รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 188 ข่มขู่
คำเตือนของเลห์แมนไม่ได้ทำให้ซางเจี้ยนเย่าอับอายหรือเกิดโทสะแต่อย่างใด เขากลับให้คำแนะนำกลับไปอย่างจริงจัง
“ถ้าพวกคุณเข้าร่วมด้วย พวกเราก็จะไม่ได้มีแค่สี่คนแล้ว”
เมื่อเขาพูดมาจนถึงประโยคนี้ก็หันหน้ากลับมามองเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยความกระหายใคร่อยากลองอย่างเต็มเปี่ยม
เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจดีว่าเขาต้องการถามว่าอยากจะให้ ‘สร้างเพื่อน’ หรือเปล่า เธอคิดอยู่สองวินาทีก่อนจะส่ายหน้าสั่นศีรษะ
ตอนนี้ยังไม่จำเป็น
หลังจากที่ออกมาจากบริเวณที่เลห์แมนและลูกน้องพักอยู่ คณะ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนก็เตรียมมุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไป
นั่นคือ ‘เขตตึกเตี้ย’ ที่อยู่ใกล้ซากเมืองริมทะเลสาบ
บัซ หนึ่งในลูกน้องคนสนิทของเฮลเว็กพักอยู่แถวนั้น เขาอยู่ในเหตุการณ์การปล้นอาวุธตั้งแต่ต้นจนจบ
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะออกจากย่านที่พักของโรงแรม ซางเจี้ยนเย่าก็เกิดอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา พวกเขาจึงต้องกลับไปยังห้อง ‘05’ และ ‘06’ ก่อน
แต่พอเปิดประตูออก เจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งปลิวอยู่บนพื้น
มันมีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย บนนั้นเขียนตัวหนังสือภาษาแดนธุลีไว้หนึ่งแถว
‘อย่าหาเรื่องใส่ตัว!’
“ไม่มีคำไหนสะกดผิด” ซางเจี้ยนเย่าหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมา มองดูอย่างประหลาดใจ
“ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องเป็นคนของนิกายทอนปัญญาสักหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนคว้ากระดาษมาแล้วเอามาส่องดูกับแสงอาทิตย์ในฤดูหนาว
หลังจากที่ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงจัดการปัญหาด้านกายภาพในห้องตนเองเสร็จแล้วเดินออกมา เธอก็ส่งกระดาษแผ่นนั้นให้พวกเขา จากนั้นถามด้วยรอยยิ้ม
“มีความเห็นอะไรบ้างไหม”
“นี่ทำเพื่อไม่ให้เราสืบหาสาเหตุการตายของเฮลเว็ก หรือว่าเพื่อไม่ให้พวกเราตามหาอาวุธที่ถูกปล้นไปกันแน่” หลงเยว่หงทำตามวิธีการที่หัวหน้าทีมเคยสอนไว้ ค่อยๆ วิเคราะห์ไปทีละขั้นทีละขั้น
“ถ้าหากเป็นประเด็นหลัง ก็หมายความว่าพวกโจรน่าจะอยู่ในชุมชนศิลาแดง ไม่อย่างนั้นพวกมันก็คงจะถอนตัวออกไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว จากนั้นก็ค่อยส่งคนมาสักคนสองคนเพื่อหารือเรื่องการค้า ไม่จำเป็นต้องข่มขู่พวกเราเลยสักนิด
“แต่ถ้าเป็นประเด็นแรก ผมก็รู้สึกว่ามันจะเร็วเกินไปหน่อยไหม พวกเรายังไม่ทันจะได้พบเบาะแสอะไรสักอย่าง ควรจะไปเตือนหานวั่งฮั่วสำนักงานรักษาความสงบฯ มากกว่าจะมาขู่เรา”
แปะ! แปะ! แปะ!
