รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 16 แวะพัก
หลงเยว่หงสะดุ้ง รีบคว้าปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ข้างกายโดยสัญชาตญาณแล้วลุกพรวดขึ้นมาทันที
ขณะที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะโยนกล่องอาหารในมืออีกข้างทิ้งไปดีหรือไม่ เจี่ยงไป๋เหมียนที่ยังใจเย็นอยู่มองดูรอบข้าง
“ไม่มีอะไรหรอก…”
เธอยิ้มให้กับซางเจี้ยนเย่า
“ไม่ต้องตกใจ มันยังอยู่อีกตั้งไกลใช่ไหมล่ะ
“นั่งก่อนเถอะ รอกระป๋องร้อนก็กินได้แล้ว”
ขณะที่พูดเธอก็ตบเบาๆ บนปืนยิงระเบิดข้างตัว ที่มีฉายาว่า ‘ทรราช’
อีกด้านของกองไฟ ไป๋เฉินสังเกตรอบตัวอย่างระวังอยู่พักหนึ่งก่อนกลับมาสนใจอาหารต่อ
“แต่ว่า… หัวหน้า มีอะไรกำลังเข้ามาใกล้นะ! คุณไม่กลัวว่าพวกเราจะถูกลอบโจมตีเหรอ” หลงเยว่หงไม่เข้าใจความคิดของเจี่ยงไป๋เหมียน
เจี่ยงไป๋เหมียนมองอาหารกระป๋องที่เปิดไว้นานแล้ว
“ไม่ใช่ว่าซางเจี้ยนเย่าคอยระวังอยู่หรือไง
“ถ้าสิ่งนั้นไม่เข้ามาใกล้ซะที จะให้เรานั่งรอเฉยๆ ไม่ต้องกินหรือไง ถ้ามัวแต่รออยู่แบบนั้นก็หมดแรงหิวตายกันพอดี นั่นจะส่งผลต่อสมรรถภาพของพวกเรา”
เธอคลี่ยิ้ม
“พูดง่ายๆ ก็คือ กองทัพเดินได้ด้วยท้อง ตราบใดที่ฟ้ายังไม่ถล่ม เราก็จะไม่หยุดหาอาหารใส่ท้อง”
หลงเยว่หงนั่งลงอย่างกังวลและคอยมองซางเจี้ยนเย่าเป็นระยะ กลัวว่าเขาจะทำพลาดและไม่เห็นศัตรูที่เข้ามาในระยะอันตราย
เมื่อตอนเปลวไฟริบหรี่ลง ของเหลวในกระป๋องก็ละลาย กลิ่นที่หอมจนบรรยายไม่ถูกฟุ้งกระจายออกมาไม่หยุด
เป็นกลิ่นของเนื้อหมู ถั่วเหลือง เกลือ และเครื่องเทศที่ผสมคลุกเคล้ากันด้วยกระบวนการอันซับซ้อน ทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับมีมือยื่นออกมาจากท้องเจาะผ่านลำคอทะลุมาถึงปาก
“เสร็จแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มอย่างจริงใจ
ตอนนี้เอง จากด้านบนของอาคารที่ถล่มลงมาที่ถูกเถาวัลย์สีเขียวปกคลุม เงาสีดำพุ่งกระโจนเข้าหาหลงเยว่หงที่อยู่ข้างกองไฟ
แสงจากกองไฟที่วูบไหว ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ จึงเห็นลักษณะของเงาดำนั้นอย่างชัดเจน
เป็นมนุษย์ผู้หญิงสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นเผยให้เห็นผิวหนังสกปรกที่มีขนสีดำปกคลุม เส้นผมมันเยิ้มกระเซอะกระเซิงเป็นสังกะตัง
เล็บทั้งยาวทั้งแหลม ส่องประกายเย็นเยียบ ดวงตาแดงก่ำและขุ่นมัวราวกับสัตว์ร้าย
ร่างกายงองุ้มและว่องไวมาก ราวกับลิงที่โหนเถาวัลย์
ปัง!
ซางเจี้ยนเย่าเพิ่งจะยกปืนไรเฟิลขึ้นมา เสียงปืนก็ดังขึ้นเสียก่อน
ตุ้บ!
