รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 200 ความสงบนั้นหายาก
“น้องชายของอันเฮอบัสงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยน้ำเสียงว่าแน่ใจแล้วใช่ไหม
เธอเข้าใจได้ในทันทีว่าข้อมูลเกี่ยวกับนิกายตื่นตัวที่อันเฮอบัสรู้นั้นมาจากที่ไหน
หานวั่งฮั่วผงกศีรษะยืนยันหนักแน่น
“ใช่ ผมจำได้แม่นเลยล่ะ”
เขาเพิ่งจะพูดขาดคำ ถานเจี๋ยก็พูดชื่อหนึ่งขึ้นมาทันที
“บัซ”
ในตอนนี้บัซอยู่ที่โบสถ์นิกายตื่นตัว
ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังยืนเฝ้าประตูอยู่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขากลับหลังหันแล้วเปิดประตูเดินออกไป
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดขึ้น
“ไปที่โบสถ์กัน”
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่คิดว่า ‘ผู้อันธการ’ แบรนด์ จะลอบฆ่าบัซภายในโบสถ์ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการดูหมิ่นสติปัญญญาของเหล่านักบวชที่เหลือของนิกายตื่นตัวเกินไป อีกทั้งผู้ครองกาล ‘ธชียมโลก’ ก็อาจกำลังเฝ้ามองอยู่ที่นั่นจริงๆ ก็ได้ แต่เมื่อเป็นเรื่องของผู้ตื่นรู้ย่อมไม่มีใครกล้าฟันธงเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้สละอะไรไป จะทำยังไงถ้าเกิดว่าเป็นเหมือนซางเจี้ยนเย่าที่จู่ๆ เกิดสมองกระตุกขึ้นมาแล้วลงมือสังหารผู้คนเสียอย่างนั้น
หานวั่งฮั่วไม่ได้คัดค้าน เขาออกจากย่านที่พักโรงแรมพร้อมกับถานเจี๋ยแล้วขึ้นรถของตัวเอง
รถของเขานั้นเป็นรถออฟโรดสีดำธรรมดา มีสภาพซอมซ่อจนเหมือนว่าพร้อมจะทิ้งได้ทุกเมื่อ
รถสองคันกับคนหกคนมาถึงโบสถ์นิกายตื่นตัวที่มีลักษณะเหมือนป้อมปราการอย่างรวดเร็ว แล้วเข้าไปในห้องโถงซึ่งทาสีแดงแห่งความอันตรายเป็นสีหลัก มีสีทองแห่งความศักดิ์สิทธิ์เป็นสีรอง
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนมองตรงไปที่บานประตูสีขาวซึ่งแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง มีสัญลักษณ์เงาร่างผู้หญิงซ่อนตัวอยู่ในความมืดด้านหลัง เธอก็ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าได้ว่ามียามของโบสถ์ที่กำลังซ่อนตัวอยู่
แล้วในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่ากับหานวั่งฮั่วก็ตะโกนขึ้นมาพร้อมๆ กัน
ฝ่ายหลังตะโกนว่า
“ท่านมุขนายก!”
ส่วนฝ่ายแรกตะโกนว่า
“ไฟไหม้!”
ถามเจี๋ยที่สีหน้าไร้อารมณ์กวาดสายตามองทั้งสองคนรอบหนึ่ง แล้วปิดปากเงียบ
นี่เป็นวิธีหาคนได้เร็วที่สุดจริงๆ นั่นแหละ… ให้คนเขาออกมาเอง ไม่ต้องไปตามหา… เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตาพลางถอนใจ
เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ซ่งเหอผู้แจ้งเตือนของนิกายตื่นตัวซึ่งสวมชุดคลุมยาวสีดำ จอนสองข้างมีผมขาวแซมเล็กน้อย ก็เข้ามาจากทางด้านข้างห้องโถง มองไปรอบๆ แล้วถามอย่างไม่ร้อนรน
“นายอำเภอหาน มีเรื่องอะไรเหรอ”
ก่อนที่หานวั่งฮั่วจะทันได้ตอบ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นมาก่อน
“บัซล่ะ”
“กำลังแลกเปลี่ยนเทคนิคการซ่อนตัวกับวีลอยู่น่ะ” ซ่งเหอตอบอย่างใจเย็น
ตะโกนเรียก… ในตอนนี้หลงเยว่หงก็พูดคำหนึ่งขึ้นในใจ
เขาเพิ่งจะคิดถึงคำนี้ขึ้นมาปุ๊บ ซางเจี้ยนเย่าก็ตะโกนเรียกเสียงดังออกมาปั๊บ
“บัซ!”