ซางเจี้ยนเย่าที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ ตบมือให้อย่างตื่นเต้นพร้อมแสดงสีหน้ายกย่องชื่นชม
เสียงตบมือนี้ทำให้หลงเยว่หงทั้งรู้สึกดีใจและรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยด้วย
“ไม่เลว” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มและกล่าวชมเชย “ในที่สุดนายก็เริ่มวิเคราะห์ปัญหาขึ้นมาได้บ้างแล้ว”
พูดจบเธอก็หันไปมองไป๋เฉิน
“เธอคิดว่าไง”
ไป๋เฉินเพิ่งจะล้างหน้ามาจึงยังไม่ได้สวมหน้ากาก เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ฉันรู้สึกว่ามันดูแปลกๆ
“มันเร็วเกินไป… ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ก็ได้”
ความหมายของเธอก็คือยังไม่มีความจำเป็นที่จะส่งคำเตือนมาให้พวกตนในตอนนี้
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มออกมา
“ใช่แล้ว
“พวกเรามีกันทั้งหมดแค่สี่คน และมีเพียงคนเดียวในกลุ่มที่เป็น ‘นักล่าชั้นกลาง’ แถมยังไม่ได้เจอเบาะแสอะไรที่เป็นประโยชน์แม้แต่นิดเดียว ทำไมถึงรีบมาขู่พวกเราขนาดนี้
“เมื่อกี้พ่อค้าอาวุธเลห์แมนก็เพิ่งจะพูดไปไม่ใช่เหรอ ด้วย ‘ความแข็งแกร่ง’ ของพวกเรา ควรรีบยกเลิกภารกิจตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วไปหาภารกิจอื่นทำแทนดีกว่า”
เพียะ!
ซางเจี้ยนเย่าใช้กำปั้นขวาทุบลงไปบนฝ่ามือซ้าย
“ผมเข้าใจแล้ว!”
“เข้าใจอะไรของนายกันยะ” เจี่ยงไป๋เหมียนทั้งฉุนทั้งขบขัน
ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“พวกมันมองการปลอมตัวของเราออก รู้ว่าพวกเราคือ ‘ทีมกอบกู้โลก’ ที่ถูกส่งมาจากสุดยอดจอมวายร้าย ‘ผานกู่ชีวภาพ’
“พวกมันหวั่นเกรงความแข็งแกร่งของพวกเรา ไม่กล้าต่อสู้เผชิญหน้ากับพวกเรา ก็เลยทำได้เพียงแค่ส่งคำเตือนมาเท่านั้น”
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจยาว
“ท่านประเมินฝีมือพวกเราสูงส่งเกินไปแล้ว”
เธอเจตนาใช้คำพูดยกย่องให้เกียรติ
จากนั้นเธอก็พูดต่ออย่างไม่ได้จริงจัง
“ถึงแม้ว่าแต่ละสาขาของสมาคมนักล่านั้นจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเป็นระยะก็จริง แต่กว่าวีรกรรมที่พวกเราสร้างไว้ที่เมืองหญ้าไพรจะเดินทางมาถึงนี่ก็ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่แหละ
“และนอกจากนั้น ภาคีภราดรภาพแห่งซางเจี้ยนเย่าสาขาเมืองหญ้าไพรก็น่าจะยังทำงานเป็นปกติดีอยู่ จึงย่อมไม่มีใครรู้ว่าพวกเราทำอะไรลงไป”
ในฐานะคนที่ดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งสามารถตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าได้ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าภายในห้อง ‘05’ ‘06’ และบริเวณใกล้เคียงนั้นไม่มีสิ่งของจำพวกเครื่องดักฟังติดตั้งอยู่
“และสุดยอดจอมวายร้ายก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรื่องการกอบกู้โลกตรงไหนด้วย…” หลงเยว่หงบ่นพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่ามีโอกาสเถียง เจี่ยงไป๋เหมียนก็ ‘บ่น’ ต่อทันที
