รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 166 ความวุ่นวาย
หลังจากโอดิคขว้างระเบิดมือออกไปไม่นานก็ตกอยู่ในสภาพจามต่อเนื่องไม่หยุด หลังจากนั้นก็หมดสติไปในเวลาอันสั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติที่ถนนใต้ เพียงแค่พอสังเกตเห็นได้อย่างเลือนลางเท่านั้น
และด้วยสถานการณ์เร่งด่วนเมื่อครู่นี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาย่อมไม่สนใจข้อมูลอื่นนอกเหนือจากเรื่องของเจ้าเมืองสวี่ลี่เหยียน
โอดิคส่ายหน้า
“เดี๋ยวผมถามให้”
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอีกครั้งแล้วกดหมายเลขอื่น
เจี่ยงไป๋เหมียนฉวยโอกาสนี้รีบนั่งยองลงไปสำรวจค้นร่าง ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมเพื่อดูว่าพอจะหาเบาะแสที่เป็นประโยชน์ได้หรือไม่
เพียงไม่นานเธอก็หยิบกระดาษโน้ตออกมาจากกระเป๋าของ ‘บาทหลวง’ ตัวปลอม
บนหน้ากระดาษเขียนทั้งตัวอักษรแดนธุลีและแม่น้ำแดง
“นี่คือใบอนุญาตผ่านทางที่เจ้าเมืองรับรองให้เป็นพิเศษ”
นอกจากข้อความนี้แล้ว บนหน้ากระดาษไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก อย่าว่าแต่ตราประทับเลย แม้แต่ลายเซ็นก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ
“เขาใช้ใบผ่านทางแบบนี้เข้าไปที่ถนนเหนืออย่างง่ายๆ เลยเนี่ยนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยความรู้สึกขบขัน
“แต่ก็ทำได้จริงๆ ด้วย” ซางเจี้ยนเย่าตาเป็นประกายราวกับว่าอยากจะลองหาเรื่องดู
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกอะไรบางอย่าง หันหน้ามาด่าเขาด้วยรอยยิ้ม
“อย่าพยายามเลย นายสะกดจิตไม่ได้สักหน่อย”
ถึงอยากจะทำ อย่างน้อยก็ต้องไปหาหัวไชเท้ามาแกะสลักปั๊มตราประทับลงไปสักหน่อยเถอะ
ถึงตอนนี้โอดิคก็วางสายแล้วหันมาพูดกับพวกเขา
“พวกคนเร่ร่อนที่นอกเมืองก่อจลาจล บุกเข้ามาในเมืองแล้ว ตอนนี้ทุกที่มีแต่ความวุ่นวาย”
“อย่างที่คิดเลย…” เจี่ยงไป๋เหมียนดึงวิทยุสื่อสารซึ่งเหน็บไว้ที่เข็มขัดขึ้นมา พยายามติดต่อไป๋เฉินและหลงเยว่หง
ทว่าไม่สามารถติดต่อได้
“อยู่นอกระยะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจแล้วหันไปพูดกับโอดิค “พวกเราต้องกลับไปที่ถนนใต้ไปตามหาเพื่อนน่ะ ไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างที่กำลังเกิดจลาจลอยู่”
โอดิคเข้าใจเป็นอย่างดี
“ขับรถผมไปเถอะ พาสองคนนี้ไปด้วย”
“ได้ แล้วจะคืนให้คุณได้ยังไงล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่มัวเกรงอกเกรงใจอะไรให้เสียเวลาอีก
“ถ้าจลาจลจบเร็วก็ขับรถไปไว้ที่สมาคม แต่ถ้าไม่ งั้นก็ไปที่คฤหาสน์เจ้าเมืองละกัน ในรถมีใบผ่านทางพิเศษอยู่” โอดิคตอบสั้นๆ
ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนไม่พูดอะไรอีก พวกเขาแบกเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยขึ้นหลังแล้วรีบวิ่งตรงไปที่ประตูทางเข้าของโรงพยาบาลเมืองหญ้าไพรแห่งที่หนึ่ง จากนั้นก็ใช้กุญแจรถที่โอดิคส่งให้ไขเปิดประตู ขึ้นรถแล้วขับออกไป
ในเวลานี้ยามคฤหาสน์ที่ส่งมาพื้นที่นี้ก็เดินทางมาถึงแล้ว
เนื่องจากมีใบผ่านทางพิเศษ ทั้งคู่จึงผ่านวงล้อมออกมาได้อย่างไม่ยาก ออกจากถนนเหนือตรงเข้าไปยังจัตุรัสกลาง
เมื่อไปถึงที่นั่นก็ได้ยินเสียงปืนอย่างชัดเจน มันดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง มีศพจำนวนนับไม่ถ้วนทอดร่างอยู่เกลื่อนพื้น มีทั้งผู้ใหญ่ เด็ก ผู้ชาย ผู้หญิง บ้างก็แต่งกายดี บ้างก็สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ บ้างก็เป็นซากศพไม่สมบูรณ์ บ้างก็เหมือนถูกบีบคอจนขาดใจตาย บางคนดูเหมือนยามเมือง บางคนถือปืนเหมือนนักล่าซากอารยะทั่วไป…
