รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 191 เก้าสิบหลี่คือครึ่งหนึ่งของระยะทางร้อยหลี่[1]
- Home
- รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)
- ตอนที่ 191 เก้าสิบหลี่คือครึ่งหนึ่งของระยะทางร้อยหลี่[1]
ห้องพักโรงแรมหมายเลข ‘05’
เจี่ยงไป๋เหมียนอยู่ที่เตียงตนเองนั่งมองซางเจี้ยนเย่า
“เป็นไงบ้าง ช่วงนี้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับโรคภัยมากขึ้นบ้างไหม”
ซางเจี้ยนเย่าวางหนังสือในมือลงแล้วพูดอย่างจริงจัง
“ผมพบว่าโรคส่วนใหญ่นั้นเกิดจากการติดเชื้อจากภายนอก ถ้าหากว่าเราคอยระวังตัวและปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด โดยปกติก็จะไม่ป่วย”
“อืม แนวคิดนี้ก็ไม่ได้มีอะไรผิดหรอกนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความเห็นออกมาหนึ่งประโยค
ซางเจี้ยนเย่านั้นเป็นพวกคิดแล้วก็ทำเลย ว่าแล้วก็นอนลงบนเตียงทันที ยกมือขึ้นมานวดขมับทั้งสองข้าง
* * * * *
ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ที่สะท้อนประกายระยิบระยับ เขาใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ เพื่อให้ตนเองเชื่อว่า ‘ฉันก็คือผานกู่ชีวภาพ’ ตามกลยุทธ์ครั้งก่อน จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนเกาะโรคภัย
ร่างในผ้าปูเตียงร่างแล้วร่างเล่าปรากฏขึ้นอย่างที่คาดไว้ ออกมากันอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มให้พวกเขา จากนั้นก็แยกร่างออกมานับไม่ถ้วนประดุจ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ที่มีพนักงานจำนวนมากมายเหนือคณานับ
ส่วนหนึ่งของร่างเหล่านี้รวมตัวเข้าด้วยกันแล้วกลายมาเป็นโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือครบครัน และแบ่งพื้นที่ออกเป็นเขตต่างๆ อย่างเช่นเขตปลอดเชื้อ เขตผู้ป่วย และดำเนินตามมาตรการควบคุมการแพร่เชื้ออย่างเข้มงวด
ส่วนซางเจี้ยนเย่าคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่นั้นต่างก็ทำหน้าที่ของตน บ้างก็เป็นซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากอนามัยและแยกร่างออกมาเพื่อให้เกิดความได้เปรียบด้านจำนวน พุ่งเข้าใส่ร่างที่คลุมผ้าปูเตียงแล้วจับกดลงทีละร่าง จากนั้นก็จับมัดไว้กับเปลสนามซางเจี้ยนเย่า
บ้างก็เป็นซางเจี้ยนเย่าที่ยกเปลสนามขึ้นแล้วรีบกุลีกุจอแบกเข้าไปในโรงพยาบาลซางเจี้ยนเย่า จากนั้นก็ทำตามขั้นตอน ส่งร่างที่คลุมด้วยผ้าปูเตียงสีขาวไปที่เขตผู้ป่วย
บ้างก็แปลงร่างเป็นคุณหมอซางเจี้ยนเย่า ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อซางเจี้ยนเย่าแล้วสวมหน้ากากอนามัยซางเจี้ยนเย่า แว่นป้องกันซางเจี้ยนเย่า และชุดป้องกันซางเจี้ยนเย่า เดินเข้าไปในเขตผู้ป่วยพร้อมกับพยาบาลซางเจี้ยนเย่า จากนั้นก็ใช้ยาซางเจี้ยนเย่าฉีดเข้าไปเพื่อรักษาผู้ป่วย
ในระหว่างกระบวนการเหล่านี้ พวกยาฆ่าเชื้อซางเจี้ยนเย่า หน้ากากอนามัยซางเจี้ยนเย่า แอลกอฮอล์การแพทย์ซางเจี้ยนเย่า และชุดป้องกันซางเจี้ยนเย่าต่างก็ถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ดังนั้นคุณหมอซางเจี้ยนเย่ากับพยาบาลซางเจี้ยนเย่าจึงคงรักษาสุขภาพเอาไว้ได้ ไม่มีใครล้มป่วยลง