“ใช่แล้ว นายนี่ทำเอาความคิดฉันสะดุดกึกไปเลย
“อืม… พวกเราถูกเตือนทั้งๆ ที่ยังไม่จำเป็นต้องมาขู่เราในตอนนี้ นี่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าเหมือนเป็นการปกป้องพวกเราอยู่เหมือนกัน”
“ปกป้องเหรอ…” หลงเยว่หงผงะไป
เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายอย่างยิ้มแย้ม
“คำอธิบายโดยละเอียดก็คือ เห็นว่าพวกเราอ่อนแอเกินไป เกรงว่าหลังจากที่พวกเราเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ในวังวนนี้แล้วอาจจะรับผลที่ตามมาไม่ไหว ก็เลยเตือนเราล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เราเข้าไปข้องแวะด้วย
“อ้อ… นอกจากนั้นก็ยังมีความเป็นไปได้อีกสองอย่าง อย่างแรก ความขัดแย้งได้ทวีความรุนแรงมากจนถึงระดับหนึ่งแล้ว หากมีกองกำลังจากภายนอกเข้ามาร่วมด้วยก็จะทำให้ความสมดุลเสียไป ดังนั้นพวกเขาจึงต้องระวังไว้ก่อน แต่เมื่อดูจากปฏิกิริยาของเทเรซ่าและการตัดสินใจเลือกของเธอ ความเป็นไปได้ในประเด็นนี้จึงค่อนข้างต่ำ
“อย่างที่สอง คนที่ส่งจดหมายเตือนฉบับนี้มาก็เพื่อใส่ร้ายใครบางคน หากว่าเกิดอะไรขึ้นมา ต่อให้เราไม่ได้เปิดเผยว่าถูกข่มขู่ก็ตาม แต่ก็ต้องมีคนมาสอบถามและสืบสวนอยู่ดี เมื่อถึงตอนนั้นเบาะแสก็จะถูกส่งไปถึงหน้าประตูด้วยตัวมันเอง”
หลงเยว่หงฟังแล้วรู้สึกประทับใจมากจนอดถอนหายใจอยู่ในใจไม่ได้
เฮ้อ… ฉันได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมแล้วก็ยังสูงแค่ 175 สมองฉันกับสมองหัวหน้าก็ต่างระดับราวฟ้ากับเหว อ้อ เธอได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมมานี่นา งั้นไม่ต้องเทียบแล้ว เอามาเทียบกันไม่ได้…
“ถ้าเป็นอย่างแรก งั้นทำไมต้องปกป้องพวกเราด้วยล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่ารีบตอบอย่างจริงจังตัดหน้าเจี่ยงไป๋เหมียน
“เพราะว่าฉันสูง 185 หน้าตาก็ดูดี…”
“พอเลย!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบหยุดการพล่ามของอีกฝ่ายทันที
เธอยิ้มแล้วพูดมาหนึ่งประโยค
“อาจเป็นเพราะว่าครั้งแรกตอนที่พวกเราเข้าไปที่ชุมชนศิลาแดงนั้นพวกเราไม่ได้ปลอมตัว พอมองก็รู้เลยว่าเราเป็นคนแดนธุลี ไม่สิ… เป็นคนภาษาธุลี”
หลงเยว่หงมองดู ‘จดหมายเตือน’ ในมือตนเองด้วยความประหลาดใจ แล้วในตอนนี้ก็เพิ่งตระหนักว่าบนนั้นมีเพียงแค่ภาษาแดนธุลีเท่านั้น ไม่มีภาษาแม่น้ำแดงเขียนไว้
เขาพยักหน้าครุ่นคิด
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง…”
* * * * *
‘เขตตึกเตี้ย’ ในซากเมืองที่ชุมชนศิลาแดงตั้งอยู่นั้นเป็นลานที่มีอาคารตั้งอยู่เรียงราย เป็นอาคารสามชั้นสี่ชั้นที่มีสนามและรั้วล้อมรอบ
ก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลายลงไป ที่นี่มีชื่อเรียกอย่างอื่น ทว่ามันถูกลืมเลือนไปนานมากแล้ว ไม่มีใครเรียกด้วยชื่อนั้นอีกแล้ว
ทั่วทั้งชุมชนศิลาแดงเกรงว่าคงมีเพียงแค่ดิมาร์โก้ที่อยู่ใน ‘นาวาบาดาล’ เท่านั้นที่ยังคงจำได้ หรือไม่ก็เป็นข้อมูลที่มีอยู่ในบันทึกของตระกูลเขา