เลือดพวกเขาไหลนองเต็มท้องถนน ทำให้เห็นได้ว่าจำนวนกระสุนที่ถูกยิงออกมีมากมายเพียงไร
และก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่นั่งอยู่ข้างถนนปากตรอก ในปากมีขนมปังข้าวโพดยัดอยู่เต็ม มองดูความวุ่นวายด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่ได้เข้าไปร่วม แต่ก็ไม่ได้ไปขัดขวาง
เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าต่างพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่
จากนั้นไม่กี่วินาทีเจี่ยงไป๋เหมียนก็หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาอีกครั้ง พยายามติดต่อไป๋เฉินกับหลงเยว่หง
ครั้งนี้มีเสียงตอบรับดังขึ้น
“พวกเธออยู่ไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามรักษาความเยือกเย็นในน้ำเสียงเพื่อไม่ให้สมาชิกทีมเกิดความวิตกกังวล
เสียงไป๋เฉินดังออกมาพร้อมกับเสียงเอะอะหนวกหู
“พวกเรากำลังรีบไปที่ ‘ร้านปืนอาฝู’ น่ะ
“ตอนที่คนเร่ร่อนบุกเข้ามา พวกเรายังอยู่ที่ถนนตะวันออกก็เลยรีบซ่อนตัว
“ตอนนี้พวกคนเร่ร่อนที่ก่อจลาจลที่บุกเข้ามาชุดแรกแยกย้ายกันไปหมดแล้ว คนไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่เดียวกันอีก เราก็เลยวางแผนว่าจะขนพวกวัตถุปัจจัยในห้องย้ายมาเก็บในรถจี๊ปแล้วขับไปรับพวกคุณ จากนั้นก็ออกนอกเมืองไปก่อนโดยใช้ประตูเมืองด้านทิศตะวันออก รอจนกว่าสถานการณ์จะสงบลงค่อยกลับเข้ามาใหม่”
“ดีมาก งั้นเดี๋ยวเจอกันที่ตรอกข้าง ‘ร้านปืนอาฝู’ ก็แล้วกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนชมเชยออกมาคำหนึ่งแล้วหันไปส่งสัญญาณให้ซางเจี้ยนเย่าขับรถออฟโรดสีแดงของโอดิคไปที่ถนนใต้
เสียงดังแคร้งแคร้งขึ้นเป็นครั้งคราว เป็นเสียงลูกกระสุนที่ปลิวว่อนมากระทบเข้ากับแผ่นเหล็กหนาและกระจกกันกระสุนที่ติดตั้งไว้ที่รถ
สถานการณ์ของถนนใต้นั้นรุนแรงยิ่งกว่าที่จัตุรัสกลาง ริมถนนมีเลือดท่วมไหลนองเต็มไปหมด
มีคนมากมายนอนตายเกลื่อนถนน มีศพอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง บ้างก็นอนตายตาไม่หลับ ในสายตาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและความคับข้องใจ
นานครั้งก็ได้เห็นคนที่ยังไม่ตายสักคนสองคน แต่ส่วนใหญ่ล้วนใกล้เสียชีวิตเต็มที ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดตามสัญชาตญาณ
เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดตามองดูแล้วชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
“ไปที่นั่น”
นั่นเป็นร้านอาหารร้านแรกที่พวกเขามากินหลังจากเดินทางมาถึงเมืองหญ้าไพร
‘ร้านบะหมี่เจ้าเก่า’
ในตอนนั้น เถ้าแก่ร้านที่พูดด้วยสำเนียงที่หลากหลาย รวมทั้งการยืนหยัดเรื่องยืมหนังสือจากห้องสมุดเพื่อมาสอนหลานให้อ่านเขียน จึงทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ เกิดความประทับใจ
เช่นเดียวกับที่บะหมี่พริกคั่วน้ำมันอันแสนอร่อยนั่นสร้างความประทับใจไว้ให้เช่นกัน
ในเวลานี้ ร้านบะหมี่ตกอยู่ในสภาพพังเละเทะ โต๊ะเก้าอี้ล้มเกลื่อนร้าน
เถ้าแก่ร้านซึ่งมีจอนผมสีขาวนอนหงายอยู่บนพื้น หน้าผากมีรูขนาดใหญ่ เสื้อผ้าสีแดงของเขามีเลือดชุ่ม ไร้ซึ่งชีวิตอีกต่อไป
ด้านหลังของเขานั้นเป็นมุมห้อง มีเด็กชายตัวน้อยอายุเจ็ดแปดขวบนั่งยองตัวสั่นราวลูกนกอยู่ที่นั่น
หนังสือหลายเล่มที่ส่วนใหญ่มีภาพประกอบหล่นกระจัดกระจายอยู่รอบตัว