เงาดำหล่นกระแทกพื้นอย่างแรง
ใบหน้าหงายขึ้น บริเวณไหล่ซ้ายใกล้กับบ่ามีหลุมเลือดน่าเกลียดขนาดใหญ่ ไม่หลงเหลือสภาพที่ดูได้
หลังจากกระตุกสองครั้ง มนุษย์ผู้หญิงคนนี้ก็ชีวิตหลุดลอยแน่นิ่งไป
เจี่ยงไป๋เหมียนเก็บปืน ‘ยูไนเต็ด 202’ แล้วพูดอย่างใจเย็น
“เป็นพวก ‘คนไร้ใจ’ น่ะ”
‘คนไร้ใจ…’ หลงเยว่หงมองดูศพด้วยความแปลกใจและอยากรู้อยากเห็น
นี่เป็นคำที่ไม่มีผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ของแดนธุลีคนไหนจะข้ามไปได้ และหนังสือเรียนของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็ยังอธิบายไว้อย่างละเอียดอีกด้วย
‘คนไร้ใจ’ บางทีก็เรียกว่า ‘คนสูญเสียจิตใจ’ เป็นคำใช้เรียกคนที่เป็น ‘โรคไร้ใจ’ โรคนี้บางครั้งก็เรียกกันว่า ‘โรคกลายเป็นสัตว์’ หรือ ‘โรคหวนคืนบรรพกาล’ ซึ่งหมายถึงคนที่ป่วยเป็นโรคนี้จะสูญเสียความมีเหตุผล ความคิด และความรู้สึก กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่แตกต่างจากสัตว์ร้าย เหลือเพียงแค่สัญชาตญาณในการล่า การเอาตัวรอด และการใช้เครื่องมือแบบง่ายๆ เท่านั้น
พวกเขาไม่สามารถสื่อสารกันได้ และจะจู่โจมมนุษย์ปกติอย่างดุดันราวกับนั่นเป็นเหยื่อให้ล่า
‘โรคไร้ใจ’ ปรากฏขึ้นครั้งแรกสุดคือตอนที่โลกเก่าถูกทำลาย เพียงแค่เวลาสั้นๆ มนุษย์จำนวนมากในแต่ละเมืองก็กลายเป็น ‘คนไร้ใจ’ ผู้คนมากมายที่ไม่ทันระวังตัวต่างเสียชีวิตจากน้ำมือของ ‘คนไร้ใจ’
เนื่องจาก ‘คนไร้ใจ’ จำเป็นต้องกินเพื่ออยู่รอดเหมือนกับสัตว์ร้ายอื่นๆ ดังนั้นหลังจากที่กฎระเบียบต่างๆ พังทลายลง เกิดมหาทุพภิกขภัยจนมนุษย์ธรรมดาล้มตายไปมาก และเมื่อ ‘แหล่งอาหาร’ ในเมืองค่อยๆ หมดไป พวก ‘คนไร้ใจ’ จึงล้มตายลงอย่างรวดเร็ว เหลือประชากรไม่ถึงหนึ่งในร้อย
จากการศึกษาของนักประวัติศาสตร์จำนวนมากในแดนธุลี ‘คนไร้ใจ’ นั้นนอกจากล่ามนุษย์แล้วก็ยังล่าสัตว์ป่า ขุดรากไม้ เก็บผลไม้ จับหนูทั้งกลายพันธุ์และไม่กลายพันธุ์กินเป็นอาหาร ถ้าหากหิวโหยมากก็โจมตีกันเอง
การที่ต้อง ‘อดอาหาร’ และอยู่ในสภาพแวดล้อมดำรงชีพอันโหดร้าย ทำให้มี ‘คนไร้ใจ’ จำนวนน้อยมากที่สามารถอยู่รอดจนมีอายุเกิน 30 ปี แต่พวกเขาก็มีสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ จนให้กำเนิดลูกหลานมากมาย
ยิ่งไปกว่านั้น ‘คนไร้ใจ’ รุ่นหลังที่ถือกำเนิดออกมาก็มีสติปัญญาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และมีความสามารถในการล่าที่แข็งแกร่งขึ้น
ว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว หลังจากมนุษย์ฟื้นคืนกฎระเบียบและมีอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพอยู่ในมือแล้ว ก็ไม่น่าจะยากเกินไปที่จะจัดการกับ ‘คนไร้ใจ’ ที่คล้ายสัตว์ร้าย แต่ทว่าความเป็นจริงกลับไม่ใช่
