รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 226 โอกาส
“นายอำเภอหาน…” ไม่ใช่เพียงแค่หลงเยว่หงกับไป๋เฉินเท่านั้นที่แปลกใจ แม้แต่เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ยังค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน
เธอจำได้ว่าตอนที่ตัวเองกับซางเจี้ยนเย่ากลับไปถึงแนวป้องกันที่หานวั่งฮั่วรับผิดชอบอยู่นั้น มีศพนอนทอดร่างอยู่เกลื่อนกลาด พื้นเต็มไปด้วยสีดำทะมึน
ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นสามารถทำให้หานวั่งฮั่วตกตายได้ทุกเมื่อ ไม่ได้แตกต่างไปจากยามเมืองคนอื่นๆ แม้แต่น้อย การเป็นนายอำเภอไม่ได้ทำให้เขามีโชคดีมากกว่าคนอื่น
ถ้าหากเขาเป็นคนขายข้อมูลเรื่องที่มุขนายกเรนาโต้กลับไปที่สำนักงานใหญ่ให้กับมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาจริงๆ ละก็ งั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเอาตัวเองไปอยู่แนวหน้าสักหน่อย สามารถหาข้ออ้างเพื่อย้ายไปอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่เสี่ยงต่อการถูกบุกจู่โจมก็ได้
นี่ไม่ใช่แค่ห้อยบ่วงเชือกเพื่อแขวนคอตัวเองเท่านั้น แต่ยังเอาหัวลอดสอดไปในห่วงเชือกอีกด้วย
เว้นเสียแต่ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหานวั่งฮั่วจะมากเกินกว่าที่เขาแสดงออกมาให้เห็น และมีความมั่นใจมากว่าสามารถเอาชีวิตรอดจากกองทัพพันธมิตรมนุษย์ชั้นรองได้จนกระทั่งสิ้นสุดการต่อสู้ แต่ถ้าเป็นคนที่แข็งแกร่งขนาดนั้นจริงก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเองให้อยู่ในสภาพทุลักทุเลเพื่อให้คนอื่นชื่นชมยกย่อง… ในขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนแปลกใจอยู่ เธอก็เกิดความคิดนี้วาบขึ้นมา
ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างหนักแน่น
“ผมไม่เชื่อ”
คำอธิบายที่ซ่งเหอกำลังจะพูดต่อก็พลันติดชะงักอยู่ที่ริมฝีปาก
แพทย์นิติเวชแวร์ตูร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างอดพูดขึ้นไม่ได้
“คุณยังไม่ได้ฟังเหตุผลเลย ทำไมถึงรีบบอกว่าไม่เชื่อแล้วล่ะ”
“ผมเชื่อเขา” ซางเจี้ยนเย่าบอกเหตุผลของตัวเอง
“แล้วทำไมถึงเชื่อเขาล่ะ” แวร์ตูร์เหมือนว่าอยากจะโต้เถียงกับซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่ามองเขา
“ลางสังหรณ์ของลูกผู้ชาย”
“…” แวร์ตูร์พลันรู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยช่องโหว่ แต่ก็ไม่มีช่องโหว่
ซางเจี้ยนเย่าสอนเขาอย่างจริงใจ
“คุณต้องพูดว่า ‘อะไรทำให้คุณคิดว่าตัวเองเป็นลูกผู้ชาย’ เพื่อแย้งออกมา”
“แล้วไงต่อ” แวร์ตูร์ถามออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ผมก็จะถอดกางเกงโชว์ให้คุณดูว่าแบบนี้เรียกว่าเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า ต่อมาคุณจะทนให้ถูกดูถูกเหยียดหยามไม่ได้ จะโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แล้วต่อจากนั้นพวกเราก็จะออกไปสู้กัน มีเสียงเพลงเป็นฉากประกอบการต่อสู้”