นี่ส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวมของซางเจี้ยนเย่าอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ร่างในผ้าปูเตียงสีขาวได้รับ ‘การรักษา’ ก่อนจะลุกลามแพร่เชื้อไปทั่วโรงพยาบาลได้สำเร็จ
นี่เป็นครั้งแรกที่ซางเจี้ยนเย่าอยู่ในสภาพที่ได้เปรียบ
หลังจากการเผชิญหน้ากันอย่างยาวนาน จำนวนของร่างในผ้าปูเตียงสีขาวก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดบนเกาะนั้นก็เหลือเพียงแค่ซางเจี้ยนเย่าเท่านั้น
เมื่อคุณหมอซางเจี้ยนเย่าและพยาบาลซางเจี้ยนเย่าได้เห็นเช่นนี้ต่างก็พากันถอนหายใจอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ ทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ซางเจี้ยนเย่า
ณ ขณะนี้พวกเขาต่างก็รู้สึกเหนื่อยล้าหมดสิ้นเรี่ยวแรง
ความเหนื่อยล้านี้ทำให้ร่างกายพวกเขาอ่อนแอเป็นอย่างมาก ประหนึ่งว่าภายในร่างพวกเขากำลังมีอะไรบางอย่างเติบโตขึ้นมา
คุณหมอซางเจี้ยนเย่าและพยาบาลซางเจี้ยนเย่าต่างเงยหน้าขึ้นมามองสบตากัน พบว่าเสื้อกาวน์สีขาวของอีกฝ่ายกลายเป็นผ้าปูเตียงสีขาวตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้
ผ้าปูเตียงสีขาวค่อยๆ ขยายขนาดขึ้นมาจนใหญ่แล้วห่อหุ้มร่างกายพวกเขาไว้ เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เงา
โรคภัยกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง
* * * * *
ซางเจี้ยนเย่าลืมตาผุดลุกขึ้นนั่ง หอบหายใจหนักหน่วงสองครั้ง
“เป็นไงบ้าง” เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งนั่งอยู่ที่เตียงตัวเองเอ่ยถามขึ้น
เธอนั่งเอนหลังพิงผ้าห่มที่พับไว้ ใช้หมอนหนุนศีรษะไว้ในแนวตั้ง
ดวงตาซางเจี้ยนเย่าเป็นประกายเล็กน้อยในขณะที่ตอบคำ
“เกือบชนะอยู่แล้วเชียว!”
“โอ้” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงน้ำเสียงเชิงคำถาม
ซางเจี้ยนเย่าจึง ‘อธิบาย’ ให้ฟังอย่างละเอียด
“พวกเราควบคุมการติดเชื้อไว้ได้แล้ว จัดการพวกมันจนหมดสภาพ เกือบจะกุมชัยไว้ได้อยู่แล้ว
“แต่สุดท้าย อีกเพียงแค่เอื้อม พวกเราก็เกิดป่วยขึ้นมาอีก”
“พอ พอ พอ!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบห้ามเขา “พอกลับมาในโลกความจริงแล้วก็อย่าใช้คำว่า ‘พวกเรา’ ตอนที่พูดถึงตัวเองสิ นี่มันจะทำให้อาการนายแย่ลง ต่อให้ในโลกแห่งจิตวิญญาณนายจะแยกร่างออกมามากเท่าไหร่ก็เถอะ แต่พอออกมานายก็เหลือแค่ร่างเดียวเท่านั้นแหละ”
“นั่นสินะ ถ้าหากแยกร่างในโลกจริงได้ก็คงดี” ซางเจี้ยนเย่าเห็นด้วย
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนมีไหวพริบมากพอจะไม่พัวพันกับเรื่องนี้ต่อเพื่อไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าเกิดความรู้ในเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นนี้มากขึ้น “ตอนสุดท้ายก่อนที่นายจะป่วยน่ะ รู้สึกยังไงบ้าง”
ซางเจี้ยนเย่าตอบ
“เหนื่อยมาก หมดสภาพสุดๆ ไม่เหลือเรี่ยวแรงเลย”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าครุ่นคิด
