รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 232 เรื่องราวพลิกผัน
ซางเจี้ยนเย่าไม่เห็นด้วยกับคำอธิบายของโจเซฟมากนัก
“ปกติเขาไม่ได้เสียสติหรือไง”
“นอกจากเรื่องนิสัยโหดร้ายกับขี้โมโหแล้ว ด้านอื่นๆ ของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ก็ปกติมากเลยนะ” โจเซฟแย้ง
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าเถียงต่อ เธอถามแทรกขึ้น
“งั้นในตอนนั้นพฤติกรรมของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ต่างจากปกติยังไง”
“ผมก็เพิ่งพูดไปไม่ใช่หรือไง” สีหน้าโจเซฟกลายเป็นหม่นหมองอีกครั้งราวกับกำลังนึกถึงเรื่องเลวร้าย “เขาโหดเหี้ยมมากกว่าเดิม ไม่ได้เมตตาอารีกับพวกยามอีก ทุกๆ วันที่มาทำหน้าที่พวกเราก็ได้แต่ตัวสั่นงันงก กลัวว่าถ้าเกิดเผลอผายลมออกมาแล้วมิสเตอร์ดิมาร์โก้ได้ยินเข้าก็จะถูกเขาสั่งให้ตาย”
พอล ยามอีกคนหนึ่งแสดงความเห็นใจออกมา
“ก่อนหน้านี้ก็มียามคนหนึ่งที่มิสเตอร์ดิมาร์โก้ไว้ใจมาก เขาถูกเฆี่ยนจนตายเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นั้นเอง”
โจเซฟเล่าต่อ
“นอกจากเรื่องนี้แล้ว มิสเตอร์ดิมาร์โก้ก็อยากจะมีลูกจนแทบคลั่ง ในเมื่อคนรักเหล่านั้นมีลูกให้ไม่ได้เขาก็เลยหมายตาเหล่าภรรยาของบรรดาคนรับใช้ที่เคยผ่านการมีลูกมาแล้ว… พวกเรา… พวกเราโกรธมากแต่ก็ไม่กล้าปริปากออกมา
“ยังดีที่สภาพแบบนี้ของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ไม่ได้เป็นอยู่หลายปีนัก ไม่งั้นพวกเราก็คงจะคิดเรื่อง…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดไม่พูดต่อ เริ่มระวังปากคำตัวเอง
เห็นได้ชัดว่าถึงแม้เขาจะคิดว่าซางเจี้ยนเย่าเป็นมิตรมากพอ แต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยด้านมืดในใจออกมา
หากดิมาร์โก้เกิดรู้เรื่องนี้เข้า เขาก็จะเป็นคนถัดไปที่ถูกแทรกคิวเอามาฝังไว้ที่หุบเขาแห่งนี้
“ที่ดิมาร์โก้กลับมาเป็นปกติเป็นเพราะในที่สุดเขาก็มีลูกนะเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
ยิ่งฟังเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไรเธอก็ยิ่งเกิดความรู้สึกว่าความยึดติดของดิมาร์โก้ที่มีต่อเด็กนั้นค่อนข้างผิดปกติ แสดงถึงอาการป่วยอย่างชัดเจน
พึงรู้ว่านอกจากเด็กที่เสียชีวิตไปแล้ว ดิมาร์โก้ก็ยังมีลูกในไส้เหลืออยู่อีกถึงสองคน
“ไม่ใช่” โจเซฟปฏิเสธการคาดเดาของเจี่ยงไป๋เหมียน “อาจเป็นเพราะหลังจากที่มิสเตอร์ดิมาร์โก้ได้ระบายออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าก็เลยทำให้เขาค่อยๆ กลับมามีสติสัมปชัญญะเป็นปกติเหมือนเดิม เมื่อห้าเดือนก่อน ในที่สุดภรรยาน้อยของเขาก็ตั้งท้อง”
“ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นลูกเขา” ซางเจี้ยนเย่าเสนอความเป็นไปได้
“ระ… เรื่องนี้… พวกเราก็ไม่รู้” โจเซฟไม่ได้ช่วยแก้ต่างให้ดิมาร์โก้
เจี่ยงไป๋เหมียนมองออกว่าพวกยามของ ‘นาวาบาดาล’ เองก็คงคิดในทำนองนี้เช่นกัน บางทีอาจจะมีเดิมพันกันด้วยก็ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นพ่อที่แท้จริงของเด็ก