นี่มันมันเรื่องบ้าบออะไรกัน… แวร์ตูร์มีสีหน้ามึนงง
เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่าเบียงเบนประเด็นได้สำเร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ได้แต่ถอนใจด้วยความจนใจ มองไปที่ซ่งเหอ
“ผู้แจ้งเตือนซ่ง เหตุผลของพวกคุณคืออะไรเหรอ”
เนื่องจากแวร์ตูร์ยังอยู่ด้วย การสนทนาของพวกเขาจึงยังคงใช้ภาษาแม่น้ำแดง
ซางเหอละสายตากลับมา สีหน้ากลับกลายเป็นจริงจังอีกครั้ง
“เขาอาจจะเป็นมนุษย์ชั้นรอง”
“มนุษย์ชั้นรอง…” เจี่ยงไป๋เหมียนคาดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้
เช่นเดียวกับหลงเยว่หงและไป๋เฉินที่ต่างก็แปลกใจเช่นกัน
เมื่อนึกถึงดวงตาสีขาวอมเหลืองของหานวั่งฮั่ว พวกเขาต่างก็จมอยู่ในภวังค์
“มนุษย์ชั้นรองก็เป็นมนุษย์” ซางเจี้ยนเย่าพยายามแสดงความคิดเห็นของตัวเองอย่างเต็มที่
ซ่งเหอไม่สนใจคำพูดเขา ชี้ไปทางแวร์ตูร์ที่ด้านข้าง
“เรื่องนี้ดร.แวร์ตูร์เป็นคนพบ”
แวร์ตูร์รับช่วงสนทนาต่อ เขาถอนหายใจ
“บอกตามตรงว่าผมเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ผมกับนายอำเภอหานนับได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขาคอยบอกผมให้รู้เวลาที่คาราวานค้าของเถื่อนขบวนไหนมีผู้หญิงขายบริการติดขบวนมาด้วย”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าเขาก็จริงจังขึ้นเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้นายอำเภอหานบาดเจ็บมาจากการสู้รบใช่ไหมล่ะ ที่แขนซ้ายน่ะ”
“ใช่” หลงเยว่หงบ่งบอกว่าเขาเห็นสิ่งนี้มากับตาตัวเอง ไป๋เฉินเองก็ผงกศีรษะเล็กน้อย
แวร์ตูร์พูดต่อ
“ถึงยังไงผมก็ยังเป็นหมอด้วย ก็เลยอยากจะช่วยดูแผลให้ จะได้รักษาเขา ไม่งั้นถ้าเกิดติดเชื้อขึ้นมาก็คงไม่ดีเท่าไหร่ ใช่ไหมล่ะ
“แต่ผลคือเขาปฏิเสธผมเสียงแข็ง บอกว่าจัดการตัวเองได้ ต่อมาตอนที่เขาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องด้านในของ สนง.รักษาความสงบฯ ผมคิดว่าเขามีแค่มือเดียวคงทำเองไม่สะดวก ก็เลยรีบดื่มน้ำที่เหลือจนหมดแล้วตามเข้าไป กะว่าไปรอดูว่าถ้าเขาติดขัดอะไรก็จะได้ช่วยได้ทันที
“พวกเราต่างก็เป็นผู้ชายทั้งคู่ ผมก็เลยไม่ได้เคาะประตู เพียงแค่เปิดประตูแล้วก็เข้าไปเลย แต่ใครจะรู้ ผมเหลือบไปเห็นว่าที่แขนเขาเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ด้วย มันเหมือนเป็น… เป็นเกล็ดที่ขึ้นห่างๆ ไม่ได้เรียงกันแน่นเป็นพรืด เป็นสีออกเหลืองอำพัน
“ตอนนั้นนายอำเภอหานรีบดึงแขนเสื้อลงทันที ไม่มีบาดแผลแม้แต่นิดเดียว
“จากนั้นเขาก็มองผม ถามว่าทำไมจู่ๆ ผมถึงพรวดพราดเข้าไป ตอนนั้นแววตาเขาดูอันตรายมาก เหมือนกับเจ้านายเก่าของผมตอนที่เห็นผมนอนอยู่บนเตียงกับเมียเขาเป๊ะเลย
“ผมรีบแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น บอกว่าเข้าไปเพื่อจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อ ดวงตาของนายอำเภอหานกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วแล้วก็บอกว่าเปลี่ยนเองเสร็จแล้ว
