รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 254 สถาบันวิจัย
ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจี่ยงไป๋เหมียน หรือจะเป็นหลงเยว่หงกับไป๋เฉิน ต่างก็เกิดความคิดที่คล้ายคลึงกันผุดขึ้นมาทันที
เป็นไปได้ไง…
ตามสามัญสำนึกของพวกเขา นักรบจักรกลนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการรับมือ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ หากว่ากันตามหลักเหตุผลแล้วก็ไม่ควรจะมีปัญหาอะไรนี่นา
แต่แน่นอนว่านี่เป็นเพียงตามสามัญสำนึกของพวกเขาเท่านั้น คนส่วนใหญ่ในทาร์นั้นไม่รู้สถานการณ์อย่างเฉพาะเจาะจงของผู้ตื่นรู้และ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ด้วยซ้ำ พวกเขาเห็นเพียงแค่ว่านักรบจักรกลนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง การส่งยามจักรกลออกไปสิบตัวก็เหลือเฟือแล้วสำหรับจัดการปัญหาในเขตภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้
นี่เป็นกำลังพลที่สามารถจัดการทหารธรรมดาได้ทั้งกอง!
แต่ใครจะรู้ พวกมันกลับขาดการติดต่อไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น
นี่ทำให้ชาวเมืองทาร์นันที่เมื่อคืนยังรู้สึกปลอดภัยไร้กังวลกลับกลายเป็นตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
ทาร์นันมียามจักรกลอยู่ทั้งหมด 24 ตัว นี่เท่ากับว่าหายไปพร้อมกันเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว!
ยามจักรกลนั้นล้วนแต่เป็นหุ่นสมองกลทั้งหมด แตกต่างไปจากพวกหุ่นยนต์ที่รับผิดชอบหน้าที่ตรวจการณ์ ซ่อมบำรุง ทำความสะอาด
“สถานการณ์ในภูเขาน่าจะซับซ้อนกว่าที่พวกเราคิดไว้” เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมา หลังจากใคร่ครวญแล้วก็พูดขึ้น “บางทีปัญหาอาจจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ก็ได้”
เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าที่ครุ่นคิดอยู่ก็พูดขึ้น
“ผมคิดถึงคนคนหนึ่ง”
“ใคร” แม้ว่าเจี่ยงไป๋เหมียนพอจะคาดเดาได้อย่างเลือนลาง แต่ก็ยังเอ่ยปากถาม
ซางเจี้ยนเย่าทอดถอนใจ เผยสีหน้าที่หวนคะนึงหาออกมา
“เสี่ยวชง”
“ความหมายของนายก็คือ…” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามลดเสียงให้เบาลง “‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น ไม่ใช่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ธรรมดา แต่ว่าไปถึงระดับของเสี่ยวชงแล้วงั้นเหรอ”
ถึงแม้สมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ กลุ่มนี้จะไม่เคยเห็นพลังที่แท้จริงของเสี่ยวชง แต่ก็พอจะประเมินได้จากการที่มี ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ จำนวนมากมาคอยปกป้องคุ้มครองเขา เชื่อฟังคำสั่งเขา สั่งให้ทำอะไรก็ได้ตามต้องการ
ถ้าหากเทียบว่า ‘คนไร้ใจ’ ทั่วไปนั้นอยู่ในระดับ ‘ห้องโถงดารา’ หรือ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ อย่างนั้นเสี่ยวชงก็คงไม่ต่ำกว่าระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ แน่นอน ไม่น่าจะด้อยกว่าพยัคฆ์ยมราช ดีไม่ดีอาจจะแข็งแกร่งกว่าเสียด้วยซ้ำ
“ก็คงประมาณนั้น” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างสงบ “ผมเพียงแค่คิดว่าถ้าเสี่ยวชงเข้าไปในภูเขาที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นอยู่แล้วจะเกิดอะไรขึ้น จะทำให้อีกฝ่ายเชื่อฟังได้ไหม”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้เขาก็ดวงตาเป็นประกาย ใช้กำปั้นขวาทุบลงบนฝ่ามือซ้าย
“ถ้าผมแกล้งทำตัวเป็นเสี่ยวชง จะได้ผลเหมือนกันหรือเปล่านะ”
“นายสูงเกินไป” เจี่ยงไป๋เหมียนคร้านจะคุยด้วยเหตุผล เธอระบุปัญหาออกมาตรงๆ