เพียงไม่นาน บัซซึ่งสวมหน้ากากเหล็กสีดำก็วิ่งเหยาะเข้ามาในห้องโถง พูดอย่างมีความสุข
“นายมาแล้วเหรอ”
นี่สิ สมกับเป็นเพื่อนรัก!
ซางเจี้ยนเย่าขมวดคิ้วถามขึ้น
“เมื่อกี้ตอนฉันตะโกนว่า ‘ไฟไหม้’ ทำไมนายถึงไม่ออกมาล่ะ”
บัซตอบอย่างไม่ลังเล
“เชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาไม่ได้น่ะ”
“ระวังตัวดีมาก” ซางเจี้ยนเย่าชมออกมาประโยคหนึ่ง แล้วถามต่อ “นายถอดหน้ากากออกก่อน ให้ฉันดูว่านายยังเป็นนายคนเดิมอยู่หรือเปล่า จะเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาไม่ได้น่ะ”
บัซไม่ได้แย้ง เขาปลดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าที่เกือบจะเป็นสี่เหลี่ยมและมีรอยกระมากมาย
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะด้วยความพอใจ
“แล้ววีลล่ะ” ซ่งเหออดทนรอให้บทสนทนาของพวกเขาจบลงถึงจะหันมามองบัซแล้วเอ่ยปากถาม
“เขาแอบอยู่ ผมกำลังตามหาเขาน่ะ” ในระหว่างที่พูด บัซก็มองดูรอบๆ ไปด้วย ราวกับว่ากำลังหาร่องรอยของวีลอยู่
ซ่งเหอหันหน้ากลับมาแล้วถามอีกครั้ง
“พวกคุณมีเรื่องอะไรกันงั้นหรือ”
หานวั่งฮั่วที่ใบหน้าดุดันตอบตามตรง
“ผู้แจ้งเตือนซ่ง พวกเราต้องการพบ ‘ผู้อันธการ’ แบรนด์”
“‘ผู้อันธการ’ กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ภายใต้สายตาแห่งองค์เทพี ถ้าไม่ใช่สถานการณ์พิเศษก็จะไม่พบใคร” ซ่งเหอพูดอธิบายอย่างใจเย็น
หานวั่งฮั่วยกมือขึ้นมาลูบแผลเป็นสองเส้น หนึ่งตั้งหนึ่งขวาง
“ผมสงสัยว่าแบรนด์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของคนภาษาธุลีที่ตกใจตายเมื่อสองสามปีก่อน”
ดวงตาสีขาวอมเหลืองทั้งคู่ของเขาจ้องมองซ่งเหออย่างไม่ยอมลดละ
ซ่งเหอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ
“พวกคุณคุยกับเขาที่หน้าประตูได้”
พูดจบเขาก็กลับหลังหัน นำซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ออกไปทางประตูด้านข้างของห้องโถง จากนั้นก็เลี้ยวไปที่ทางเดินด้านหลัง
ไม่นานนักพวกเขาก็มาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของบานประตูไม้สีแดงเข้ม
“แบรนด์ นายอำเภอหานจากสำนักงานรักษาความสงบสาธารณะ มาหาคุณน่ะ” ซ่งเหอเปลี่ยนมาใช้ภาษาแม่น้ำแดง พูดด้วยน้ำเสียงไม่สูงไม่ต่ำ
ราวสิบวินาทีหลังจากนั้นก็มีเสียงแหบแห้งเล็กน้อยดังออกมาจากด้านหลังบานประตูที่ปิดอยู่
“หานวั่งฮั่วจากสำนักงานรักษาความสงบสาธารณะงั้นเหรอ”
