รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 203 เก็บเกี่ยวอย่างง่ายดาย
หลงเยว่หงซึ่งซ่อนอยู่บริเวณทางเชื่อมของอาคารเตี้ยมองเห็นโลเปซร่างยักษ์พันตัวด้วยสายกระสุนสีเหลืองเป็นประกาย มือถือปืนกลเบา รวมทั้งกลุ่มคนอพยพต่างถิ่นติดอาวุธรอบตัว คนพวกนั้นวิ่งตรงมาที่ประตูพร้อมกับยิงจู่โจมใส่ ทำให้เขารู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
เขาคุกชันเข่าข้างหนึ่งแล้วแบกปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ ไว้ที่บ่า สูดหายใจเข้า จากนั้นก็เหนี่ยวไกยิงกระสุนออกไป จรวดบาซูก้าพุ่งเข้าใส่ด้านข้างของกลุ่มคนอพยพตามที่หัวหน้าทีมสั่งไว้
จุดประสงค์ของเขาไม่ได้ต้องการสังหารหมู่กลุ่มเป้าหมาย ถึงอย่างไรระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้มีความเกลียดชังกันอย่างลึกซึ้ง หน้าที่ของเขาก็คือการ ‘ข่มขวัญ’ เพื่อทำให้คนพวกนั้นแตกตื่นหนีเตลิดไป
แต่เจี่ยงไป๋เหมียนก็กำชับไว้ด้วยเช่นกันว่าหากเจอสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานก็ไม่ต้องไปสนใจว่าจะทำให้ใครตายหรือเปล่า ไม่ต้องไปสนใจว่าจะตายไปกี่คน การป้องกันตัวคือเรื่องสำคัญที่สุด
ตูม!
เปลวเพลิงสีแดงเข้มลุกโชนราวกับดอกไม้เบ่งบาน
พอคลื่นกระแทกแผ่พุ่งออกไป กลุ่มคนอพยพต่างถิ่นก็รีบตอบสนองด้วยการหาที่กำบังทันที
หลงเยว่หงบรรจุลูกกระสุนใหม่อย่างไม่รีบไม่ร้อน เสร็จแล้วก็ยิงใส่บริเวณเดิมอีกครั้ง
ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวนั้น ไป๋เฉินเองก็ยิงออกไปแล้วหลายนัดโดยไม่ได้รู้สึกกดดันแต่ประการใด
นี่ทำให้กระจกหน้าต่างรถเอทีวีฝั่งคนขับแตกกระจาย ทำให้ผู้ขับขี่ถูกบังคับให้ต้องก้มคลานออกไปทางประตูอีกด้านหนึ่งแล้วหดตัวหลบอยู่ด้านหลังล้อรถ
แล้วในช่วงที่ไป๋เฉินเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นรถบรรทุกเล็กแทนนั้น คนขับก็รีบฉวยโอกาสย้ายที่ซ่อนอย่างรวดเร็ว
หลังจากยิงไปอีกสองสามนัด รอบๆ รถทั้งสองคันก็ไม่มีใครเหลืออยู่อีก พวกเขาทั้งหมดนั้นมีทั้งคนที่พยายามตอบโต้กลับและมีทั้งคนที่อาศัยความมืดกำบังกายวิ่งหนีเตลิดไป
ภายในที่จอดรถริมทะเลสาบ อันเฮอบัสผู้ซึ่งมีเคราดกหนาจนดูเหมือนว่ากำลังสวมหน้ากากอยู่ก็รับรู้แล้วว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น
เขาได้ยินเสียงที่พูดซ้ำๆ จากโทรโข่งด้วยหูตัวเองโดยไม่ต้องให้ลูกน้องมารายงาน
“โกหก! โกหก!” อันเฮอบัสปฏิเสธตามสัญชาตญาณทันที คิดจะส่งลูกน้องคนสนิทกลุ่มหนึ่งออกไปเสริมกำลังกับพวกโลเปซเพื่อขับไล่ผู้โจมตีพวกนั้นไป
ทว่าพอครุ่นคิดไปรอบหนึ่ง ในใจเขาก็พลันมีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมา
‘อันเฮอบัสถูกพวกคนอพยพต่างถิ่นพวกนั้นหลอกลวง ถึงได้กระทำเรื่องเช่นนี้…’
ดวงตาของฮับเฮอบัสวาบขึ้นมา ลังเลอยู่นานสองนานก็ยังไม่ออกคำสั่งเสียที
ในตอนนี้พื้นที่ซึ่งถูกปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ ยึดครองอยู่นั้น โลเปซอาศัยทักษะความแคล่วคล่องว่องไวและความกล้าหาญ ในที่สุดก็สามารถหลุดออกมาจากบริเวณซึ่งถูกยิงกระหน่ำได้ เขารีบปรี่เข้าไปยังอาคารเตี้ยโดยเร็ว