อีกด้านหนึ่งของร้านบะหมี่ มีคนสองคนนั่งร่วมโต๊ะกันอยู่ ซึ่งเป็นโต๊ะตัวเดียวภายในร้านที่ไม่ได้ล้มคว่ำ
คนหนึ่งเป็นชายอายุประมาณสามสิบ อีกหนึ่งเป็นเด็กหญิงอายุเจ็ดแปดขวบ
พวกเขาก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ชามใหญ่ เพิกเฉยต่อเสียงปืนและความวุ่นวายภายนอกโดยสิ้นเชิง
หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่าหยุดรถ เจี่ยงไป๋เหมียนก็รีบเปิดประตูกระโดดลงไปทันที เธอยกมือขึ้นเล็งปืนใส่ชายที่กำลังกินบะหมี่อยู่ ในระหว่างนั้นก็รีบเดินเข้าไปหาเถ้าแก่ร้านบะหมี่และเด็กชายตัวน้อยที่อยู่ด้านหลัง
เธอไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมก็สามารถระบุได้ว่าเถ้าแก่ร้านเสียชีวิตไปแล้วโดยตัดสินจากสัญญาณไฟฟ้า
ชายที่กำลังกินบะหมี่อยู่รีบกวาดใบหอมสีเขียวที่เหลืออยู่ในชามเข้าปากอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เลียปลายตะเกียบแล้วยืนขึ้นโดยอัตโนมัติ ขวางเด็กหญิงเอาไว้ที่ด้านหลัง
เด็กหญิงตัวน้อยใบหน้าสกปรกมอมแมม แต่แววตาสดใส
เธอไม่ได้หยุดปาก รีบสูดบะหมี่เข้าไปอีกสองคำจากสามคำที่เหลืออยู่
ซางเจี้ยนเย่าจำชายคนนี้ได้ เขามีผิวสีเข้ม ใบหน้าสี่เหลี่ยมดูสัตย์ซื่อ เขาเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างที่ก่อนหน้านี้ตอบคำถามของโอดิคว่า ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมนั้นอยู่ที่ไหน
เมื่อเห็นปืนของเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเล็งมาที่ตน คนเร่ร่อนแดนร้างผู้นั้นก็เผยรอยยิ้มที่อัปลักษณ์ยิ่งกว่าร้องไห้ออกมา
“ยิงฉันสิ ฆ่าฉันเลย
“เขาไม่ยอมให้พวกเรากิน ฉันก็เลยต้องแย่งอาหารมา แล้วก็ทำกินเอง…
“ไม่งั้นก็หิวตายแล้ว”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าเขาก็บิดเบี้ยวเล็กน้อย เสียงก็ดังมากยิ่งขึ้น
“ทุกคนล้วนแต่เป็นมนุษย์กันทั้งนั้น แล้วพวกเราไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่องั้นเหรอ
“พวกเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันนะ แล้วทำไมถึงต้องให้เราอดตายด้วย”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูเขาและเด็กหญิงตัวน้อยด้านหลังที่กำลังวางชามวางตะเกียบลงอย่างไม่ยินยอม เวลาผ่านไปครู่หนึ่งทว่ากลับเหนี่ยวไกไม่ลง
สองสามวินาทีต่อมาก็มีเสียงดังปัง ชายคนนั้นล้มลง เลือดพุ่งออกจากหน้าอก
คนที่ยิงออกไปคือซางเจี้ยนเย่า
เด็กหญิงตัวน้อยมองดูภาพนี้อย่างเฉยชา ไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้ตะโกน
เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้ามามองดูซางเจี้ยนเย่า เห็นเขาใช้สองมือถือปืนเอาไว้มองตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตาแล้วออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว
“พาเด็กทั้งคู่ไปด้วย แล้วไปรวมตัวกับเสี่ยวไป๋”
ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ เด็กทั้งคู่คงไม่อาจรอดชีวิตภายใต้สถานการณ์วุ่นวายแบบนี้ไปได้
เอาไว้รอให้เมืองหญ้าไพรสงบลงก่อนแล้วค่อยคิดหาวิธีว่าจะเอายังไงต่อดี
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะแล้วอุ้มเด็กทั้งสองขึ้นรถออฟโรดสีแดง คนหนึ่งเบียดกับเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟยที่หมดสติอยู่ที่เบาะหลัง ส่วนอีกคนเข้าไปที่นั่งข้างคนขับ นั่งข้างๆ เจี่ยงไป๋เหมียน
เด็กทั้งคู่ไม่ร้องไห้ ไม่ขัดขืน พวกเขาดูหวาดกลัว
“คุณปู่ คุณปู่!”
