รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 205 ดึกดื่น
หลงเยว่หงไม่ได้พูดให้มากความ เขาเดินไปห้องน้ำสาธารณะของโบสถ์พร้อมกับซางเจี้ยนเย่า
เนื่องจากซางเจี้ยนเย่านั้นจะถ่ายหนัก เขาจึงไม่รออยู่ในห้องน้ำด้วย แต่เดินมารออยู่ที่หน้าประตู รับลมหนาวพัดโชยมาจากอีกด้านของทางเดิน มองชมร่มไม้ใบหญ้าที่นอกหน้าต่าง
ค่ำคืนนั้นเงียบสงัด
ระหว่างที่สายตามองสอดส่องไปทั่วเขาก็พลันเห็นว่าหน้าต่างบานหนึ่งค่อยๆ เปิดออก มีเงาร่างหนึ่งพลิกตัวเข้ามาจากด้านนอก
หัวใจของหลงเยว่หงหดเกร็ง ชักปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ ออกมา
ด้วยความช่วยเหลือของแสงจันทร์กระจ่าง เขาก็มองเห็นรูปลักษณ์ของผู้บุกรุกได้อย่างชัดเจน
ตัวสูง 160 เซนติเมตร ผมสีเหลืองแนบอยู่บนศีรษะ ดวงตาสีเขียวกระจ่างใสมีชีวิตชีวา เป็นวัยรุ่นอายุ 15-16 ปี
วีล… หลงเยว่หงจดจำ ‘แชมป์เปี้ยนซ่อนหา’ ได้ทันที
แทบจะในเวลาเดียวกัน วีลก็มองกลับมาที่เขาด้วยรอยยิ้มไม่เป็นพิษเป็นภัย
“คนต่างถิ่นอย่างพวกคุณมีธรรมเนียมนอนกันที่หน้าห้องน้ำงั้นเหรอ”
หลงเยว่หังมักมีอารมณ์ดีอยู่เสมอ เขาไม่ได้ใส่ใจคำพูดล้อเลียนของอีกฝ่าย ตอบกลับไปอย่างรวบรัด
“รอคนน่ะ”
“คนที่ใส่หน้ากากลิงคนนั้นนะเหรอ” วีลค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ห้องน้ำสาธารณะทีละก้าว
“อืม” หลงเยว่หงพยักหน้าอย่างใจเย็น
วีลมองดูเขาอยู่สองสามวินาทีแล้วจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา
“คุณเกลียดคนคนนั้นหรือเปล่า เขาพูดจาไม่น่าฟัง ตัวก็สูงด้วย”
หลงเยว่หงคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะถามออกมาตรงๆ เช่นนี้ เขาจึงอึกอักอยู่บ้าง
“ขะ… เขา… ที่จริงเขาเป็นคนดีมากเลยนะ ไม่ได้มีจิตคิดร้ายอะไร
“บางครั้งเขาอาจจะเจตนาพูดเยาะเย้ยนาย แต่ก็เพื่อกระตุ้นให้นายก้าวหน้าขึ้น บางครั้งก็ชี้จุดบกพร่องของนายออกมาตรงๆ แล้วก็ให้คำแนะนำที่เขาคิดแล้วว่าดีออกมา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวนายเองนั่นแหละ”
พูดไปเรื่อยๆ น้ำเสียงเขาก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้นทุกขณะ
“เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อใคร แม้แต่พวกมนุษย์ชั้นรอง เขาก็ยังคิดว่าเป็นเพื่อนกันได้ด้วย”
วีลขมวดคิ้ว
“แล้วคุณไม่โมโหบ้างหรือไง”
หลงเยว่หงตอบมาอย่างลังเล
“มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นะ จะไปโมโหทุกเรื่องก็คงไม่ได้
“ฉันกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ อะไรที่ไม่ชอบก็จะพูดออกมาเลย จะไม่อมพะนำไว้อีก”
เขาหยุดไปอึดใจแล้วก็พูดเยาะเย้ยตัวเอง