“ผมคือผู้แจ้งเตือนของโบสถ์ มาที่นี่เพราะเรื่องที่อันเฮอบัสสมคบคิดกับปีศาจภูเขา…”
ผู้ที่กำลังพูดผ่านโทรโข่งนั้นยังคงพูดซ้ำๆ เสียงเขาดังก้องสะท้อนข้ามทะเลสาบ
สีหน้าโลเปซบิดเบี้ยว เขาถือปืนกลเบาวิ่งรี่ไปยังต้นเสียง
เขาไม่เพียงจะเกลียดชังอีกฝ่ายเท่านั้น ยังรู้สึกด้วยว่าจำต้องรีบจัดการโดยเร็ว แล้วใช้โทรโข่งของฝ่ายเพื่ออธิบายเรื่องราวถึงจะสามารถหลุดจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้
เมื่ออ้อมไปด้านหลังกำแพง เสียงในหูของโลเปซก็ดังขึ้นทุกขณะ
เขามองไปรอบๆ แต่กลับไม่พบร่างใครสักคน
บนกองอิฐกองกระเบื้องที่แตกหัก มีลำโพงตัวเล็กสีดำด้านล่างสีน้ำเงินวางอยู่ และยังคง ‘ออกอากาศ’ ต่อเนื่อง
“ผมคือผู้แจ้งเตือนของโบสถ์…”
ม่านตาโลเปซเบิกกว้างโดยฉับพลัน ขนที่หลังลุกเกรียว
ตอนนี้ในหัวของเขานั้นคิดอยู่เพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น
‘กับดัก!’
กับดักหมายถึงการซุ่มโจมตีที่น่ากลัว!
เขาไม่สนใจปืนกลเบาในมือ รีบกระโดดพุ่งไปด้านข้างอย่างไม่ลังเลแล้วคลานออกห่างจากจุดที่ลำโพงวางอยู่ทันที
เนื่องจากในระหว่างที่คลานอยู่นั้นไม่อาจถือปืนกลเบาไว้ได้ จึงต้องสละมันทิ้งไป
จนกระทั่งเขาคลานกลับไปถึงประตูทางเข้าแล้ว แต่เสียงปืนยิงกระหน่ำหรือเสียงระเบิดดังถล่มที่คาดไว้ก็ยังคงไม่ดังขึ้น
โลเปซย่อตัวหลบหลังที่กำบังแล้วชักปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ สองกระบอกออกมาจากเอว ชะโงกมองดูตำแหน่งที่เขาเพิ่งจากมาด้วยความสงสัย
วินาทีถัดมาเขาก็เห็นร่างหนึ่งร่วงลงมาจากบนอากาศลงมาที่พื้นอย่างแผ่วเบา
ร่างนั้นสวมเสื้อคลุมขนเป็ดตัวสั้นสีน้ำเงินเข้ม ท่อนล่างเป็นกางเกงผ้าหนาลายทแยงมุม
เขาสวมหน้ากากลิงเจ้าเล่ห์ กระดิกนิ้วไปทางตำแหน่งที่โลเปซซ่อนตัวอยู่
“นายยังฝังใจกับผลการต่อสู้ครั้งก่อนจนหลอนหรือไง ถึงคิดว่าฉันจะเอาชนะด้วยการลอบโจมตีเหมือนเดิมน่ะ
“ตอนนี้ฉันจะให้โอกาสนายพิสูจน์ตัวเอง”
นี่แกเสียสติไปแล้วเหรอ! โลเปซทั้งโมโหทั้งขบขัน
ที่ขบขันก็คือเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายแอบอยู่บนที่สูง ปล่อยให้ตนเองมองเห็นลำโพงตัวเล็กสีดำด้านล่างสีน้ำเงินอันนั้น ที่จริงในจังหวะช่วงเวลาสั้นๆ ที่ตนกำลังตะลึงอยู่นั้นอีกฝ่ายสามารถลอบยิงได้ตั้งหลายครั้ง แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าเขากลับไม่ได้ทำอะไรเลย แถมยังมาบอกว่าจะสู้กันอย่างยุติธรรมอีกต่างหาก
นี่มันเป็นวิธีคิดของคนปกติที่ไหน
ส่วนที่เขาโกรธก็เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นมีท่าทีดูแคลนเขาเกินไปแล้ว
แกคิดว่าปืนในมือฉันเป็นของเล่นเหรอไง! แกอยากจะบ้าก็บ้าไปคนเดียวสิ คิดว่าฉันจะบ้าไปกับแกด้วยหรือไง… โลเปซไม่ได้พูดสองประโยคนี้ออกไป เขายกสองมือขึ้นแล้วกระหน่ำยิงใส่เจ้าคนที่สวมหน้ากากลิงอย่างไม่ยั้ง
เขาเพิ่งจะขยับมือ แต่ซางเจี้ยนเย่าก็ออกตัววิ่งไปทางด้านข้างแล้ว
ปัง! ปัง! ปัง!