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น
“ลูกของมิสเตอร์ดิมาร์โก้อีกสองคนที่เหลือเป็นหญิง ส่วนคนที่ตายไปเป็นเด็กผู้ชายงั้นเหรอ”
นี่เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะนึกออกแล้วเกี่ยวกับสาเหตุที่ดิมาร์โก้คลั่งจนแทบเสียสติเพราะการตายของ
ลูกคนสุดท้อง
“เด็กที่ตายไปเป็นเด็กผู้ชายจริงๆ นั่นแหละ” โจเซฟเกาจมูกโตของตัวเอง “แต่อีกสองคนที่เหลือนั่นเป็นหนึ่งหญิงหนึ่งชาย”
เจี่ยงไป๋เหมียนพลันสมองตันขึ้นมาทันที
ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างกระตือรือร้น
“พวกเราตามพวกคุณเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ ได้ไหม”
“ไม่ได้!” โจเซฟกับพอลสั่นศีรษะพร้อมกัน สีหน้าแสดงความตื่นตระหนกอยู่บ้าง
“ทำไมล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าแสดงสีหน้าว่าไม่เข้าใจ
โจเซฟอธิบายให้ฟังอย่างรวดเร็ว
“ทางเข้าทุกจุดจะมีการตรวจสอบสามครั้ง มียามเฝ้าอยู่หลายคน ตอนที่พวกเราออกมามีกันแค่สองคน แต่ถ้าขากลับมีตั้งหกคนแบบนี้ แค่มองแว่บเดียวก็รู้แล้วว่ามีปัญหาแน่!”
เขาเข้าใจว่าพวกจางชวี่ปิ้งนั้นต้องการใช้ตัวเองกับพอลเพื่อลักลอบเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’
“ผมคุยกับพวกเขาได้” ซางเจี้ยนเย่าเสนอวิธีแก้ปัญหาออกมาอย่างจริงใจ
โจเซฟยังคงส่ายหน้า
“ไม่มีประโยชน์หรอก พวกเราทุกคนกลัวมิสเตอร์ดิมาร์โก้กันทั้งนั้น ถ้าไม่มีคำอนุญาตของเขา พวกเราก็ไม่กล้าให้คนนอกเข้าไปหรอก”
“ยิ่งกว่านั้น ที่จุดตรวจทุกจุดก็มีกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้ด้วย จะมียามชุดพิเศษที่รับผิดชอบห้องกล้องโดยเฉพาะ ถ้าเกิดปัญหาขึ้น ทั้งลิฟต์และพวกอุปกรณ์ต่างๆ จะถูกตัดไฟทันที ทำ ‘นาวาบาดาล’ ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง”
พอลที่เป็นยามอีกคนหนึ่งพูดเสริม
“งานอดิเรกอย่างหนึ่งของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ก็คือเฝ้าดูกล้องวงจรปิด
“ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีใครกล้าทำลวกๆ กันหรอก”
น่าเสียดายที่ ‘ตัวตลกชักจูง’ ของซางเจี้ยนเย่าไม่สามารถแสดงประสิทธิผลได้ถึงระดับที่ต้องการเมื่อต้องใช้ผ่านกระบวนการแปลงที่ซับซ้อน กล้องวงจรปิดเองก็ไม่มีเสียงด้วยเหมือนกัน… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกเสียดาย จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“พวกคุณเข้าใจเราผิดแล้วล่ะ
“เราไม่ได้มีแผนจะใช้พวกคุณเพื่อแอบลอบเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ หรอก แค่อยากจะฝากพวกคุณไปบอกมิสเตอร์ดิมาร์โก้หน่อยเท่านั้นเองว่าเราอยากจะไปหาเขาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับโลกเก่าน่ะ
“นั่นคือวัตถุประสงค์หลักของเรา นอกจากนั้นก็เป็นพวกคำถามเล็กๆ น้อยๆ อีกไม่กี่ข้อ”
โจเซฟกับพอลถอนหายใจโล่งอกพร้อมๆ กัน ร่างกายไม่ได้เขม็งเกร็งอีก
คนแรกถามขึ้นมาอย่างยินดี
“พวกคุณแนะนำตัวเองหน่อยสิ เพราะมิสเตอร์ดิมาร์โก้คงต้องถามเรื่องนี้ด้วย”