“ฉันมันเป็นพวกจืดจางน่ะ หลังจากปรับ… เอ่อ… ความสูงฉันก็แค่ 175 พอเทียบกับพวกผู้ชายในเมืองฉันแล้วก็แค่กลางๆ ไม่ได้โดดเด่น ฉลาดก็ไม่ฉลาด ผลการเรียนก็สุดแสนจะธรรมดา
“สมัยก่อนฉันก็รู้สึกเป็นปมด้อยอยู่บ้างแหละ ไม่มีอะไรไปเทียบกับคนอื่นๆ รอบข้างได้เลย แม้แต่โชคก็ยังไม่เข้าข้าง ได้แต่แอบเสียใจแอบโมโหอยู่บ่อยๆ แต่ว่าตอนนี้ฉันได้เรียนรู้เรื่องหนึ่ง นั่นคือต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับตัวเอง ขอเพียงให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อวาน นั่นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าภูมิใจแล้วล่ะ”
เขายังไม่รู้ว่าทัศนคติของชาวชุมชนศิลาแดงที่มีต่อการปรับปรุงพันธุกรรมนั้นเป็นเช่นไร ดังนั้นจึงปิดบังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องอย่างมีไหวพริบ
วีลฟังอย่างเงียบๆ จนจบ แล้วก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“คุณนี่เป็นคนดีเกินไปหน่อยแล้วล่ะมั้ง”
พูดจบเขาก็เดินไปด้านข้างสองสามก้าว จากนั้นก็อาศัยกรอบหน้าต่างปีนขึ้นไปที่ช่องระบายอากาศ
“นายไม่ง่วงหรือไง” หลงเยว่หงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
วีลชะโงกศีรษะออกมาจากช่องระบายอากาศ พูดอย่างยิ้มแย้ม
“โลกนี้มีแต่อันตราย อาจจะมีคนมาทำร้ายตอนไหนก็ได้ ผมไม่มีทางให้คนอื่นรู้หรอกว่าตัวเองนอนที่ไหน”
โดยไม่รอให้หลงเยว่หงตอบคำ เขาลูบผมสีเหลืองที่เรียบติดหนังศีรษะของตนแล้วพูดโอ้อวด
“ระบบช่องระบายอากาศนั้นเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง
“เมื่อคลานไปตามที่ต่างๆ ก็จะได้เห็นเรื่องราวในห้องต่างๆ จะรู้ว่ามีเรื่องน่าสนใจอยู่เยอะแยะเต็มไปหมดซึ่งปกติแล้วไม่มีทางได้เห็นหรอก…”
พูดไปพูดไปเขาก็ขมวดคิ้ว แล้วก็แลบลิ้นปลิ้นตาไปทางด้านหลังของหลงเยว่หง
จากนั้นก็มุดกลับเข้าไปในช่องระบายอากาศ ออกไปจากบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว
หลงเยว่หงเพิ่งจะรู้สึกตัว กลับหลังหันมาแล้วเห็นว่าซางเจี้ยนเย่าซึ่งสวมหน้ากากลิงนั้นออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำสาธารณะ
“พอลองคิดดูแล้ว ไอ้ที่เขาพูดมาเมื่อตะกี้น่ะ มันก็คือการ ‘แอบดู’ ไม่ใช่หรือไง” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็นต่อคำพูดของวีลก่อนที่เขาจะจากไป
หลงเยว่หงอึ้งไป
“นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบเขา แต่พูดให้คำแนะนำอย่างจริงใจ
“ต่อไปแต่ละมื้อนายก็กินให้มากอีกหน่อยสิ”
“ทำไมล่ะ” หลงเยว่หงถามอย่างงงๆ
ซางเจี้ยนเย่าอธิบายออกมา
“ถ้าเป็นแบบนี้นายก็จะหนักขึ้นทุกวัน แต่ละวันก็จะหนักกว่าเมื่อวานไงล่ะ”
แข็งแกร่งขึ้นไม่ได้หมายถึงหนักขึ้นเสียหน่อย… แล้วนี่เจ้าหมอนี่ได้ยินอะไรไปขนาดไหนล่ะเนี่ย… หลงเยว่หงมุมปากกระตุก พูดอะไรไม่ออก