ในด้านหนึ่ง แม้ว่า ‘คนไร้ใจ’ จะไม่รู้วิธีการถอดประกอบและดูแลอาวุธ แต่พวกเขากลับรู้วิธีใช้งานราวกับว่ามันเป็นไปโดยสัญชาตญาณ และ ‘คนไร้ใจ’ รุ่นหลังยิ่งมีสัญชาตญาณนี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละรุ่น นอกจากนั้น ‘คนไร้ใจ’ ก็ยังคงเป็นมนุษย์อยู่ภายใน พวกเขาจึงถูกมลพิษและกลายพันธุ์ได้เช่นกัน นี่ทำให้ ‘คนไร้ใจ’ จำนวนมากเสียชีวิตอย่างเจ็บปวดทรมาน แต่ขณะเดียวกันก็สร้างกลุ่มของยอดนักล่าขึ้นมาด้วย
แน่นอนว่าถึงแม้ ‘คนไร้ใจ’ จะใช้อาวุธได้ดีเพียงใด แต่พวกเขาไม่รู้จักการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และไม่รู้วิธีการจัดระเบียบกลุ่มเพื่อดูแลจัดการ ดังนั้นแม้จะกลายเป็นนักล่าชั้นยอด แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพมนุษย์ที่มีอาวุธเพลิงจำนวนมาก ก็ทำอะไรแทบไม่ได้เลย
ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์มีเทคโนโลยีเพื่อ ‘กระตุ้นการกลายพันธุ์และดัดแปลงพันธุกรรม’ แม้ว่าเพิ่งจะอยู่ในขั้นเริ่มต้นและโอกาสสำเร็จต่ำ แต่ก็ยังคงบดขยี้ ‘คนไร้ใจ’ ที่ทำเพียงมองดูฟ้านั่งกินข้าว
ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือมนุษย์เองยังหาไม่พบสาเหตุและกฎการแพร่ระบาดของ ‘โรคไร้ใจ’ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะป้องกันได้ ทำให้ทหารเองก็ไม่อยากเข้าไปในเขตที่มี ‘คนไร้ใจ’ เพราะกลัวติดเชื้อ ดังนั้นหลังจากที่กองกำลังขนาดใหญ่กวาดล้าง ‘คนไร้ใจ’ รอบตัวไปแล้วก็ไม่เต็มใจที่จะไปจัดการกับพวกที่อาศัยอยู่ในซากเมืองของโลกเก่า
จวบจนทุกวันนี้ ‘โรคไร้ใจ’ ก็ยังคงเป็นเงาคอยตามหลอกหลอนมนุษย์อยู่
นี่เป็นเพราะว่าแม้แต่คนที่ไม่ได้สัมผัสกับ ‘คนไร้ใจ’ โดยตรง หรือคนที่อาศัยในสภาพแวดล้อมอย่างดีในนิคม หลังจากหลับลงไปแล้วก็อาจสูญเสียสติสัมปชัญญะกลายเป็น ‘สัตว์ร้าย’ ได้เช่นกัน
ทั้งๆ ที่พวกญาติพี่น้องผองเพื่อนเองต่างก็สบายดี ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ถึงการติดเชื้อเลย
นี่คือข้อสรุปที่ได้หลังการกักตัวเพื่อเฝ้าสังเกตเป็นเวลานาน
ในช่วงปีแรกๆ มีผู้นำระดับสูงของกองกำลังใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งหวาดกลัว ‘โรคไร้ใจ’ จนขึ้นสมอง เขาแยกตัวอยู่ในห้องที่โดดเดี่ยวตัดขาด คนที่จะเข้าออกห้องต้องสวมหน้ากากกันแก๊สและชุดป้องกันเคมี แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็กลายเป็น ‘คนไร้ใจ’
ยังดีที่หลังจากเริ่มนวศักราชเป็นต้นมา ค่าเฉลี่ยของการเกิด ‘โรคไร้ใจ’ ไม่สูงมาก มิฉะนั้นมนุษยชาติคงถึงกาลล่มสลายไปแล้ว