ลูกกระสุนทำให้เกิดประกายไฟไล่ตามหลังเขาไปแต่ก็ตามไม่ทันจนเขาลับไปหลังกำแพง
โลเปซประเมินว่านี่ต้องเป็นกับดักอย่างแน่นอน ในเมื่อนิกายตื่นตัวไม่ได้คิดจะจัดการพวกเขาที่เป็นผู้อพยพต่างถิ่น ดังนั้นจึงไม่คิดรั้งรออยู่อีกต่อไป เขากลับหลังหันคิดอยากจะรีบออกจากอาคารไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งก่อน รอจนพวกผู้โจมตีจากไปแล้วค่อยกลับไปอธิบายให้อันเฮอบัสฟังในภายหลัง
เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ว่าตัวเองจะพูดอะไรออกไป แต่พวกลูกน้องที่เป็นชาวชุมชนศิลาแดงก็ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าคนพวกนั้นอาจจะยังสงสัยอยู่ว่ากลุ่มคนที่มาโจมตีนั้นเป็นใครกันแน่ แต่ก็ไม่มีทางยอมฟังตนเองแล้วเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาเด็ดขาด
ไอ้ธรรมเนียมบ้าบอนี่! โลเปซก่นด่าไปพลางก็วิ่งก้มตัวไปพลาง ต้องการออกไปด้านนอกเพื่อหาที่ซ่อนตัว
เขาเพิ่งจะมาถึงประตู ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็กระโดดลงมาจากชั้นสอง เป็นคนสวมหน้ากากลิงปากยื่นขนดก
ขณะที่โลเปซยกปืนสองกระบอกขึ้นมา อีกฝ่ายก็บิดเอวเหวี่ยงขา เกิดเสียงดังราวกับหวดแส้
ขวับ!
โลเปซไม่มีเวลาเหนี่ยวไกลั่นกระสุน ทำได้เพียงแค่ยกสองแขนขึ้นมาขวางไว้ด้านหน้า
‘ยูไนเต็ด 202’ ทั้งสองกระบอกของเขาถูกเตะกระเด็นปลิวออกไป ส่วนเขาก็เซถลาถอยหลังไปสองสามก้าว
คนที่กระโดดลงมาจากชั้นสองก็คือซางเจี้ยนเย่าที่ก่อนหน้านี้หลบกระสุนปืน หลังจากที่เขาอ้อมหลบไปด้านหลังกำแพงเสร็จก็วิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสอง จากนั้นก็อาศัยการตรวจจับของตนรีบวิ่งมาสกัดขัดขวางโลเปซได้ทันเวลา
ซางเจี้ยนเย่ายังคงรุกคืบไม่หยุด พุ่งมาด้านหน้าโลเปซแล้วกางสองแขน บางครั้งก็ปล่อยฮุคข้าง บางครั้งก็ยิงหมัดตรง บางครั้งก็กำหมัดทุบเหมือนค้อน บางครั้งก็เหวี่ยงแขนเหมือนแส้
การโจมตีต่อเนื่องเป็นชุดแบบนี้ผลาญแรงของโลเปซไปไม่น้อย ในดวงตาของเขามีแต่ภาพของหน้ากากลิงเจ้าเล่ห์พร่างพรายจนลายตา
ในที่สุดเขาก็รู้สึกได้ว่าการโจมตีของคู่ต่อสู้ผ่อนลงไปในระดับหนึ่ง ราวกับว่าได้มาถึงขีดจำกัดแล้วและกำลังพักหายใจ
โลเปซซึ่งถูกกดดันมาตลอดได้โอกาสตอบโต้ เขาปล่อยหมัดชุดที่รุนแรงกลับไป
เมื่อเห็นว่าชายสวมหน้ากากลิงถูกไล่ต้อนให้ถอยหลังอย่างต่อเนื่องจนทำได้เพียงแค่ปัดป้อง การโจมตีของเขาก็เพิ่มความเกรี้ยวกราดรุนแรงมากยิ่งขึ้น
หลังจากการจู่โจมต่อเนื่องเป็นเวลานาน ในที่สุดโลเปซก็มาถึงขีดจำกัดทางกายภาพ ความเคลื่อนไหวช้าลงไปในระดับหนึ่ง