“พอผมกลับออกมา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันผิดปกติ พอเลิกงานปุ๊บผมก็รีบไปที่โบสถ์ทันที รีบไปหาผู้แจ้งเตือนซ่ง
“ผู้แจ้งเตือนซ่งบอกให้ผมอย่าเพิ่งตื่นตูมไป ให้แกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปก่อน คอยแอบสังเกตการณ์อย่างลับๆ”
หลังจากที่แวร์ตูร์พูดจบ ซ่งเหอก็กล่าวเสริมขึ้น
“พอถึงวันนี้ก็มีเหตุเปลี่ยนแปลง มันเกี่ยวข้องกับการขายข้อมูลให้มนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขา ผมทนรอต่อไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงมาหาพวกคุณเพื่อขอให้ช่วย”
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังอย่างเงียบๆ จนจบแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผู้แจ้งเตือนซ่ง ที่จริงคุณไปหาเขาด้วยตัวเองเลยก็ได้ ฉันเชื่อว่าเขาจะไม่ปิดบังอะไรคุณหรอก”
และเขาจะไม่ทำอะไรที่ไม่เป็นมิตรกับคุณด้วย…
ซ่งเหอถอนหายใจ
“ผมค่อนข้างมีความรู้สึกที่ดีต่อหานวั่งฮั่วนะ ตลอดสามปีที่ผ่านมา เขาทำเรื่องดีๆ ไม่น้อยเลยล่ะ
“อย่างที่พวกคุณก็รู้ เป็นเพราะคำสอนของนิกาย ผมในฐานะศาสนบุคลากรคงไม่มีทางทำให้พวกชาวชุมชนศิลาแดงเชื่อใจกันแล้วมาร่วมแรงร่วมใจเพื่อต่อสู้กับศัตรูภายนอก แต่หานวั่งฮั่วสามารถทำให้คำว่า ‘ร่วมแรงต้านภัย’ เป็นไปได้จริง
“ผมเห็นมากับตาตัวเองว่าเขามีความจริงจังและรับผิดชอบขนาดไหน ถ้าหากผมไปถามเขาด้วยตัวเอง ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมายังไง แต่ในใจทั้งสองฝ่ายก็คงเกิดช่องว่างขึ้น การอยู่ร่วมกันในอนาคตคงไม่ง่ายนัก แต่พวกคุณนั้นไม่เหมือนกันเพราะพวกคุณเป็นคนนอก ถึงจะรู้เรื่องอะไรมา แต่อีกไม่นานก็จากไปแล้ว ทำให้ความลับถูกกลบฝังเอาไว้”
คำพูดนี้ของซ่งเหอ ทั้งแวร์ตูร์และซางเจี้ยนเย่าต่างก็เห็นพ้องต้องกัน ผงกศีรษะยอมรับในเวลาเดียวกัน
ความนัยของผู้แจ้งเตือนซ่งก็คือต้องการให้โอกาสกับหานวั่งฮั่วอย่างนั้นสินะ ในฐานะศาสนบุคลากรของนิกายตื่นตัวและเจ้าเมืองโดยนัยคนปัจจุบันของชุมชนศิลาแดงย่อมทำตัวลำเอียงไม่ได้ แต่พวกเราเป็นคนนอก อยากทำอะไรก็ทำได้อย่างที่ต้องการ… นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่เขามอบหมายภารกิจให้กับพวกเราสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนใช้ความคิดเพื่อเรียบเรียงคำพูดก่อนจะตอบ
“ฉันคิดว่าทางเราต้องชี้แจงเรื่องหนึ่งให้กระจ่างเสียก่อน
“เรื่องที่นายอำเภอหานจะเป็นมนุษย์ชั้นรองหรือไม่ กับเรื่องที่เขาขายข้อมูลนี้หรือเปล่า ทั้งสองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย
“ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์ชั้นรองจริงๆ ก็เถอะ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องทรยศชุมชนศิลาแดงเสียหน่อย เพราะตอนนั้นเขาเสี่ยงอันตรายอยู่ท่ามกลางดงกระสุนเพื่อต้านทานศัตรูจริงๆ”
ซ่งเหอเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“ถูกแล้ว ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