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้พูดคุยสื่อสารกับคนอื่นๆ มานานมากแล้ว จึงใช้เรี่ยวแรงพูดออกมาอย่างยากลำบาก
ขณะเดียวกันนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็เหลือบมองหลงเยว่หง ไป๋เฉิน และซางเจี้ยนเย่าตามลำดับ แอบทำท่าบอกให้พวกเขาเพิ่มความระวังตัว เตรียมพร้อมฉีดยาชีวภาพ FECA ให้กับเพื่อน
หานวั่งฮั่วสูดหายใจเข้าลึกแล้วถามอย่างเคร่งขรึม
“แบรนด์ คุณคือผู้ตื่นรู้ใช่ไหม”
เสียงที่แหบเล็กน้อยนั้นนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ
“ใช่”
หานวั่งฮั่วถามต่อ
“คุณมีพลังพิเศษที่ทำให้คนตกใจตายได้ใช่ไหม”
เสียงแหบแห้งนั้นเริ่มพูดคล่องขึ้นมาเล็กน้อย
“มันชื่อว่า ‘กลัวสุดขีด’”
หานวั่งฮั่วหลับตาแล้วก้าวเดินเข้าไปใกล้ประตูอีกก้าวหนึ่ง
“เมื่อสองสามปีก่อน เกิดคดีคนภาษาธุลีตกใจตายไปหลายคน นั่นเป็นฝีมือคุณหรือเปล่า”
เขาไม่มีหลักฐานมัดตัว เนื่องจากเรื่องมันผ่านไปเนิ่นนานมากแล้ว นอกจากนั้นคนในชุมชนศิลาแดงก็ชอบหลบๆ ซ่อนๆ ในเวลาส่วนมากจึงแทบไม่มีใครรู้ว่าคนอื่นอยู่ที่ไหนกันบ้าง
เสียงแหบเล็กน้อยนั่นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ก่อนหน้านี้ผมยังคิดว่าคุณจะรีบมาหาผมเสียอีก แต่ที่ไหนได้ เพิ่งจะมาเอาป่านนี้”
ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พบว่าการตอบสนองของสัญญาณไฟฟ้าบ่งบอกว่าเขากำลังค่อยๆ ก้าวมาที่ประตูทีละก้าวๆ
“คุณยอมรับแล้วใช่ไหม” ถานเจี๋ยก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง แล้วถามแทรกขึ้น
เขาพูดด้วยภาษาแดนธุลี
ไม่ทราบว่าแบรนด์ฟังเข้าใจหรือไม่ แต่เขาก็พูดออกมาด้วยเสียงต่ำ
“ตั้งแต่ได้พลังนี้มา ในใจผมก็ราวกับมีเพลิงโทสะแผดเผาอยู่ตลอดเวลา อยากจะฆ่าคนที่ทำร้ายผม คนที่ทำร้ายคนแม่น้ำแดง
“ในบางครั้ง เพียงแค่สบตา ผมก็ควบคุมตัวเองไม่ได้
“จนกระทั่งมุขนายกเรนาโต้มาหาผม พูดคุยกับผม แนะนำให้ผมตัดขาดจากปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องมืด อยู่ภายใต้สายตาเฝ้ามองแห่งผู้ครองกาล ผมถึงได้รับความสงบสุขที่หายไปนานกลับมา
“นายอำเภอหาน ผมคิดว่าคุณจะมาหาผมตั้งแต่ตอนนั้น”
สิ่งที่เขาสละไปก็คือสูญเสียการควบคุมอารมณ์อย่างนั้นเหรอ… เงื่อนไขที่ทำให้อาการกำเริบก็คือความโกรธ… เจี่ยงไป๋เหมียนวิเคราะห์อยู่ในใจ
หานวั่งฮั่วเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิตนเอง
“ครึ่งปีหลังจากคดีสุดท้าย คุณก็กลายเป็น ‘ผู้อันธการ’ ผมไม่มีข้อมูลมากพอที่จะสาวไปถึงได้”
“งั้นเหรอ ผมไม่รู้เรื่องนี้เลย ดูเหมือนว่ามุขนายกเรนาโต้จะรอให้ผ่านไปครึ่งปีถึงค่อยประกาศออกมาสินะ” แบรนด์ตระหนักได้ในทันที
ถานเจี๋ยหันไปมองผู้แจ้งเตือนซ่งเหอ
“นิกายต้องการปกป้องฆาตกรใช่ไหม”
เขาเปลี่ยนไปใช้ภาษาแม่น้ำแดง น้ำเสียงมีความโกรธแฝงอยู่ ทว่าใบหน้ายังคงไม่ได้แสดงอารมณ์ตามที่เป็น
ซ่งเหอตอบกลับมาอย่างสงบ
“สถานภาพของเขาตอนนี้ ตามที่โลกเก่าเรียกก็คือถูกจำคุกตลอดชีวิต เว้นเสียแต่ว่าจะเกิดวิกฤติร้ายแรงขึ้นกับนิกายเขาถึงจะออกจากห้อง แล้วพลีชีพเพื่ออุทิศให้ผู้ครองกาล”
ถานเจี๋ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงจะพูดออกมา
“เป็นเพราะว่าเขาคือผู้ตื่นรู้งั้นเหรอ”
เขาละสายตากลับมาโดยไม่รอให้ซ่งเหอตอบ แล้วพูดกับบานประตูไม้สีแดงเข้มที่ปิดสนิท
“แกมันน่ารังเกียจจริงๆ แม้แต่สิ่งที่ตัวเองทำลงไปก็ยังไม่กล้ายอมรับผล”
ลมหายใจของแบรนด์ด้านหลังบานประตูกระชั้นหนักหน่วงขึ้นอย่างฉับพลัน
สีหน้าซ่งเหอเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาเขาดำมืดลงทันที
แล้วในตอนนี้ แบรนด์ก็ร้องคำรามขึ้น
“บัดซบ! เพื่อที่จะได้อยู่ภายใต้การเฝ้ามองของผู้ครองกาลหรอก ฉันถึงได้ยอมทนทุกข์ทนทรมานแบบนี้
“ใครหน้าไหนฉันก็ไม่กลัวทั้งนั้น!”
โทสะของเขานั้นเกินบรรยาย นำมาซึ่งความหม่นสลัวที่น่าหวาดผวาของสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ประหนึ่งว่าแสงแดดภายนอกถูกชั้นเมฆหนามาบดบังเอาไว้
สิ่งที่มาพร้อมกับสภาพแวดล้อมซึ่งมืดมิดลงอย่างรวดเร็วก็คือจังหวะการเต้นหัวใจของทุกคนที่รัวกระหน่ำขึ้นอย่างฉับพลัน เหมือนกับว่ามีความกลัวที่ไม่อาจบรรยายได้และอธิบายไม่ถูกซ่อนอยู่หลังบานประตู
ความหวาดกลัวชนิดนี้ราวกับเป็นสายน้ำที่สะสมอย่างต่อเนื่องมานานจนพร้อมจะทำให้เขื่อนแตกได้ทุกขณะแล้วไหลทะลักท่วมผู้คน
ถานเจี๋ยผู้ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า ‘สายน้ำ’ รู้สึกประหนึ่งว่าหัวใจตนกำลังถูกฝ่ามือบีบรัดเอาไว้แน่น
‘กลัวสุดขีด’ กำลังจะสำแดงฤทธิ์!
สีหน้าถานเจี๋ยไม่มีการเปลี่ยนแปลง เขาชักปืนพกขึ้นมาเล็งที่ประตูราวกับว่าเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว
ทว่าในขณะที่กำลังจะจู่โจมออกไปนั้นเอง แบรนด์ซึ่งอยู่ด้านหลังประตูก็หัวเราะลั่น
“คิดจะยั่วแล้วทำให้ฉันใช้ ‘กลัวสุดขีด’ ออกมาอย่างนั้นเหรอ
“ไม่มีทาง!”