“ทีมนักล่าซากอารยะ หัวหน้าทีมคือมาดามเฉียนไป๋” เจี่ยงไป๋เหมียนใช้ภาษาแม่น้ำแดงแนะนำตัวและชี้ไปที่ไป๋เฉิน
โจเซฟกับพอลกวาดสายตาไปมองด้วยความงุนงงสงสัยว่าทำไมหัวหน้าทีมของอีกฝ่ายนั้นทั้งสงบปากสงบคำที่สุด
และมีความสูงที่น้อยที่สุดในทีม
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ดีว่าการแนะนำตัวเพียงเท่านี้ย่อมไม่เพียงพอ จึงโพล่งออกมาอีกประโยค
“เป็นทีมนักล่าซากอารยะที่ก่อนหน้านี้จัดการกับผู้นำสารของมนุษย์มัจฉาเพื่อช่วยชุมชนศิลาแดงเอาไว้น่ะ”
“หือ” โจเซฟกับพอลยิ่งงุนงงมากขึ้นอีก
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ใน ‘นาวาบาดาล’ จึงถูกจำกัดเรื่องข่าวสาร แทบไม่ทราบเรื่องราวของโลกภายนอกมากนัก
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่เฉพาะชนชั้นระดับล่างเท่านั้น ซึ่งคนระดับบนไม่ว่าจะเป็นดิมาร์โก้ พ่อบ้านของเขา และหัวหน้ายาม น่าจะรู้จัก ‘ทีมเฉียนไป๋’ ที่กำลังโด่งดังอยู่ในชุมชนศิลาแดงในช่วงนี้
“แนะนำมิสเตอร์ดิมาร์โก้ไปแบบนี้นี่แหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดเสริม
“ได้” โจเซฟกับพอลตอบตกลง
หลังจากนั้นพวกเขาก็หันไปมองกระสอบที่ใส่ศพของพ่อบ้านคาร์ลทันที เหมือนว่ากำลังลังเลว่าจะรีบกลับไป ‘นาวาบาดาล’ เพื่อรายงานดี หรือว่าควรจะฝังศพก่อนดี
เมื่อเห็นดังนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนจึงพูดด้วยรอยยิ้ม
“วางใจเถอะ ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น เดี๋ยวพวกเราจัดการให้เอง”
เพื่อน… หัวหน้า… คุณไปหัดลูกไม้ของซางเจี้ยนเย่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่… หลงเยว่หงแอบค่อนแคะอยู่ในใจสองประโยค
เมื่อโจเซฟกับพอลเห็นอีกฝ่ายรับปากแล้วก็เบาใจ พากันกลับหลังหันเข้าไปในถ้ำทันที
หลังจากมองดูพวกเขาหายลับไปจากสายตาแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ออกคำสั่งต่อซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง
“เอาศพของพ่อบ้านคาร์ลไปไว้ท้ายรถจี๊ป”
“หือ” หลงเยว่หงที่กำลังจะหยิบพลั่วก็พลันชะงักไป
เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายอย่างไม่ใส่ใจ
“เอาไปให้แวร์ตูร์ชันสูตรอย่างละเอียดก่อน ดูว่ามีอะไรแปลกเกี่ยวกับสาเหตุการตายหรือเปล่า”
อย่างนี้นี่เอง… เมื่อครู่นี้หลงเยว่หงหลงเชื่อเสียสนิทใจว่าหัวหน้าทีมตั้งใจจะเล่นบทคนดีไปจนจบ
ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่ามองไปที่ถ้ำแห่งนั้นแล้วถอนหายใจ
“น่าเสียดาย…”
“นายกำลังคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ก็จะไม่สามารถใช้ความฉลาดกับพลังผู้ตื่นรู้เพื่อแอบเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ โดยไม่ให้ใครรู้หรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดล้อเขาด้วยรอยยิ้ม
ซางเจี้ยนเย่าหันไปชำเลืองเธอ
“ผมเสียดายที่เอาบาซูก้าไปยิงถล่มเพื่อเปิดประตู ‘นาวาบาดาล’ โดยตรงเลยไม่ได้น่ะ”