จากคำอธิบายของเทเรซ่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ จึงได้พบกับต้นไม้โบราณที่ผ่านกาลเวลาแห่งประวัติศาสตร์มาหลายร้อยปีและถูกฟ้าผ่าใส่อย่างน้อยสองครั้ง
ด้านหลังของต้นไม้โบราณมีอาคารสูงสามสี่ชั้น มีสนามและรั้วเช่นกัน
เจี่ยงไป๋เหมียนลงจากรถ เดินมาที่ประตูแล้วกดกริ่ง
ผ่านไปเกือบนาทีเต็ม เสียงของผู้ชายก็ดังออกมาจากลำต้นของต้นไม้โบราณซึ่งดูเหมือนว่าตายไปนานแล้ว
“พวกคุณมาหาใคร”
สายตาของเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าจับจ้องตำแหน่งนั้นไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
“พวกเราเป็นนักล่าซากอารยะที่รับภารกิจตามหาอาวุธที่ถูกปล้น” ไป๋เฉินซึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งคนขับรถหันหน้าไปทางต้นไม้โบราณตอบด้วยเสียงดัง “คุณนายเทเรซ่าให้พวกเรามา”
“รอสักครู่” เสียงของผู้ชายในต้นไม้เงียบไปครู่หนึ่ง
รออีกสองสามนาทีถัดมา เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็มองไปยังอาคารอีกหลังซึ่งมีสนามและรั้วกั้น
ทันใดนั้นแผ่นไม้ที่รั้วก็ยกตัวขึ้น เผยให้เห็นรูขนาดใหญ่
ด้านหลังของรูนั้นไม่ใช่สวน ทว่าเป็นทางเดินสายหนึ่งซึ่งลึกเข้าไป
วินาทีถัดมา ชายคนหนึ่งก็คลานออกมาจากรูใหญ่นั้น
เขาสวมหน้ากากเหล็กสีดำที่สะท้อนประกายโลหะ ผมสีป่านของเขายุ่งเหยิงเป็นกระเซิงประหนึ่งว่าไม่ได้หวีมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
เขาเพิ่งจะลุกขึ้นมายืนตั้งหลักได้ก็พลันเห็นหน้ากากวานรแยกเขี้ยวแสยะยิ้ม
ซางเจี้ยนเย่ารีบพุ่งเข้าไปหาทันที
“หยุดก่อน! ห่างกันไว้คือสหายที่ดี!” ชายในหน้ากากเหล็กสะดุ้งเฮือก รีบกระโดดถอยไปด้านข้างสองสามก้าว
“หน้ากากคุณกันกระสุนได้ไหม” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความสงสัย
“ไม่ได้” ชายในหน้ากากเหล็กตอบคำอย่างงุนงง
“อ้อ” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ขยับเข้ามาใกล้
“คุณคือบัซใช่ไหม”
“ใช่” บัซผงกศีรษะ
“เมื่อกี้คุณเป็นคนพูดเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ
“ใช่” บัซเริ่มสงสัยว่าอีกฝ่ายนั้นมีปัญหาเรื่องหูหรือไง
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกทึ่งขึ้นมา
“คุณขุดโพรงเอาไว้หลายโพรงแล้วก็เชื่อมต่อเส้นทางพวกนี้เข้าด้วยกันนะเหรอ”
“ผมเรียนรู้มาจากพวกคนภาษาธุลีน่ะ” บัซพูดอย่างภาคภูมิใจ “มีโพรงอยู่ที่ไหนก็มีทางออกอยู่ที่นั่น ไม่มีใครจะขังผมได้! แถมยังทำให้ผมมุดไปโผล่หลังศัตรูแล้วยิงมาจากจุดที่พวกเขาคาดไม่ถึงได้ด้วย”
“ยอดเยี่ยมมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนชื่นชมออกมาหนึ่งประโยค “ดูจากโครงสร้างทางธรณีวิทยากับสภาพดินของที่นี่ การขุดรูน่าจะไม่ง่ายเท่าไหร่”
“พวกเรามีเครื่องมือที่ได้มาจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ น่ะ” บัซถือโอกาสถามขึ้น “สนใจไหมล่ะ ถ้าเอาไปขุดหลุมในเขตสงครามเนี่ย จะเก็บของมาได้ไม่น้อยเลยนะ”