แล้วตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ลูบท้องตัวเอง พูดเสียงเรียบๆ
“เมื่อกี้ฉันยังปล่อยไม่สุด ในคลังยังมีสัมภาระเหลืออยู่ ฉันไปปล่อยต่อก่อนนะ”
หลงเยว่หงชะงักไป รู้สึกอยากหัวเราะ ทว่าหลังจากนั้นก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
‘เขารับรู้ได้ว่ามีคนจากข้างนอกปีนเข้ามาในโบสถ์ก็เลยอั้นไว้ก่อนแล้วรีบออกมาเพื่อจะได้ช่วยฉันต่อสู้อย่างนั้นสินะ’ หลงเยว่หงพลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาด้วยคำที่เรียกว่า ‘สหาย’
เมื่อเสร็จธุระกับห้องน้ำกันแล้ว ทั้งสองก็กลับไปที่ห้องของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ผลัดเวรกันเฝ้ายามและนอนหลับ
* * * * *
บนยอดตึกสูงที่ใกล้กับชายขอบ บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของซากเมือง
ที่นี่มีสายไฟฟ้าและมีการซ่อมบำรุง มีแสงไฟและลิฟต์ให้ใช้งาน ที่นี่คือหนึ่งใน ‘หอสังเกตการณ์’ ที่หานวั่งฮั่วสร้างขึ้นมาอย่างใส่ใจหลังจากที่เข้ามารับตำแหน่งนายอำเภอ
เชเลอร์เป็นคนแม่น้ำแดง ผมเป็นสีน้ำตาลทองซึ่งโกนจนสั้นมาก
เขายังอายุไม่มาก เพิ่งจะยี่สิบเศษเท่านั้น แต่ก็เคยผ่านประสบการณ์สู้รบมามากมายหลายครั้งหลายหน ไม่ใช่ไก่อ่อนที่ไม่เคยเห็นโลก
ในตอนนี้เขากำลังถือปืนไรเฟิลอัตโนมัติและกล้องส่องทางไกลสองตาซึ่งมีฟังก์ชันมองกลางคืน เขามองตรวจตราผืนนารกร้างเป็นแนวยาวนอกเมืองและเนินเขาที่อยู่ไกลออกไป
ถึงแม้ว่าชุมชนศิลาแดงจะอยู่เพียงแค่ริมขอบด้านตะวันตกของทะเลสาบและเสี่ยงต่อการโจมตีของมนุษย์มัจฉามากที่สุด และแนวป้องกันแรกก็ถูกวางไว้ที่นั่น แต่หานวั่งฮั่วก็ไม่ได้ละเลยพื้นที่ด้านอื่นเช่นกัน
ทางเหนือของโบสถ์นิกายตื่นตัวก็ยังมีแนวป้องกันอีกชุดหนึ่งไว้สำหรับป้องกันปีศาจภูเขาที่แนวเทือกเขา ที่ขอบชายแดนของซากเมืองในแต่ละด้านเองก็มี ‘หอสังเกตการณ์’ ของตัวเองเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด
ทะเลสาบพิโรธนั้นกว้างขวางใหญ่โต ด้วยลักษณะทางกายภาพของมนุษย์มัจฉา พวกเขาสามารถยกพลขึ้นบกทางด้านอื่นแล้วอ้อมกลับมาโจมตีขนาบได้
ในระหว่างที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ เชเลอร์ก็หันหน้าไปมองเพื่อนสองคนซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นสมาชิกของหน่วยยามเมือง หนึ่งนั้นเป็นคนภาษาธุลี ชื่อถานเทียนเอิน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นลูกครึ่ง ชื่อเกาดี้ แต่ละคนต่างก็ถือกล้องส่องทางไกลมองกลางคืนคอยเฝ้าตรวจตราคนละด้าน
นี่เป็นการจัดกลุ่มที่นายอำเภอหานทำโดยเจตนา เขาจัดกลุ่มคนภาษาธุลี คนแม่น้ำแดง และคนลูกครึ่งผสมคละกันในทุกๆ ทีม ประการหนึ่งนั้นคือหวังว่าการได้ต่อสู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อต้านทานศัตรูจากภายนอกจะสามารถก่อให้เกิดมิตรภาพและ