จริงด้วย เป็นอย่างที่คิด… หลังจากที่พูดออกไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยืนยันสิ่งที่ตนเพิ่งคาดเดาไปเมื่อครู่ได้แล้ว ร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ฉันจะแบ่งภารกิจออกเป็นสองเรื่อง เรื่องแรกคือไปหานายอำเภอหานเพื่อยืนยันว่าเขาเป็นมนุษย์ชั้นรองหรือเปล่า สองคือตามหาคนที่ขายข้อมูลให้กับมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขา”
“ดีมาก” ซ่งเหอค่อนข้างประทับใจกับแผนการนี้
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มออกมาทันที
“ในเมื่อเป็นภารกิจ งั้นค่าตอบแทนคืออะไร”
ดวงตาซ่งเหอกวาดผ่านหน้ากากทั้งสี่แล้วพูดแฝงความนัย
“ไม่รู้ว่าพวกคุณจะสนใจเกี่ยวกับผู้ตื่นรู้บ้างหรือเปล่า
“ผมคงไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับมากเกินไป บอกได้เพียงแค่ว่าเรื่องที่ถานเจี๋ยรู้ได้ พวกคุณเองก็รู้ได้เหมือนกัน”
ดูเหมือนที่พวกเราจัดการกับผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉาไป อีกทั้งยังกลับมาอย่างปลอดภัยหลังจากที่ไปสำรวจวิหารต้องห้ามมา ก็เลยทำให้ผู้แจ้งเตือนคนนี้ยืนยันได้ว่าในบรรดาพวกเราต้องมีผู้ตื่นรู้อย่างน้อยหนึ่งคนสินะ และจากที่ผู้ตื่นรู้จะต้องมีพฤติกรรมประหลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าคนนั้นน่าจะเป็นซางเจี้ยนเย่า… เจี่ยงไป๋เหมียนไม่จำเป็นต้องหันหน้าไป ใช้หัวแม่เท้าคิดก็เดาได้ว่าตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าจะต้องมีสีหน้าระริกระรี้อยากรู้เต็มแก่แหงๆ
เธอ ‘กระแอม’ ออกมาคำหนึ่ง
“ความรู้นั้นย่อมมีค่าอยู่เสมอ ค่าตอบแทนนี้นับว่าไม่เลวทีเดียว
“ผู้แจ้งเตือนซ่ง พวกเราเชื่อใจคุณ งั้นเรื่องนี้ก็ไม่ต้องผ่านสมาคมนักล่าหรอก”
ผู้แจ้งเตือนซ่งยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ตกลง”
ในเมื่อตอบรับภารกิจเรียบร้อยแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เข้าสู่โหมดทำงานทันที
“ผู้แจ้งเตือนซ่ง คุณต้องมอบรายชื่อให้พวกเราด้วย
“เรื่องที่มุขนายกเรนาโต้ถูกย้ายกลับสำนักงานใหญ่กระทันหันก่อนที่พวกมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาจะบุกโจมตี เรื่องนี้ควรต้องเป็นความลับ ไม่น่าจะมีคนรู้มากเท่าไหร่”
“ผมเตรียมไว้แล้วล่ะ” ซ่งเหอหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของชุดคลุมยาวสีดำ “ที่เขียนไว้ในนี้แยกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือคนที่อยู่ในโบสถ์ตอนนั้นและเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง อีกส่วนก็คือคนที่ได้รับแจ้งในภายหลัง”
ส่วนแรกนั้นรู้ว่ามุขนายกเรนาโต้ป่วยด้วย ‘โรคไร้ใจ’
คุยกับคนฉลาดนี่ทำให้เรื่องง่ายขึ้นเยอะ… เจี่ยงไป๋เหมียนรับกระดาษแผ่นนั้นมาด้วยความยินดี
เธอยังไม่รีบดูในตอนนี้ ส่งซ่งเหอและแวร์ตูร์ออกจากห้องให้พวกเขากลับไปก่อน บอกว่าพรุ่งนี้เช้าถึงจะเริ่มสืบสวน
หลังจากปิดประตูห้องอีกครั้งแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็คลี่กระดาษแผ่นนั้นวางลงบนเตียงของตน