“ก็ต้องรอให้พวกเราเอาอาวุธชุดนั้นกลับคืนมาและได้รับค่าตอบแทนก่อนน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยรอยยิ้ม “และนอกจากนี้นะ ในสงครามของจริงเนี่ย อาจจะเจอพวกบังเกอร์บัสเตอร์[1] หรือระเบิดเทอร์โมบาริกตอนไหนก็ได้ การซ่อนตัวอยู่ในป้อมปราการใต้ดินตลอดเวลาอาจไม่ใช่เรื่องดีก็ได้”
เธอเลิกพูดคุยสัพเพเหระ กลับมาเข้าเรื่องอย่างจริงจัง
“คุณได้เห็นหรือเปล่าว่าพวกโจรหน้าตาเป็นไง รู้ที่มาที่ไปพวกมันหรือเปล่า”
บัซส่ายหน้า
“พวกนั้นสวมหน้ากากกันทุกคน มีทั้งโม่งคลุมหัว ทั้งแว่นกันแดด”
พูดถึงตรงนี้เขาก็แค่นเสียง
“นี่น่ะทำให้เห็นได้ว่ามีปัญหา
“ถ้าเป็นโจรมาจากข้างนอก พอปล้นเสร็จก็เผ่นหนีไปแล้ว ทำไมต้องปลอมตัวซะเยอะแยะขนาดนั้นด้วย
“แถมยังถึงขนาดสวมโม่งคลุมหัวเพื่อไม่ให้ใครมองเห็นว่าสีผมเป็นยังไง…”
ซางเจี้ยนเย่าขัดจังหวะขึ้นมา
“ที่จริงแล้วใช้วิธีย้อมผมเอาก็ได้ ผมแนะนำมืออาชีพให้พวกคุณได้นะ แต่เขาอยู่ค่อนข้างไกลสักหน่อย…”
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตัดบทเขาทันที
“ดูเหมือนว่าคุณมีเป้าหมายแล้วสินะว่าใครน่าสงสัย”
“ต้องเป็นพวกคนภาษาธุลีนั่นแน่ๆ!” บัซพูดอย่างโมโห “ตอนนั้นผมกับพวกอีกสองสามคนตามรอยล้อรถไป เห็นพวกมันไปทางใต้ พอออกจากซากเมืองก็อ้อมกลับไปทางตะวันออกอีกที!”
พอพูดจบเขาก็อธิบายให้ฟังคร่าวๆ ว่าทางตะวันออกนั้นหมายถึงอะไร
‘นาวาบาดาล’ ของตระกูลดิมาร์โก้และโบสถ์ของนิกายตื่นตัวนั้นอยู่ทางเหนือของซากเมือง คนแม่น้ำแดงส่วนมากจะอยู่แถวๆ ทะเลสาบด้านตะวันตก พวกคนภาษาธุลีก็มักจะซ่อนอยู่ในอาคารฝั่งตะวันออกของซากเมือง ส่วนทิศใต้นั้นเป็นพวกลูกครึ่งอาศัยอยู่
สวนสาธารณะของชุมชนศิลาแดงนั้นอยู่กึ่งกลางค่อนไปทางตะวันตก
“อย่างนี้นี่เอง…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร “นอกจากเรื่องนี้แล้วคุณยังพบอะไรอีกไหม”
“ไม่มีแล้ว” บัซส่ายหน้าอีกครั้ง “อ้อ… มีเก้าคนที่ลงมือปล้น ความสูงพวกมันไม่มีอะไรสะดุดตา แต่ว่ามีคนเจ็ดแปดคนคอยซุ่มอยู่รอบด้าน…”
หลังจากถามรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เจี่ยงไป๋เหมียนก็ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง
“เราจะไปหาคนภาษาธุลีเพื่อตรวจสอบ”
หลังจากบอกลาบัซและขึ้นรถจี๊ปแล้ว หลงเยว่หงก็ถอนใจ
“ดูท่าแล้ว อาวุธพวกนั้นเหมือนจะถูกปล้นโดยพวกคนภาษาธุลีจริงๆ สินะ…”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองทางข้างหน้า หัวเราะออกมาเบาๆ
“การปลอมตัวมากขนาดนั้นก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำเพื่อปกปิดลักษณะของคนภาษาธุลีซักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะทำเพื่อปิดบังสีผมสีตาของคนแม่น้ำแดงก็ได้”
[1] บังเกอร์บัสเตอร์ (钻地弹) bunker buster เป็นระเบิดที่ออกแบบมาสำหรับเจาะทะลวงเป้าหมายที่ค่อนข้างแข็งหรือเป้าหมายที่อยู่ใต้ดินอย่างเช่นบังเกอร์ทหาร