แย่แล้ว! เขาร่ำร้องอยู่ในใจ รีบก้าวถอยหลังทันที
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเขาคงไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบเช่นนี้เป็นแน่ จะต้องรีบปรับเปลี่ยนกระบวนท่าก่อนตั้งแต่เนิ่นๆ ทว่าเมื่อครู่นี้เขากลับใจร้อนเกินไป
โลเปซเพิ่งจะเริ่มถอยหลัง ซางเจี้ยนเย่าก็มาถึงเบื้องหน้าเขาแล้ว จากนั้นก็ยื่นสองแขนออกมา จับล็อคข้อต่อแล้วสะกัดขา
พลั่ก!
โลเปซล้มกระแทกพื้น สายตาพร่าลายเห็นดาวสีทองเต็มฟ้า
ซางเจี้ยนเย่าเอนตัวกดทับ สยบชาวยาร์ไกไว้ได้อย่างสิ้นเชิง
“นายแพ้อีกแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าประกาศชัยชนะด้วยรอยยิ้ม
วินาทีถัดมาโลเปซก็รับรู้ได้ว่าตนถูกกระแทกหลังใบหูอย่างแรง ทำให้ดวงตาดำมืด สิ้นสติไปในทันที
ก่อนสติจะดับวูบไปนั้นเขาได้ยินเจ้าคนที่สวมหน้ากากลิงถอนหายใจ
“น่าเสียดาย…”
* * * * *
ด้านนอกของอาคารเตี้ย หลงเยว่หงเห็นพวกผู้อพยพต่างถิ่นยอมถอดใจ วิ่งหนีกระเจิงกันไปเกือบหมด เขาจึงชะลอความถี่ในการยิงปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’
นี่ทำให้คนที่ยังเหลืออยู่อีกสองสามคนเข้าใจว่าเขาไม่เหลือกระสุนแล้ว จึงเกิดความกล้าขึ้นมา ผละจากที่กำบังพุ่งเข้าไปหา
หลงเยว่หงหัวใจเต้นด้วยความประหม่าเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกว่ามันน่าตลกอยู่บ้าง
เขาวางปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ ลงอย่างไม่รีบไม่ร้อน แล้วหยิบปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ขึ้นมายิง
เมื่อเสียงปืนดังขึ้น คนอพยพต่างถิ่นสองสามคนนั่นก็เข้าใจถึง ‘ความเป็นจริง’ ได้ในที่สุด ไม่หัวรั้นดื้อดึงอีกต่อไป ต่างคนต่างรีบเผ่นแน่บไปไกลอย่างรวดเร็ว
หลงเยว่หงไม่ได้หยุดการโจมตี เขาเล็งไปยังตำแหน่งที่ไม่มีคนอยู่แล้วก็ยิงออกไปเป็นพักๆ บางครั้งก็ยิงบาซูก้าด้วย
นี่ทำให้บรรดาลูกน้องของอันเฮอบัสในลานจอดรถริมทะเลสาบเข้าใจว่าการต่อสู้ยังไม่จบ ในตอนนี้จึงยังไม่มีใครออกมาถามไถ่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
แล้วตอนนี้เองก็มีเงาร่างหนึ่งย่อตัวแล้วรีบวิ่งจากด้านหลังต้นไม้เขียวขจีที่ด้านข้างของอาคารเตี้ยไปที่รถเอทีวีสีกากี
เธอคือเจี่ยงไป๋เหมียนสวมหน้ากากหลวงจีนรูปงามและชุดลายพรางสีน้ำเงินอมเทา
เจี่ยงไป๋เหมียนล้วงมือผ่านช่องกระจกหน้าต่างที่แตกเข้าไปเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งข้างใน จากนั้นก็ใช้กุญแจที่คนขับทิ้งเอาไว้ สตาร์ทรถแล้วขับไปที่ด้านหลังรถบรรทุกเล็ก