ความไว้วางใจระหว่างกันขึ้นมาได้ อีกประการก็คือให้พวกเขาคอยระวังซึ่งกันและกัน ไม่ปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉวยโอกาสสร้างปัญหา
เกาดี้ผู้มีจมูกโด่ง เบ้าตาลึก ผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล เห็นว่าตนเองกำลังมองมาก็ยิ้มให้แล้วเริ่มเปิดบทสนทนา
“ทีมนักล่าที่ฉันพาเข้าเมืองมาก่อนหน้านี้ก็พอตัวเหมือนกันนะ ดูเหมือนว่าจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาวุธของเฮลเว็กที่ถูกปล้นไป”
เขาใช้ภาษาแม่น้ำแดง
เชเลอร์ขมวดคิ้ว
“นั่นเป็นแค่คำกล่าวหาของบัซเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น”
เนื่องจากผู้แจ้งเตือนซ่งเหอไม่ได้ห้ามพวกยามของโบสถ์เปิดเผยเกี่ยวกับคำกล่าวหาของบัซ ดังนั้นพวกยามเมืองที่ถูกจัดตั้งมาจึงพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผย ทำให้ความจริงเกี่ยวกับการปล้นอาวุธนั้นกลายเป็นหัวข้อสนทนาไปตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว
ถานเทียนเอินที่เฝ้ามองออกไปไกลๆ และเอาแต่ฟังการสนทนาของพวกเขาอย่างเงียบๆ ก็พูดแทรกขึ้น
“เฮลเว็กกับอันเฮอบัสเป็นคนประเภทไหน พวกนายยังไม่รู้กันอีกหรือไง”
เขาเจตนาใช้ภาษาแดนธุลีโดยไม่สนใจว่าเชเลอร์จะฟังเข้าใจหรือไม่
ลูกครึ่งเกาดี้ถอนใจ ไม่รู้จะพูดอะไรไปครู่หนึ่ง
แล้วตอนนี้เสียงของเชเลอร์ก็ดังขึ้น
“เกิดเรื่องแล้ว!”
เกาดี้กับถานเทียนเอินลืมการสนทนาเมื่อครู่ไปทันที พากันยกกล้องส่องทางไกลมองกลางคืนมองไปทางพื้นที่ซึ่งเชเลอร์รับผิดชอบสังเกตการณ์พร้อมกัน
ภายใต้แสงจันทร์สลัวนั้น บริเวณทางแยกระหว่างเนินเขากับทุ่งนามีกลุ่มคนปรากฏตัวขึ้น พวกเขามุ่งหน้าตรงเข้ามายังเขตเมือง ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
บ้างก็นั่งอยู่ในรถ บ้างก็กำลังเข็นรถ บ้างก็กำลังเดิน จำนวนคนมีมากมายมหาศาล
แสงจันทร์สว่างขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้เชเลอร์มองเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนมากขึ้น
พวกเขาล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนมนุษย์ ลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ดสีเทาแก่ ดวงตาปูดโปนออกมา เหมือนกับเป็นปลาที่มีสองขางอกออกมาแล้วเดินขึ้นฝั่ง บางคนก็มีผิวสีน้ำเงิน ห่อหุ้มร่างกายด้วยหนังสัตว์
พวกเขาถือปืนกลมือ ปืนไรเฟิลจู่โจม และอาวุธต่างๆ บ้างก็แบกลำกล้องท่อปืน ขาตั้ง และของจำพวกลูกกระสุน บ้างก็กำลังเข็นรถปืนใหญ่ บ้างก็นั่งอยู่ในรถหุ้มเกราะ ราวกับเป็นกลุ่มภูติผีที่ล่องลอยออกมาในค่ำคืนอันมืดมิด
มนุษย์มัจฉา! ปีศาจภูเขา!