“การเจ็บป่วยไม่ใช่แค่มาจากการติดเชื้อโรคจากภายนอกเท่านั้น ยังสามารถเป็นโรคไม่ติดต่อซึ่งเกิดจากการทำงานผิดปกติของร่างกายได้อีกด้วย แล้วก็ยังมีการกลายพันธุ์ที่ร้ายแรงซึ่งเกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์
“เรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆ เช่นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม สภาพจิตใจ สภาพร่างกาย นิสัยความเคยชินและการพักผ่อนเองก็มีส่วน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพอป้องกันการติดเชื้อโรคจากภายนอกได้แล้วเราจะไม่เจ็บป่วย”
ซางเจี้ยนเย่าร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ผมก็คิดแบบนั้น”
การอ่านหนังสือของเขาในช่วงที่ผ่านมานี้ไม่ได้เสียเปล่า
“ถึงนายจะไม่ได้คิดแบบนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจ “ความกลัวภายในโลกแห่งจิตวิญญาณนั้นมันเกี่ยวข้องกับความรู้ความเข้าใจของนายอย่างลึกซึ้ง นี่ถ้าหากว่าจิตใต้สำนึกของนายเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดจากการติดเชื้อโรคจากภายนอกเท่านั้น ไม่แน่ว่าตอนนี้นายอาจจะเอาชนะเจ้าพวกผ้าปูเตียงนั่นและพิชิตเกาะนั้นไปได้แล้ว”
ซางเจี้ยนเย่าดวงตาเป็นประกาย
“งั้นผมจะลองพยายามไม่ให้ตัวเองคิดแบบนั้น”
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดกลั้วหัวเราะ
“ตอนนี้คงไม่น่าจะได้แล้วล่ะ ‘ตัวตลกชักจูง’ ของนายเพียงแค่หลอกลวงการรับรู้ในเชิงเปลือกนอกเท่านั้น ทำให้ละเลยความทรงจำบางอย่างไปโดยไม่รู้ตัว แล้วสมองก็ต่อเติมเหตุการณ์บางอย่างลงไป ไม่ได้จัดการกับความทรงจำอย่างแท้จริง จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความทรงจำและจิตสำนึกที่เกี่ยวข้อง
“แต่ว่าพวกเกาะต่างๆ ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ นั้นจะสะท้อนความทรงจำและจิตใต้สำนึกที่แตกต่างกันออกมา ต่อให้นายหลอกตัวเองยังไง แต่มันก็จะแสดงสถานการณ์ตามความเป็นจริงที่นายรู้อยู่ดี”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดอย่างครุ่นคิด
“ไม่รู้ว่าการดัดแปลงความทรงจำของ ‘บาทหลวง’ ตัวจริง กับผู้ตื่นรู้ในบริษัทที่ลบชิ้นส่วนความจำนั่นจะสามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้หรือเปล่า อืม… ในเมื่อไม่มีกลุ่มตัวอย่างมากพอแล้วก็ไม่ได้ทดลองซ้ำๆ ก็คงจะตัดสินไม่ได้ว่าพลังของพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงเนื้อหาความทรงจำได้จริงๆ หรือว่าเป็นเพียงแค่ทำให้เกิดการเข้าใจผิดในระยะยาวเท่านั้น”
ซางเจี้ยนเย่าฟังไป ฟังไป ก็หยิบกระดาษหยิบปากกาออกมาจดๆ เขียนๆ
“เขียนอะไรของนายน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนกลิ้งตัวลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้ามาหา
เมื่อตอนที่เธอเห็นแผ่นกระดาษได้อย่างชัดเจน ซางเจี้ยนเย่าก็เขียนหัวข้อเสร็จเรียบร้อยพอดี
‘แผนการจับบาทหลวงตัวจริง’
“…” รอยยิ้มของเจี่ยงไป๋เหมียนชะงักค้าง
เธอยกมือขึ้นมาบีบมุมปากทั้งสองข้าง