สภาพน่าอนาจของศพทำให้หลงเยว่หงที่เพิ่งเคยเห็นศพเป็นครั้งแรกรู้สึกมีก้อนจุกอยู่ในลำคอ เขาเบือนหน้าหนีโดยอัตโนมัติ ไม่กล้าหันกลับไปมอง
“ดูเหมือนจะเป็นคนไร้ใจรุ่นแรก” ไป๋เฉินย้อนนึกเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดก่อนหน้าแล้วประเมินออกมา
“ดูจากเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง น่าจะป่วยมาไม่เกินหนึ่งปี” เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง “อยากให้บรรยายความรู้เกี่ยวกับ ‘คนไร้ใจ’ ให้ฟังอีกรอบไหม”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบ แต่พูดขึ้นในทันที
“นี่ไม่ใช่เงาที่ฉันเห็นเมื่อกี้
“เงานั้นเตี้ยกว่านี้หน่อย”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อยก่อนพูด
“พวกนายค้นศพดูว่ามีของมีค่าไหม จากนั้นก็เอาศพไปฝังข้างนอก ระวังอย่าออกไปนอกรัศมีกองไฟ”
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินไปที่รถจี๊ป หยิบวัตถุสีดำสี่อันแล้วโยนให้ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงคนละอัน
“วิทยุสื่อสาร ระยะทำการที่มีประสิทธิภาพคือ 2 กิโลเมตร ถ้าเป็นพื้นที่โล่งจะส่งได้ไกลกว่านั้น
“หากมีอะไรให้รีบแจ้งทันที พวกนายน่าจะใช้เป็นใช่ไหม”
“ผมซ่อมเป็น” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบคำถาม
เขากับหลงเยว่หงสำเร็จการศึกษาจากภาควิชาอิเล็กทรอนิกส์ในมหาวิทยาลัย
หลงเยว่หงเหน็บวิทยุสื่อสาร แล้วเดินไปที่ซากศพของ ‘คนไร้ใจ’ อย่างลังเล
กลิ่นเลือดผสมกับกลิ่นเหม็นที่อธิบายไม่ถูกโชยเข้าจมูกของหลงเยว่หงที่กลัวจนไม่กล้ามองศพ ทำให้เขาเกือบอาเจียนออกมา
ซางเจี้ยนเย่าเดินไปถึงแล้วเริ่มสำรวจพื้นที่ก่อน จากนั้นก็เดินไปทางด้านหัวของศพซึ่งเป็นด้านใกล้กับบาดแผลจากปืน
“ให้ฉันแบกไหม” เขาพูดกับหลงเยว่หง
“เอ่อ…” หลงเยว่หงกำลังคิดจะบอกว่าปล่อยให้ซางเจี้ยนเย่าแบกศพไปเอง คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ฉันหมายถึงว่า อยากให้ฉันแบกนายหรือเปล่า” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลงเยว่หงหัวเราะแห้ง
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง”
เขาย่อตัวลงแล้วจับขาทั้งสองข้างของศพ
ซางเจี้ยนเย่าสอดมือใต้รักแร้ของคนไร้ใจ
เลือดหยดลงพื้น ทั้งสองช่วยกันอุ้มศพออกไปยังที่โล่งที่ริมขอบแสงไฟแล้วขุดหลุมฝังศพไว้ตรงนั้น
นี่ส่งผลต่อความอยากอาหารของหลงเยว่หง ทำให้เขากินเพียงแค่บิสกิตอัดแข็งหนึ่งชิ้นกับหมูย่างถั่วเหลืองครึ่งกระป๋อง
ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจัดตารางอยู่เวรกลางคืนเสร็จก็พลันมีเสียงหอนดังมาจากที่ไกล
“บรู๊ววว!”