“นายเป็นคนบ้าระห่ำแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนแปลกใจ
ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความสัตย์
“ตั้งแต่ไม่กี่นาทีก่อนนี่เอง ตอนนี้ผมคือนายบ้าระห่ำ”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนมองซางเจี้ยนเย่าขึ้นๆ ลงๆ สองสามครั้งแล้วยอมแพ้ที่จะพูดเรื่องนี้ต่อ
หลังจากซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงช่วยกันนำศพพ่อบ้านคาร์ลขึ้นรถจี๊ปเสร็จ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็รออยู่พักใหญ่กว่าจะเห็นโจเซฟและพอลจะกลับออกมา
พวกเขายังคงสวมเครื่องแบบสีเขียวมะกอกที่ตัดอย่างเรียบง่ายและถือปืนกลมือเอาไว้
เมื่อมองเห็นซางเจี้ยนเย่ามองตนเองด้วยความคาดหวัง โจเซฟก็พูดอย่างรู้สึกผิด
“มิสเตอร์ดิมาร์โก้ให้มาบอกพวกคุณว่าเขาไม่มีอะไรจะคุยด้วย
“เขาจะติดต่อเฉพาะมุขนายกนิกายตื่นตัวเท่านั้น”
“ไม่เป็นไร” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ดึงดันเพราะถึงอย่างไรคนที่อยู่ต่อหน้าเธอในตอนนี้นั้นไม่ใช่เจ้าของสถานที่
พวกเขาเดินกลับไปยังจุดที่รถจี๊ปจอดอยู่ ซางเจี้ยนเย่าโบกมือลาโจเซฟกับพอล
หลังจากรถจี๊ปขับออกมาจากเชิงเขาภูเหล็กแล้ว หลงเยว่หงก็อดถามขึ้นไม่ได้
“งั้นจะทำไงกันต่อดีล่ะ คิดหาวิธีแอบเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ เหรอ”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองสังเกตสภาพด้านนอกไปพลาง พูดพึมพำกับตัวเองไปพลาง
“ฉันกำลังคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง
“คุ้มไหมกับการที่จะเสี่ยงเพื่อลงไปพูดคุยกับดิมาร์โก้ใน ‘นาวาบาดาล’
“บรรพบุรุษเขาอาจจะไม่รู้อะไรเลยก็ได้ เป็นแค่เพียงโรคกลัววันโลกแตกจนขึ้นสมองเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องทรยศชุมชนศิลาแดงก็ดี หรือเรื่องภารกิจที่เลห์แมนมอบหมายก็ดี สำหรับพวกเราแล้วเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรแม้แต่นิดเดียว สืบสวนตรวจสอบให้รู้ชัดก็ดีแหละ แต่ถึงไม่รู้ก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ถึงยังไงพวกเราก็ไม่ได้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ค่าตอบแทนก็ไม่ได้รับมา”
ไป๋เฉินเห็นด้วย
“เหตุผลหลักที่พวกเราไม่สามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ก็เพราะนิกายตื่นตัวไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยอมให้พวกเราติดต่อกับดิมาร์โก้โดยตรง นี่เป็นปัญหาของพวกเขา ไม่เกี่ยวกับเราเลย”
“ใช่!” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
“แต่ถึงแม้เราจะไม่เสี่ยงแอบบุกรุกเข้าไป ก็ยังพูดคุยปรึกษาเรื่องแผนได้เหมือนกัน เผื่อว่าในอนาคตอาจไปเจอกับเรื่องอะไรลักษณะแบบนี้เข้า เริ่มคิดไว้ตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่เสียหลาย”
หลงเยว่หงมองซางเจี้ยนเย่าที่นั่งอยู่ด้านข้าง ไม่พูดถึงแผนที่คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าให้ ‘สร้างเพื่อน’ กับพ่อบ้าน จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในลังวัตถุปัจจัยที่จะขนเข้าไป