“พ่อจ๋า พ่อจ๋า!”
* * * * *
ในตรอกที่ ‘ร้านปืนอาฝู’ ตั้งอยู่
หลงเยว่หงเหวี่ยงแขนขวาออกไปแล้วลั่นไก
ปัง!
คนเร่ร่อนซึ่งไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหน เขากำลังเหวี่ยงมีดไปมาก็พลันล้มลงกับพื้น ร่างกายชักกระตุก
เมื่อเทียบกับตอนต้นที่เริ่มเกิดความวุ่นวายโกลาหลแล้ว ในตอนนี้หลงเยว่หงสงบใจลงได้มากแล้ว
คนเร่ร่อนแดนร้างที่ตกตายด้วยน้ำมือของเขานั้นแม้ไม่ถึงสิบคน แต่ก็ราวเจ็ดแปดคน
หลังจากที่เขากับไป๋เฉินออกมาจากที่ซ่อนในถนนตะวันออก พวกเขาก็เลือกเส้นทางที่มีคนน้อยที่สุดเพื่อกลับมาที่ ‘ร้านปืนอาฝู’ แต่ถึงแม้อย่างนั้นระหว่างทางก็ยังพบพานกับคนเร่ร่อนไม่น้อยที่มีดวงตากระหายเลือด และโจรท้องถิ่นซึ่งฉวยโอกาสจากความวุ่นวาย
หลังจากที่ตื่นตระหนกในตอนแรก จากนั้นหลงเยว่หงก็พบว่าการยิงของคนพวกนี้ไม่นับเป็นอย่างไรได้ ฝีมือก็ใช่ว่าจะดี ขอเพียงหลบเหลี่ยงเผชิญหน้ากับฝูงชน ไม่พรวดพราดเข้าไปในสถานที่ซึ่งมีกระสุนปลิวว่อน ตนเองกับไป๋เฉินร่วมมือกันก็สามารถรับมือได้อย่างสบาย
เรื่องเดียวที่ต้องกังวลก็คือกระสุนที่พกไว้ร่อยหรอเต็มที ยังไม่มีเวลาจะบรรจุใหม่
แต่ก็ใช่ว่าระหว่างทางจะไม่มีอันตรายใดๆ เพราะหลงเยว่หงกับไป๋เฉินเพิ่งได้พบกับกลุ่มของกองกำลังป้องกันเมืองที่มาเก็บกวาดพวกคนเร่ร่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนพวกนั้นกำลังตึงเครียดจนตอบสนองเกินเหตุ ทำเหมือนพวกเขาเป็นพวกก่อจลาจล หรือเป็นเพราะเห็นว่าพวกเขามีกันอยู่เพียงแค่สองคน สามารถลงมือกำจัดได้ไม่ยากเย็น
โชคดีที่คนกลุ่มนั้นมีเพียงห้าคน และไป๋เฉินก็มองเห็นเจตนาของพวกเขาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ หลังจากยิงกันไปรอบหนึ่ง พวกนั้นก็ทิ้งสองศพไว้ข้างหลังแล้วถอยไปที่ตรอกอื่น
นี่ทำให้หลงเยว่หงรู้สึกกลัวอยู่บ้างและใจเต้นอยู่เล็กน้อย
นั่นเพราะหนึ่งในกองกำลังป้องกันเมืองกลุ่มนั้นถูกเขาสังหารด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว
สำหรับเขาแล้วนับว่าเป็นผลงานที่น่าประทับใจมาก
หลังจากไป๋เฉินเข้าไปใน ‘ร้านปืนอาฝู’ และกวาดตาสำรวจแล้ว หัวใจเธอพลันจมดิ่งลงทันที
ปืนที่เอาไว้ขายนั้นหายไปหลายกระบอก ข้าวของภายในร้านระเนระนาดไปหมดราวกับมีคนมาปล้นร้าน
และเกือบในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงปืนดังมาจากชั้นบน
เสียงนั้นดังบ้างหยุดบ้าง ทำให้รู้สึกเหมือนถูกบีบรัดหัวใจ
“น้าหนาน…” หลงเยว่หงมองไป๋เฉินแล้วเอ่ยชื่อหนึ่งออกมา
ไป๋เฉินผงกศีรษะโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“พวกเราขึ้นไปดูกันเถอะ”
พูดจบก็เสริมอีกหนึ่งประโยค