“ฉันคิดว่าถ้าเราอาศัยพลังพิเศษของคนอื่นมาสร้างกลอุบายในเรื่องนี้ มันอาจจะมีอันตรายร้ายแรงแอบแฝงอยู่ก็ได้
“เหตุผลที่ง่ายที่สุดก็คือ ถึงแม้ว่านายจะผ่าน ‘เกาะโรคภัย’ ไปแล้วก็ตาม แต่นายก็จะเจอ ‘เกาะความจำ’ ทันที นี่เกิดจากความหวาดกลัวในจิตใต้สำนึกของนายที่กลัวการดัดแปลงความทรงจำ
“ความทรงจำนั้นเป็นบุคลิกลักษณะที่สำคัญที่สุดของแต่ละคน ความกลัวที่เกิดจากแง่มุมนี้น่าจะมากกว่าความกลัวโรคภัยไข้เจ็บนับสิบเท่า ไม่มีทางจะเอาชนะมันได้ แล้วพอนายเลิกดัดแปลงความทรงจำ กลับคืนสู่สภาพเดิมเมื่อไหร่ เจ้า ‘เกาะโรคภัย’ ก็จะกลับสู่สภาวะเดิมอีกครั้ง
“นายลองคิดดูสิ ไม่ใช่ว่า ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมนั่นติดแหงกอยู่ที่ ‘เกาะ’ แห่งหนึ่งจนไม่สามารถเดินหน้าไปได้มากกว่านั้นหรอกเหรอ”
เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าเล็กน้อย เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนใจโล่งอก
“ตอนนี้นายก็ผ่านมาได้เกือบ 90% แล้ว ขอเพียงเข้าใจโรคของตัวเองให้กระจ่างชัดมากกว่านี้อีกหน่อย ปรับเปลี่ยนวิธีการอีกเล็กน้อย ฉันคิดว่าอีกไม่นานนายก็น่าจะทำได้สำเร็จแล้วล่ะ”
“อืม” ซางเจี้ยนเย่าตกอยู่ในห้วงภวังค์ประหนึ่งว่ากำลังครุ่นคิดพิจารณาว่าจะแก้ไขในจุดใดดี
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ช่วยเขาพิจารณา เธอใคร่ครวญก่อนจะพูดขึ้น
“อยากจะลองแจกยาและตรวจโรคฟรีในชุมชนศิลาแดงดูไหมล่ะ”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมทักษะการแพทย์อย่างเป็นทางการมาก่อนก็ทำได้ วิธีนี้จะทำให้นายมีโอกาสติดต่อกับผู้ป่วยสารพัดแบบ ทำความเข้าใจกับโรคได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
“ถึงยังไงก็ช่วยทำให้คนป่วยมีช่องทางในการรับยาได้มากขึ้น อย่างน้อยก็ทำให้มีความหวังเพิ่มขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี”
ซางเจี้ยนเย่าวางกระดาษปากกาลง กำมือขวาทุบลงไปบนฝ่ามือซ้ายตนเอง
“ทำไมผมถึงไม่คิดมาก่อนนะ”
เมื่อเห็นว่าจู่ๆ เขาก็ตื่นเต้นขึ้นมา ทำเอาเจี่ยงไป๋เหมียนชักเริ่มสงสัยว่าคำแนะนำที่ตัวเองให้ไปนี่ มันใช่เรื่องดีหรือเปล่า
โชคยังดีที่คนในชุมชนศิลาแดงค่อนข้างระวังตัวกันมาก การกินยาหาหมอก็น่าจะระวังตัวไม่ต่างกัน… เจี่ยงไป๋เหมียนคิดปลอบใจตัวเองออกมาหนึ่งประโยค
* * * * *
เนื่องจากในตอนนี้พวกเขาไม่มียามาเพิ่มอีก ดังนั้นแผนการ ‘ตรวจโรคฟรี’ จึงจำเป็นต้องเลื่อนออกไปเพราะสถานการณ์บังคับ หลังจากที่ทั้งสี่คนจาก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ได้งีบพักผ่อนตอนเที่ยงกันไปแล้วก็ปรึกษาในรายละเอียดของแผนการติดต่อกับ ‘สวรรค์จักรกล’ พูดคุยสนทนาเรื่องราวของโลกเก่า และออกไปที่โล่งเพื่อฝึกซ้อมการต่อสู้ประชิด
หนึ่งวันก็ผ่านไปในลักษณะเช่นนี้
ช่วงเวลากลางดึก ซางเจี้ยนเย่าซึ่งนอนอยู่บนเตียงก็พลันลืมตาขึ้น
เขาค่อยๆ พลิกตัวจากที่นอนพลางหยิบหน้ากากขึ้นมา
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งนอนอยู่เตียงข้างๆ ก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน
ซางเจี้ยนเย่าสวมหน้ากากอย่างรวดเร็ว แล้วก้มตัวย่องไปที่หน้าต่างข้างบานประตู
หน้าต่างบานนี้มีม่านซึ่งปล่อยลงมาเพื่อบังแสงจันทร์แสงดาวด้านนอก
ซางเจี้ยนเย่าอยู่ในท่ากึ่งนั่งยอง จับผ้าม่านไว้แล้วรูดเปิดขึ้นทันที
เสียงรูดม่านดังฟืด เขาลุกขึ้นยืนมองออกไปนอกหน้าต่างในทันที
ภายใต้แสงจันทร์สลัว มีใบหน้าหนึ่งปรากฏให้เห็น
ใบหน้านั้นเป็นสีเทาแก่ เรืองแสงจางๆ หากสังเกตอย่างละเอียดจะเห็นว่ามีลักษณะคล้ายเกล็ด ที่โคนหูจนถึงด้านข้างลำคอนั้นมีเหงือกที่กำลังขยับพะเยิบพะยาบเคลื่อนไหวตลอดเวลา ดวงตาปูดโปน ส่วนใหญ่เป็นสีขาว มีตาดำเพียงเล็กน้อย
สิ่งนั้นมันเกาะติดกับกระจกแน่นเสียจนกล้ามเนื้อเปลี่ยนรูป ให้ความรู้สึกน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ณ ขณะนี้ ‘สัตว์ประหลาด’ ด้านนอกเองก็มองเห็นภาพข้างในได้อย่างชัดเจนแล้วเช่นกัน
ข้างในมี ‘วานร’ ปากยื่นขนดกดูน่าขนลุกยืนอยู่!
‘สัตว์ประหลาด’ ร้องตกใจเสียงดังลั่น รีบกลับหลังหันเผ่นแน่บไปทันที
ซางเจี้ยนเย่าผงะไปในคราแรก ก่อนจะรู้สึกตื่นเต้นคึกคักจนออกนอกหน้า รีบเปิดหน้าต่างเตรียมกระโดดออกจากห้องเพื่อวิ่งไล่ตามไป
“อยู่นอกระยะขอบเขตของ ‘คนไร้เหตุผล’ แล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนที่อยู่ด้านหลังไม่ไกลนักร้องเตือนขึ้น “มืดขนาดนี้อย่าไล่ตามไปดีกว่า อาจเกิดเรื่องขึ้นได้”
ซางเจี้ยนเย่าชะงักแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างรู้สึกเศร้าใจ
“เห็นชัดไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความสงสัย
ในตอนนั้นร่างของซางเจี้ยนเย่าบังสายตาเธออยู่ ทำให้เธอมองไม่เห็นว่าผู้ที่มาสอดแนมนั้นมีลักษณะเช่นไร ได้ยินแต่เสียงเท่านั้น
ซางเจี้ยนเย่าอธิบายสิ่งที่เขาได้เห็นอย่างละเอียดด้วยความกระตือรือร้น
ตอนนี้ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงที่ตื่นขึ้นมาแล้วก็คลุมผ้าเดินเข้ามาหา
หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนได้ฟังจนจบ ก็ครุ่นคิดพลางพูดพึมพำกับตัวเอง
“เป็นมนุษย์ชั้นรองที่กลายพันธุ์จนมีลักษณะคล้ายปลาหรือเปล่านะ”
“ที่นี่คือทะเลสาบพิโรธ” ไป๋เฉินเสริมมาหนึ่งประโยค
ความหมายก็คือมีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งเหมาะสำหรับมนุษย์ชั้นรองที่มีลักษณะกายภาพเช่นนี้ดำรงชีพอยู่
นี่ทำให้ซางเจี้ยนเย่ากระจ่างขึ้นทันที
“มิน่าล่ะ ผมถึงรู้สึกว่าสามารถสร้างเพื่อนกับเขาได้”
หลงเยว่หงจ้องมองเขา
“เมื่อตะกี้นายไม่กลัวบ้างหรือไง”
ซางเจี้ยนเย่าอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบอย่างรู้สึกขัดใจตัวเอง
“ฉันคงทำให้เขากลัวน่ะ”
[1] เก้าสิบหลี่คือครึ่งหนึ่งของระยะทางร้อยหลี่ (行百里者半九十) หมายถึง ระยะทางหนึ่งร้อยหลี่ (50 กิโลเมตร) เมื่อเดินทางมาได้ 90 หลี่จะหมายถึงเพิ่งจะผ่านมาได้เพียงแค่ครึ่งเดียว อุปมาว่ายิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จมากเท่าไร ส่วนที่เหลือก็จะยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น ยังคงต้องพากเพียรจนถึงที่สุด