ้งฝ่าไล่ตามเฉียวชูอยู่ เฉียวชูเอาชุดเกราะเสริมแรงของเราไป กินอาหารของพวกเราไปตั้งเยอะ ทั้งอาหารกระป๋องเอย บิสกิตอัดแข็งเอย ธัญพืชอัดแท่งเอย…”
“เข้าใจแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ในระหว่างที่พูดคุยกันพวกเขาก็เดินลงมาถึงชั้นล่าง กลับมายังห้องโถง
และในตอนนี้เอง รองประธานผมสีบลอนด์ตาสีฟ้า คริสติน่า ก็เดินเข้ามาจากประตูด้านข้างพร้อมกับผู้คุ้มกันชุดดำสี่คน
ครั้นพอได้เห็นซางเจี้ยนเย่า ดวงตาเธอก็เป็นประกาย รีบก้าวเดินตรงมาอย่างยิ้มแย้ม
“วันนี้ฉันอยู่ที่ห้อง 308 ทั้งวัน คุณมาหาฉันได้ตลอดเวลา”
พูดจบเธอก็หันมามองเจี่ยงไป๋เหมียน ค่อยๆ กวาดสายตาสำรวจไปทั่วใบหน้าเธอ
รอยยิ้มของคริสติน่ามองเห็นได้ชัดเจนขึ้นมากในขณะที่เธอหันมาถามซางเจี้ยนเย่า
“นี่คือเพื่อนคุณเหรอ”
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบคำ เธอก็หันไปพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียน
“คุณมาหาฉันพร้อมกับเขาได้เลยนะ”
“อืม” เจี่ยงไป๋เหมียนรับคำอย่างขอไปที
เมื่อทั้งสองฝ่ายเดินสวนกัน เธอก็รีบก้าวไปด้านข้างเพื่อเตรียมหลีกเลี่ยงฝ่ามือพิฆาตของคริสติน่าที่แอบตบก้น
จนกระทั่งเห็นรองประธานคริสติน่ากับผู้คุ้มกันเดินขึ้นบันไดไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็จุ๊ปาก
“รสนิยมของเธอนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“บางทีเธออาจต้องการคนเล่นไพ่ให้ครบวงก็ได้” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างครุ่นคิด
“นายคิดว่าคนคุ้มกันรอบตัวเธอนั่นไม่ใช่คนหรือไงยะ” เจี่ยงไป๋เหมียนด่าเขาด้วยรอยยิ้ม
ซางเจี้ยนเย่ายังคงตอบอย่างจริงจัง
“เป็นผู้คุ้มกันก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีสิ”
พวกเขาพูดกันไปพลางก็เดินมาจนถึงริมห้องโถง จากนั้นก็หาเก้าอี้นั่งลงรอให้เบาะแสใหม่ปรากฏขึ้น
ไม่นานนัก กระดานภารกิจก็อัปเดต พวกเขาเริ่มการค้นหาผู้ชายที่เหมือนคนป่วยสวมเสื้อเทรนช์โค้ท
ภาพวาดของเขาค่อนข้างดูมีชีวิต แทบไม่ต่างจากภาพถ่าย
ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนไม่จำเป็นต้องลงมือไปค้นหาเอง เพราะมีนักล่าซากอารยะจำนวนมากทำแทนให้อยู่แล้ว
ในเวลาสิบโมงเช้าก็มีข้อมูลใหม่ปรากฏขึ้น
มีผู้พบเห็นผู้ชายที่เหมือนคนป่วยสวมเสื้อเทรนช์โค้ทใกล้โกดังหมายเลข 1 ถึงหมายเลข 3 ในถนนตะวันออก
เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าผุดลุกขึ้นทันที ไปกดรับภารกิจแล้วเดินออกจากประตูไป
เมื่อใกล้จะถึงถนน จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็หยุดชะงักแล้วตะโกนบอกคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินผ่านไป
“รอเดี๋ยว!”
คนผู้นั้นหยุดฝีเท้าแล้วหันมามองด้วยความสงสัย
เขาเป็นผู้ชายอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด เชื้อชาติแดนธุลี มีความสูงพอๆ กับเจี่ยงไป๋เหมียน สวมชุดสีดำ ไว้ผมสั้น หน้าตานับว่าไม่เลว เพียงแต่มีรอยคล้ำใต้ตาค่อนข้างมาก ดูท่าทางอิดโรย
ซางเจี้ยนเย่าเดินตรงเข้าไปหาบุคคลผู้นั้นภายใต้สายตาที่ดูแปลกใจของเจี่ยงไป๋เหมียน แล้วเอ่ยปากถามขึ้น
“เมื่อคืนคุณนอนไม่ค่อยหลับเหรอ”
ชายคนนั้นเลิกคิ้ว
“ผมจะนอนหลับนอนไม่หลับแล้วเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงใจ
“ถ้าคุณนอนไม่ค่อยหลับ ก็จะมีสภาพที่ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ กว่าจะทำภารกิจเสร็จก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้
“จะให้ดีก็ควรพักผ่อนเสียหน่อย”
เมื่อพูดจบเขาก็กลับหลังหันเดินไปข้างเจี่ยงไป๋เหมียน ทิ้งให้คนผู้นั้นยืนงงอยู่ตรงนั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขวาขึ้นมาชี้ที่ศีรษะตนเองเพื่อเป็นการถามว่าเขาเกิดอาการสมองกระตุกขึ้นมาใช่หรือไม่
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเล็กน้อย ตอบรับว่าเป็นเช่นนั้นจริง