ส่วนแรกนั้นมีรายชื่อของ ‘ทีมเฉียนไป๋’ รวมอยู่ด้วย ได้แก่ เฉียนไป๋ จางชวี่ปิ้ง เซวียสือเยว่ และกู้จือหย่ง
“ในส่วนนี้ตอนนี้ยังไม่ต้องไปสนใจก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนดูข้อมูลไปก็พูดไปด้วย “แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่ว่าคนในรายชื่อส่วนนี้จงใจเปลี่ยนข้อมูลที่มุขนายกเรนาโต้ป่วยเป็น ‘โรคไร้ใจ’ ให้กลายเป็นถูกส่งกลับไปสำนักงานใหญ่กระทันหันเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกเปิดโปงทีหลัง ถึงยังไงสำหรับมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาแล้ว ทั้งสองอย่างนี้ไม่ว่าแบบไหนก็ไม่ได้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ”
ระหว่างที่พูด สายตาเธอก็เลื่อนไปที่เนื้อหาส่วนล่าง
รายชื่อส่วนนี้รวมไปถึงระดับอาวุโสตระกูลใหญ่ของคนภาษาธุลีสองสามคน ผู้ค้าของเถื่อนที่มีอำนาจของคนแม่น้ำแดงสองสามคน ถานเจี๋ย หานวั่งฮั่ว และยามเมืองระดับสูงที่ค่อนข้างมีอำนาจอีกจำนวนหนึ่ง
หากไม่ใช่เพราะเฮลเว็กตายไปแล้ว อันเฮอบัสถูกสงสัยว่าขายอาวุธให้มนุษย์ชั้นรอง พวกเขาต้องมีรายชื่อติดอยู่ในโผของคนที่รู้ล่วงหน้าถึงเหตุไม่คาดฝันของโบสถ์อย่างแน่นอน
เมื่อเลื่อนสายตาลงมาอีกหน่อย เจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นชื่อหนึ่งซึ่งทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยในเวลาเดียวกัน
ดิมาร์โก้
“เฮ้อ… ฉันลืมคนใน ‘นาวาบาดาล’ ไปซะสนิทเลยแฮะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วพึมพำกับตัวเอง
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในกระถางธูปสามขา[1] แล้ว ‘นาวาบาดาล’ อาจจะแข็งแกร่งกว่าคนภาษาธุลีและคนแม่น้ำแดงเสียอีก หากเกิดเหตุไม่คาดฝันทางโบสถ์นิกายตื่นตัวขึ้นมา ที่นั่นย่อมเป็นเป้าหมายอันดับแรกที่จะได้รับการแจ้งเตือน
หลงเยว่หงแสดงความเห็นพ้องออกมาทันที
“ใช่แล้ว พวกเขาวันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ใต้ดิน ถ้าไม่ใช่เรื่องทำการค้าก็ไม่ยอมโผล่ออกมา ขนาดว่ามนุษย์ชั้นรองบุกมาก็ยังไม่สนใจเลย…”
ครั้นพอพูดถึงตรงนี้ หลงเยว่หงก็ชะงักไปโดยพลัน
ไป๋เฉินช่วยต่อประโยคให้เขาจนจบ
“พวกเขาน่าสงสัยจริงๆ”
หลงเยว่หงร้อง “อืม” ออกมาหนึ่งคำ
“หัวหน้า คุณสงสัยพวกเขาหรือเปล่า”
“ก็มีอยู่บ้าง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญที่สุดหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดไปพูดไปแล้วก็หัวเราะออกมา “พวกเรากำลังหนักใจอยู่ว่าจะติดต่อกับดิมาร์โก้ได้ยังไง จะสืบหาสถานการณ์ตอนที่โลกเก่าถูกทำลายได้ยังไงอยู่ใช่ไหมล่ะ นี่แหละ… โอกาสมาถึงแล้ว”
ก่อนที่หลงเยว่หงกับไป๋เฉินจะตอบอะไร ซางเจี้ยนเย่าก็พูดชมเชยขึ้นมา
“หัวหน้านี่ชั่วร้ายจริงๆ”
* * * * *
[1] กระถางธูปสามขา (三足鼎) กระถางธูปแบบโบราณของจีน มีขนาดใหญ่และมีขาตั้งอยู่สามขาเอาไว้ประคองรับน้ำหนัก คำนี้จึงใช้เปรียบเทียบกับผู้คนหรือสิ่งของที่เป็นแกนสำคัญ หากขาดไปหนึ่งจะทำให้เรื่องนั้นต้องล้มเหลว