นี่ไม่ใช่เพราะว่าพ่อบ้านคาร์ดตายไปแล้ว แต่เป็นเพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าดิมาร์โก้เป็นคนโหดร้ายขนาดไหน
หากว่าใช้วิธีนี้ล่ะก็ พ่อบ้านที่เกี่ยวข้องคงไม่มีทางรอดแน่
“ช่องระบายอากาศล่ะ” หลงเยว่หงพิจารณาดูแล้วพูดขึ้น “ถึงแม้วีลจะบอกว่าปากทางช่องระบายอากาศทุกช่องจะมียามเฝ้าอยู่ แต่ผมคิดว่าจำนวนคนไม่น่าจะมีมากเท่ากับช่องทางเข้าออกปกติ พวกเราควบคุมตัวยามเอาไว้ก่อนแล้วทำให้หมดสติ เท่ากับว่าเป็นการแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ทำให้เกิดอะไรผิดสังเกต”
มี ‘พันธนาการมือ’ และ ‘คนไร้เหตุผล’ ของซางเจี้ยนเย่าอยู่ เรื่องนี้จึงนับว่าง่ายดายไร้ปัญหา
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ
“วิธีนี้ก็เป็นไปได้ แต่ต้องตรวจสอบก่อนว่าปากทางช่องระบายอากาศมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่หรือเปล่า แล้วถ้ามี จะแก้ยังไง”
ระหว่างการถกประเด็นในกลุ่ม ซางเจี้ยนเย่ากลับยังคงนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เจี่ยงไป๋เหมียนสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยปากถาม
“เฮ้ นายมีแผนอะไรที่ต่างไปจากนี้บ้างไหม”
ซางเจี้ยนเย่าโน้มตัวไปข้างหน้าทันทีแล้วพูดอย่างจริงจัง
“งั้นผมมีคำถามที่ต้องถามให้แน่ใจก่อน
“จุดประสงค์ของเราก็คือต้องการหาวิธีติดต่อกับดิมาร์โก้ แล้วคุยกับเขา ถูกไหม”
หลังจากได้รับคำตอบยืนยันแล้ว เขาก็พูดต่อ
“ดิมาร์โก้บอกว่าเขาจะติดต่อเฉพาะมุขนายกของนิกายตื่นตัวเท่านั้น
“ถ้าเป็นอย่างนั้น วิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ก็ง่ายมาก
“ขอเพียงแค่พวกเราได้เป็นมุขนายกนิกายตื่นตัว ปัญหานี้ก็แก้ไขเรียบร้อย”
เจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ ผ่อนหายใจออกแล้วพูด
“แค่คิดมันก็ง่ายอยู่แล้ว
“ปัญหาก็คือการได้เป็นมุขนายกนิกายตื่นตัวมันง่ายซะที่ไหนละยะ”
เรื่อง ‘การเฝ้ามองที่ประตู’ นั้นยังเป็นความทรงจำที่เป็นแผลสดสำหรับเธออยู่เลย
ก่อนฟ้ามืด ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ไปถึงชุมชนศิลาแดงแล้วกลับไปยังย่านที่พัก ช่วงกลางวันนั้นไม่มีเรื่องอะไรให้พวกเขาวิตกกังวล
ทว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็มีคนมาหาพวกเขา
คนผู้นี้คล้ายกับพ่อบ้านคาร์ล สวมชุดพ่อบ้านสีดำที่ตัดเย็บอย่างประณีต อยู่ในวัยสี่สิบปี หวีผมเรียบร้อย แต่รากผมที่หน้าผากเริ่มถดถอยไปพอควร
ดูจากรูปลักษณ์แล้ว ทำให้คนรู้สึกถึงความจริงจัง
เขากวาดตาสีฟ้ามองดูทุกคนรอบๆ แล้วพูดอย่างแสดงความเคารพ
“ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ ผมชื่ออูลล์ริช เป็นพ่อบ้านของมิสเตอร์ดิมาร์โก้
“เขาอยากเชิญพวกคุณไปพบกันที่ห้องรับรองพิเศษใน ‘นาวาบาดาล’”
หือ… ที่ประหลาดใจไม่ได้มีเพียงแค่หลงเยว่หงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ด้วย
เพียงแค่คืนเดียว ดิมาร์โก้ก็เปลี่ยนใจแล้วเหรอ