โดยอาศัยความช่วยเหลือจากรถบรรทุกเล็กคอยกำบังให้ เธอกระโดดออกมาจากรถเอทีวีแล้วใช้แขนซ้ายที่มีพลังเหนือมนุษย์ดึงลังไม้สีน้ำตาลซึ่งข้างในเต็มไปด้วยอาวุธจากท้ายรถบรรทุก
ออกมาทีละลัง แล้วยัดใส่ไว้ในรถเอทีวี
จนกระทั่งในท้ายสุดแม้แต่ที่นั่งข้างคนขับก็ยังมีลังไม้เทินซ้อนไว้ถึงสามลังถึงจะเอาอาวุธเกือบทั้งหมดใส่ลงไปได้ เหลือไว้เพียงแค่บางส่วนที่ไม่ค่อยมีราคาค่างวดวางไว้ที่เดิม
หลังจากย้ายข้าวของเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันกลับไปมองที่ทะเลสาบ เธอคลี่ยิ้มแล้วเข้าไปนั่งที่คนขับ ขับรถเอทีวีสีกากีออกจากที่เกิดเหตุไปอย่างสบายใจ
ที่จริงแล้วถ้าขับรถบรรทุกเล็กไปตรงๆ เลยจะสะดวกและง่ายดายกว่ามาก เพียงแต่เธอกลัวว่าคนขับรถของอีกฝ่ายจะตื่นตกใจแล้วขับรถบรรทุกเล็กหนีไปเสียก่อน ดังนั้นสิ่งแรกที่เธอให้ไป๋เฉินทำก็คือระเบิดยางรถบรรทุกเล็กทิ้งเสีย
เมื่อไป๋เฉินซึ่งสวมแว่นมองกลางคืนเห็นสถานการณ์ทางด้านนี้เธอก็รีบเก็บปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ ทันที แล้วหยิบเอาเครื่องวิทยุสื่อสารออกมากดปุ่มพูดลงไป
“ถอนตัว”
จากนั้นเสียงปืน เสียงระเบิด และการ ‘ออกอากาศ’ ที่ริมทะเลสาบก็พลันเงียบสงัดลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่ากองกำลังติดอาวุธของนิกายตื่นตัวไม่ได้ปรากฏกายออกมา สุดท้ายอันเฮอบัสกับลูกน้องจึงยืนยันได้ว่าพวกเขาถูกหลอกเข้าเสียแล้ว
* * * * *
ณ จุดนัดพบที่ตกลงกันไว้ เจี่ยงไป๋เหมียนรอเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็เห็นรถจี๊ปสีเขียวขี้ม้าของ ‘ทีมสำรวจเก่า’
“หัวหน้า ซางเจี้ยนเย่าจับตัวโลเปซมาด้วย” หลงเยว่หงรายงานสถานการณ์ผ่านวิทยุสื่อสาร
ซางเจี้ยนเย่ารีบพูดแทรกขึ้นทันที
“ผมไม่ได้ใช้พลังพิเศษนะ!”
“ดีมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนเอ่ยชมออกมาคำหนึ่ง
ถ้าหากว่าซางเจี้ยนเย่าใช้พลังพิเศษ การจับเป็นโลเปซมาได้ก็เป็นเรื่องที่สุดแสนจะธรรมดา แต่ถ้าหากเขาใช้เพียงแค่เทคนิคการต่อสู้ก็สมควรได้รับคำชมแล้วล่ะ
เพราะโลเปซนั้นไม่ได้เป็นแค่สินค้าธรรมดา
แล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดเสริมอีกประโยค
“จับตัวโลเปซมาได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี หลังจากนี้จะช่วยให้เราประหยัดแรงไปได้อีกเยอะเลย”
หลงเยว่หงถามต่อ
“หัวหน้า แล้วพวกเราจะไปไหนกันต่อ
“ถ้ากลับไปที่พักตอนนี้ มันจะอันตรายหรือเปล่า
“เมื่ออันเฮอบัสตั้งตัวได้และสามารถยืนยันตัวตนของพวกเราได้ เขาจะกลับมาแก้แค้นหรือเปล่า”
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะลั่นขึ้นทันที
“พวกเราไปโบสถ์นิกายตื่นตัวกันเถอะ!”