“ในห้องยังมีวัตถุปัจจัยของพวกเราอยู่อีกไม่น้อย”
“ตกลง” หลงเยว่หงไม่ได้แย้ง เขาเก็บ ‘มอสน้ำแข็ง’ ที่ลำกล้องค่อนข้างร้อนเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนเป็นปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ ซึ่งมีกระสุนบรรจุอยู่เต็ม
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงประตูด้านหลัง ‘ร้านปืนอาฝู’ ก็มองลอดรูกระสุนปืนที่ยิงทะลุบานประตูเพื่อให้แน่ใจว่ารถจี๊ปยังจอดอยู่ที่เดิม
เห็นได้ว่าพวกคนเร่ร่อนแดนร้างที่กรูเข้ามาที่นี่ยังไม่ได้สนใจรถเป็นการชั่วคราว ดังนั้นพวกเขาก็เลยไม่เห็นวัตถุปัจจัยจำนวนมากที่ซ่อนไว้ท้ายรถ
หลังจากที่เลี้ยวขึ้นบันไดไป ในครรลองสายตาของหลงเยว่หงกับไป๋เฉินก็มองเห็นซากศพเรียงราย
ศพเหล่านั้นมีทั้งหญิงทั้งชาย นอนคว่ำนอนหงาย ทั้งหมดล้วนถูกยิงเสียชีวิต
ไป๋เฉินมองกวาดสำรวจคร่าวๆ ไปรอบหนึ่งแล้วก็เร่งฝีเท้าขึ้นโดยอัตโนมัติ
ขณะใกล้ถึงชั้นสองก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง
ไป๋เฉินรีบก้มลง ค่อยๆ ขึ้นไปชั้นบนอย่างระมัดระวัง หลงเยว่หงก็เลียนแบบท่าทาง ตามหลังไปติดๆ
พวกเขาเห็นชายห้าหกคนอยู่ในบริเวณหัวมุมถืออาวุธกำลังยิงปืนใส่คนในห้องบนชั้นสอง
ด้านหน้าพวกเขามีศพนอนกองกันอยู่หลายร่าง
ไป๋เฉินยกมือขึ้นโดยไม่ลังเล แล้วยิงไปที่คนซึ่งดูเหมือนเป็นคนเร่ร่อนแดนร้าง หลงเยว่หงเองก็ไม่ถามให้มากความ เคลื่อนไหวแบบเดียวกันทันที
ปัง! ปัง! ปัง!
ทั้งคู่ยิงประสานร่วมกับการยิงตอบโต้จากภายในห้อง ยิงจนกระสุนหมดเกลี้ยง กำจัดศัตรูเบื้องหน้าจนหมดสิ้น
“พวกเราเอง!” ไป๋เฉินรีบตะโกนเสียงดังออกมา
เสียงน้าหนานดังขึ้น
“รีบขึ้นมาเร็ว!”
ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงรีบขึ้นไปโดยเร็ว มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งซ่อนตัวอยู่ภายในห้องนั้น มีน้าหนาน มีหุ้นส่วนของ ‘ร้านปืนอาฝู’ กู่ฉางเล่อ และหญิงขายบริการซึ่งอายุอานามแตกต่างกันไป พวกเขาหลบอยู่ในห้อง หวาดกลัวตัวสั่นกันอยู่บ้าง
และที่บานประตูนั้น มีอานหรูเซียงคอยปกป้องไว้ไม่ให้คนเร่ร่อนบุกฝ่าเข้าไปได้
นักล่าซากอารยะและ ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ผู้นี้ถือปืนพกของตัวเองนั่งคุกเข่าข้างเดียวเอนร่างพิงผนังห้อง สีหน้าเธอยังคงเฉยเมยเฉกเช่นเคย ดูสงบเยือกเย็นอย่างยิ่ง
อาฝูผู้เป็นน้องชายของน้าหนานทำหน้าที่บรรจุลูกกระสุนและส่งปืนให้
เมื่อเห็นไป๋เฉินกับหลงเยว่หงขึ้นมาถึง อานหรูเซียงก็ทรุดนั่งลงทันทีพลางหอบหายใจแรง
บนใบหน้าของเธอปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น แลดูสะอาดบริสุทธิ์