“รีบแจ้งหัวหน้าหาน!” เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เกาดี้ก็รีบโพล่งขึ้น
ทว่าเชเลอร์กับถานเทียนเอินยังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบรับ
แถวนี้มีพวกเขาเพียงแค่ทีมเดียวเท่านั้น ถ้าหากส่งสัญญาณเตือน นั่นก็เท่ากับว่าศัตรูจะเล็งเป้ามาที่พวกเขาทันที
ผ่านไปสองสามวินาที ทั้งเชเลอร์และถานเทียนเอินก็ตอบรับพร้อมกัน
“ได้!”
พวกเขาสบตากัน มองดูเกาดี้หยิบไซเรนแจ้งเตือนทางทหารที่สั่งจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ ออกมา
วู้!
วู้!
วู้!
เสียงแหลมบาดหูดังขึ้นที่ด้านบนของอาคาร กระจายไปรอบตัวสี่ทิศแปดทาง
พวกมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาที่กำลังตะคุ่มอยู่ในความมืดพากันชะงักแล้วหันมองมาทางด้านนี้
พวกเขารีบกระจายตัวอย่างว่องไว บ้างก็รีบเข็นรถปืนใหญ่ขึ้นหน้า บ้างก็รีบติดตั้งปืนครกเบา
เมื่อส่งสัญญาณเตือนภัยแล้ว เกาดี้ เชเลอร์ และถานเทียนเอินก็เริ่มถอนตัวจากหลังคา
ตูม! ตูม!
ปืนใหญ่พ่นเปลวเพลิงสีแดงเข้มออกมา
* * * * *
เสียงแหลมเสียดหูดัง ‘วู้ วู้’ ทำให้สมาชิกทั้งสามของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ตื่นขึ้นมาทันที
ไป๋เฉินซึ่งรับหน้าที่เฝ้ายามกลางคืนพูดอย่างใจเย็น
“ดังมาจากตะวันออกเฉียงใต้ น่าจะเป็นเพราะศัตรูบุก”
“มนุษย์มัจฉากับปีศาจภูเขาโจมตีงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนคิดใคร่ครวญพลางจัดเสื้อผ้าตนเอง
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ พวกเขาทั้งหมดจึงนอนทั้งชุดเครื่องแบบ
ไป๋เฉินไม่กล้าให้คำตอบอย่างยืนยัน
“น่าจะเป็นแบบนั้น พวกเขาคงจะข้ามแนวป้องกันเข้ามาน่ะ”
“หัวหน้า พวกเราจะทำไงกันดี จะอยู่ที่โบสถ์ต่อดีหรือจะกลับไปโรงแรมกันดี” ถึงแม้ว่าหลงเยว่หงจะเพิ่งเคยเผชิญกับศึกใหญ่เป็นครั้งแรก แต่หลังจากได้ผจญกับการจลาจลในเมืองหญ้าไพรมาก็เท่ากับว่าถูกเปิดบริสุทธิ์มาแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนยังไม่ทันได้ตอบ ซางเจี้ยนเย่าก็แนะนำด้วยสีหน้าจริงจัง
“ก่อนหน้านี้ก็พูดไปแล้วว่าพวกเราจะ ‘ขาย’ อาวุธกับวัตถุปัจจัยที่สะสมไว้ให้กับพวกยามเมืองไม่ใช่เหรอ
“งั้นตอนนี้ก็ได้เวลาแล้วล่ะ”
หือ… หลงเยว่หงประหลาดใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนมองมายังซางเจี้ยนเย่าแล้วจ้องเขาอยู่สิบกว่าวินาที
ในความเงียบงันไร้สุ้มเสียงนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อพูดไปแล้ว งั้นก็ตามนั้นนั่นแหละ
“ไปถามผู้แจ้งเตือนซ่งกันก่อน จะได้รู้ว่านายอำเภอหานกับพวกยามเมืองอยู่ที่ไหนกัน”
เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ เสียงปืนใหญ่ก็คำรามกึกก้องติดต่อกันเป็นชุด ดังขึ้นในทิศเดียวกันจากระยะไกล
ตูม! ตูม!