เมื่อได้ยินคำพูดของแบรนด์ เจี่ยงไป๋เหมียนก็สูดหายใจลึกเพื่อสงบใจ จากนั้นหันไปมองซางเจี้ยนเย่าด้านข้าง
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเล็กน้อย
“ทั้งสองคน ใจเย็นก่อน” ซ่งเหอพูดขึ้น
ถานเจี๋ยฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเก็บปืนกลับไป
ความหวาดกลัวที่ถาโถมเข้ามาก็พลันสลายไปจนหมดสิ้น แสงสว่างที่ทางเดินก็กลับคืนเป็นปกติ
“สำหรับแบรนด์แล้ว สภาพของเขาในตอนนี้ยังลำบากยิ่งกว่าประหารเขาเสียอีก” น้ำเสียงของซ่งเหอยังคงสงบนิ่งเช่นเคย
ถานเจี๋ยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูด
“แต่เขาก็ยังคงมีความหวัง”
แบรนด์ที่ด้านหลังบานประตูนั้นดูเหมือนว่ากำลังเคลื่อนถอยไปทีละก้าว
“ความหวังคือทัณฑ์อันทรมานที่สุดของมนุษย์”
ถานเจี๋ยกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าซางเจี้ยนเย่าพูดแทรกเสียก่อน
“คุณทำไม่ถูก”
“หือ” ถานเจี๋ยหันไปมองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะพูดออกไปตรงๆ เลยว่าอยากจะฆ่าเขา ไม่ใช่แอบยั่วยุแล้วก็อาศัยช่วงชุลมุนโจมตีเขา”
ตอนนี้แบรนด์ที่อยู่ด้านหลังประตูก็ชะงักเท้าลง
“เป็นผู้ตื่นรู้งั้นหรือ ที่แท้เมื่อกี้ก็คือการ ‘ยั่วยุ’ นี่เอง
“ฮ่า ฮ่า การ ‘ยั่วยุ’ นี่ใช้กับคนขี้โมโหอย่างฉันได้ผลจริงๆ นั่นแหละ ยังดีที่ผู้แจ้งเตือนซ่งสามารถทำให้ทุกคนเป็นมิตร ขจัดความเป็นศัตรูต่อกันทิ้งไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียนก็ทอประกายวูบ หวังอยากให้แบรนด์พูดมากขึ้นอีกหน่อย
ผู้แจ้งเตือนซ่งเหอกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง
“ถานเจี๋ย ถ้าหากคุณต้องการจะแก้แค้นอย่างเป็นทางการ ผมก็จะไม่ห้าม แต่คุณควรจะคิดให้ถี่ถ้วนก่อน แบรนด์ที่เตรียมพร้อมแล้ว สามารถลากให้คนอื่นตายตามไปด้วยอย่างน้อยก็หนึ่งคนล่ะ”
หานวั่งฮั่วมองไปที่ถานเจี๋ย
“ถ้าคุณตั้งใจจะล้างแค้นให้ได้ ผมจะช่วยคุณเอง”
“คุณ…” ถานเจี๋ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นี่มันจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ว่าในสองคนจะมีคนตายหนึ่งคน!
“นี่เป็นความรับผิดชอบของนายอำเภอ” หานวั่งฮั่วพูดอย่างสงบเยือกเย็น
ถานเจี๋ยนิ่งเงียบไป
เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามหักห้ามใจตัวเองอย่างหนักเพื่อไม่ให้หลุดปากบอกพวกเขาไปว่าการหวาดกลัวสุดขีดนั้นสามารถจะปฐมพยาบาลในขั้นต้นได้ หลังจากนั้นก็ค่อยไปผ่าตัดเพื่อรักษาต่อ
เอ่อ… แต่ด้วยระดับการรักษาพยาบาลของชุมชนศิลาแดง เกรงว่าคงต้องขึ้นอยู่กับโชควาสนาด้วยล่ะ… เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจถึงสถานการณ์ รีบถลึงตาใส่ซางเจี้ยนเย่าเพื่อไม่ให้เขาพูดจาไร้สาระออกมา
เมื่อเห็นว่าถานเจี๋ยไม่ได้พูดอะไรต่อ หานวั่งฮั่วก็เอ่ยถามกับบานประตูอีกครั้ง
“แบรนด์ ที่เฮลเว็กถูกฆ่าก็เป็นฝีมือคุณด้วยเหรอ
“เมื่อวานซืนนี้เขาเพิ่งจะตายเพราะตกใจจนเกินขนาด”