เสียงหอนดังผ่านก้อนเมฆ มันแหบแห้งและอ้างว้างราวกับฝันร้ายในยามราตรี
ทันทีที่เสียงหยุดลง เสียงหอนอื่นก็พลันดังรับต่อกันเป็นทอดๆ จากหลายๆ พื้นที่ของบึงใหญ่ ดังต่อเนื่องอย่างไม่รู้จบ
หลงเยว่หงหวาดหวั่นเล็กน้อย อดถามไม่ได้
“ฝูงหมาป่าเหรอ”
“นายเคยเห็นฝูงหมาป่าที่ไม่ได้อยู่รวมกันในที่เดียวกันด้วยเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“แล้วที่สัตว์ป่าหอนไปทั่วบึงใหญ่แบบนี้มันเกิดขึ้นบ่อยไหม” หลงเยว่หงถามอย่างกังวล
เจี่ยงไป๋เหมียนส่ายหน้า ยังคงหัวเราะ
“ไม่ค่อยบ่อยหรอก”
“ละ…แล้วจะทำไงกันดี” หลงเยว่หงโพล่งถาม
เจี่ยงไป๋เหมียนมองเขาอย่างขบขัน
“นี่มันผิดปกติจริงๆ นั่นแหละ ในป่าส่วนลึกของบึงอาจมีอะไรเกิดขึ้น
“แต่ว่าจากพื้นที่และทิศทางแล้ว ไม่ได้อยู่ในเส้นทางหรือที่หมายเดียวกับเรา ไม่ต้องกังวลหรอก”
“ไม่ต้องกังวล” หลงเยว่หงมองดูซางเจี้ยนเย่าด้านข้าง แล้วเห็นว่าเขาไม่ได้รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย
ไป๋เฉินที่รับผิดชอบเฝ้าระวังรอบด้านพอได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นอย่างใจเย็น
“ในแดนร้างบึงดำมักจะเกิดเรื่องผิดปกติหรือเหตุไม่คาดฝันทุกๆ สองสามวันอยู่แล้ว จะมัวแต่ไปกังวลทุกเรื่องได้ไง
“แดนร้างกว้างขนาดนี้ โอกาสที่จะเจอเรื่องที่ส่งผลกับนายนั้นน้อยมากๆ”
“แต่ถ้ามันส่งผลขึ้นมาล่ะ” หลงเยว่หงถาม
ซางเจี้ยนเย่ามองกองไฟแล้วพูดขึ้น
“งั้นก็บอกได้เพียงแค่ว่าเป็นเพราะชื่อนายไม่ดี”
“…ก็จริง ชะตาไม่ดี ยังไงก็หลีกไม่พ้น ถ้าชะตาดีก็คงไม่ต้องมาเจอเรื่องพวกนี้หรอก” หลงเยว่หงกัดฟันพยักหน้า
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่เข้าใจเรื่องที่ทั้งคู่คุยกัน จะถามก็ไม่กล้า ทำได้เพียงแค่ยิ้ม
“เราอยู่ห่างจากพื้นที่เกิดเหตุตั้งเยอะ และยังไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะเตรียมตัวรับมือยังไง
“เราจะไม่ถอนตัวกลับบริษัทด้วยเรื่องแค่นี้ ตัวเลือกเดียวที่มีคือหลีกเลี่ยงบริเวณนั้น ยอมอ้อมไปไกลอีกหน่อย เส้นทางที่พวกเราเลือกใช้เดินทางแต่แรกก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
“เทียบกับเมื่อกี้แล้ว อันนี้ฟังดูมีเหตุผลกว่าเยอะ…” หลงเยว่หงคิดใคร่ครวญแล้วรู้สึกว่าที่หญิงสาวทั้งสองคนพูดมานั้นมีความหมายแบบเดียวกัน แต่ผลกระทบต่อความรู้สึกนี่คนละเรื่องกันเลย
เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินแล้วยิ้ม
“ดังนั้นต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจประเด็นของเรื่องต่างๆ
“ในแง่นี้ ซางเจี้ยนเย่านับว่าเก่งกว่านาย ดูสิ เขาไม่กังวลซักนิด”
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าเล็กน้อยและพูด
“ผมกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะเข้าร่วมดีหรือเปล่าน่ะ”
“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน มองอย่างงงๆ
ซางเจี้ยนเย่าอ้าปาก แล้วหอนออกมา
“บรู๊ววว!”