“นั่นสินะ” ซางเจี้ยนเย่าถอนใจอีกครั้ง “ต่อให้ใช้เข่าเดินก็ยังสูงกว่าเขาอยู่ดี”
เพื่อนเอ๋ย นายจะกังวลเรื่องความสูงของสหายตัวจ้อยนั่นมากไปหน่อยแล้วละมั้ง… หลงเยว่หงค่อนขอดเขาในใจพร้อมกับคิดว่าโชคดีที่คนที่ถูกล้อครั้งนี้ไม่ได้เป็นตนเอง
เป็นเพราะถูกซางเจี้ยนเย่าขัดจังหวะ ทำให้พวกเจี่ยงไป๋เหมียนหมดอารมณ์ถกกันต่ออีก จึงหันไปสนใจเกี่ยวกับคำอธิบายภารกิจแทน
เมื่ออ่านจนจบ หลงเยว่หงก็อดพูดขึ้นไม่ได้
“ภารกิจนี้จ่ายแค่ 500 แต้มเองเหรอ”
ระดับภารกิจก็เพียงแค่ระดับ B ซึ่งเหนือกว่าภารกิจสืบหาสาเหตุการสังหารหลิวต้าจ้วงในเมืองหญ้าไพรเพียงแค่ระดับเดียวเท่านั้น
ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับคฤหาสน์เจ้าเมืองจึงถูกให้ค่าไว้สูง แต่ก็นับว่าเป็นคดีธรรมดาบนพื้นโลก ส่วนภารกิจในตอนนี้มันเกี่ยวข้องกับยามจักรกลถึงสิบตัว ซึ่งถ้าหากพวกมันรวมตัวกันก็สามารถถล่มกองกำลังป้องกันเมืองหญ้าไพรให้ย่อยยับได้
แต่แน่นอนว่าเงื่อนไขประการแรกก็คืออีกฝ่ายนั้นต้องไม่ได้เตรียมการตั้งค่ายไว้ล่วงหน้าแล้วขนสรรพอาวุธมารอต้อนรับ
อยู่นะ
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็รู้สึกว่านี่มันค่อนข้างแปลก แต่แล้วพอลองใคร่ครวญดูก็พบว่าเป็นเช่นนี้ก็มีเหตุผล
“นี่เป็นเพียงแค่การสืบสวนสถานการณ์เท่านั้น ไม่ใช่ให้ไปจัดการ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นโดยตรง”
นี่ก็คือภารกิจสอดแนม ไม่ใช่ภารกิจกำจัดสัตว์ประหลาด ความอันตรายนั้นก็นับว่าอันตราย แต่ก็ถือว่าดีกว่าการไปเผชิญกับเป้าหมายที่น่าสะพรึงตนนั้นซึ่งๆ หน้าอย่างแน่นอน
ไป๋เฉินผงกศีรษะเห็นพ้อง
“ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจไม่เจออันตรายอะไรเลยก็ได้”
อย่างเช่นว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงสนามรบที่ผ่านการต่อสู้กับยามจักรกลและร่องรอยอื่นๆ เท่านั้น
หากเป็นเช่นนั้น ถึงแม้ว่าพวกยามจักรกลจะถูกทำลายไปหมดแล้วแต่ก็ยังสามารถตรวจสอบสถานการณ์อย่างเฉพาะเจาะจงได้จากข้อมูลที่อยู่ใน ‘กล่องดำ ’ ในตัวพวกมัน
“ค่าตอบแทนนี้นับได้ว่าใจกว้างมากแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวเสริม
ผู้ที่นำเสนอรางวัลก็คือเจ้าเมืองทาร์นัน เกอนาวา เขาได้เตรียมหุ่นยนต์ต่อสู้สิบตัวที่ไม่ได้เป็นหุ่นสมองกลเอาไว้ให้เป็นรางวัลสำหรับนักล่าที่รวบรวมข้อมูลสำคัญมาได้
แต่ถ้าหากไม่ต้องการหุ่นยนต์ ก็สามารถเลือกเป็นวัตถุปัจจัยที่มีมูลค่าเทียบเคียงกันได้
“จะรับไหม” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความกระตือรือร้น
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขา
“เรื่องนี้ยังนับว่าอันตรายอยู่บ้าง พวกเราเองก็ไม่ได้เป็นนักล่าตัวจริงที่ต้องพึ่งพิงภารกิจเพื่อยังชีพ”
ซางเจี้ยนเย่าอธิบายประหนึ่งว่านี่คือธุระของตนเอง
“ผมอยากเปลี่ยนค่าตอบแทนเป็นรถที่แปลงร่างเป็นหุ่นยนต์ได้”
“เอ่อ…” เจี่ยงไป๋เหมียนเริ่มลังเล
ฟังดูแล้วก็เหมือนว่าจะไม่เลวนัก
แต่… แต่นั่นก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะให้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ต้องไปเสี่ยงอันตรายถึงขนาดนั้น
หากว่านั่นเป็น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ในระดับเสี่ยวชงจริงๆ ครั้งนี้ก็คงไม่อาจหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะมีพี่ใหญ่อย่างตู้เหิงผ่านมาได้อีก
แล้วไป๋เฉินก็พูดอย่างใจเย็นขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“หรือจะแลกกับคำขอเพื่อเข้าพบ ‘ซอร์สเบรน’ ไหมล่ะ”
“นั่นสินะ…” คิ้วเจี่ยงไป๋เหมียนขมวดมุ่น ตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ
ในขณะที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังพยายามจะพูดอะไรออกมา เธอก็ถอนหายใจแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ
“ก่อนอื่นพวกเราต้องยืนยันให้ได้ก่อนว่าสามารถเปลี่ยนค่าตอบแทนเป็นการขอพบกับ ‘ซอร์สเบรน’ ได้หรือเปล่า เรื่องถัดมาก็คือเราต้องรวบรวมข้อมูลทุกอย่างในทาร์นันมาให้หมด เพื่อวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงว่ามีมากแค่ไหน…”
พูดจบเธอก็กลับหลังหันเดินไปยังประตูทางเข้าออกของสมาคมนักล่า
ตอนนี้หลงเยว่หงก็พูดเบาๆ ออกมาประโยคหนึ่ง
“เกอนาวายังไม่ได้ปฏิเสธคำขอเข้าพบ ‘ซอร์สเบรน’ ของเราไม่ใช่เหรอ”
“นั่นสินะ… งั้นก็รออีกสักหน่อยก็แล้วกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนตระหนักว่าในเมื่อเส้นทางยังไม่ได้ถูกปิดตาย เช่นนั้นก็ยังไม่จำเป็นต้องรีบเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่น
ถึงอย่างไรปัญหาที่เขตภูเขาตะวันตกเฉียงใต้ก็คงไม่ถูกขจัดได้ในเร็ววัน
* * * * *
เช้าวันถัดมา หลังจาก ‘ทีมสำรวจเก่า’ เสร็จสิ้นการฝึกภาคเช้าก็มียามจักรกลที่สวมเครื่องแบบทหารสีเขียวเข้มตัวหนึ่งถือปืนบาซูก้ามายังโรงแรม ‘ฝันนิทรา’ เพื่อพบพวกเขา
“มีเรื่องอะไรเหรอ” เมื่อพวกเจี่ยงไป๋เหมียนได้รับโทรศัพท์แจ้งก็ลงมาที่ชั้นล่างแล้วเอ่ยถามขึ้น
ยามจักรกลที่มีดวงตาเรืองแสงสีน้ำเงินตอบกลับด้วยน้ำเสียงราวกับแม่เหล็กที่ไร้ซึ่งอารมณ์
“ผู้การเกอนาวาให้ผมมาแจ้งพวกคุณว่า ‘ซอร์สเบรน’ จะไม่พบใคร”
“ทราบแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ดีว่าอีกฝ่ายที่อยู่ต่อหน้านั้นจะไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้
จนกระทั่งยามจักรกลออกจากโรงแรมไปแล้ว ไอนอร์ มาดามเจ้าของโรงแรมซึ่งนั่งอยู่ที่แผนกต้อนรับถึงได้เอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“พวกคุณอยากเจอ ‘ซอร์สเบรน’ งั้นเหรอ”
“ทำไมล่ะ คุณมีวิธีเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างแปลกใจ
ซางเจี้ยนเย่ารีบพุ่งไปด้านหน้าไอนอร์ทันที
วันนี้ไอนอร์สวมกระโปรงยาวผ้าแคชเมียร์ดูเฉิดฉายเช่นเคย เธอเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าแล้วคลี่ยิ้มให้
“ฉันเองยังไม่เคยเจอ ‘ซอร์สเบรน’ เลย แล้วจะไปมีวิธีได้ไงกัน”
พูดมาถึงตรงนี้เธอก็เปลี่ยนเรื่องสนทนา
“‘สวรรค์จักรกล’ นั้นค่อนข้างให้ความใส่ใจเกี่ยวกับโลกเก่ามาก ถึงกับตามหาคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”
“อย่างเช่นแม็กซิเมียนสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเชื่อมโยงความสัมพันธ์ได้ในทันที
ไอนอร์หัวเราะออกมาประหนึ่งบุปผาเบ่งบาน
“สาวน้อยคนนี้หัวไวมากจริงๆ สมัยก่อนฉันเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่พูดถึงคนคนนี้ บอกว่าเขาเป็นหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยที่สาม”
“สถาบันวิจัยที่สาม…” เจี่ยงไป๋เหมียนพลันนึกถึงเฉียวชูกับสถาบันวิจัยที่แปดที่อยู่เบื้องหลังเขาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“ถูกต้อง” ไอนอร์ผงกศีรษะ “ส่วนมันจะเป็นอะไรนั้น ฉันก็ไม่ค่อยรู้นักหรอก รู้เพียงแค่ว่ามีสถาบันวิจัยอะไรแบบนี้อยู่เก้าแห่ง พวกมันเป็นสถาบันวิจัยที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยคนประเทศแดนธุลีที่แข็งแกร่งที่สุดกับคนประเทศแม่น้ำแดงที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่ก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลายลงไป เหมือนว่าจะมีเป้าหมายหลักก็คือการรับมือกับอนาคตอะไรทำนองนั้นละมั้ง”
มาดามเจ้าของโรงแรมผู้นี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดาสินะ ถึงได้รู้เรื่องมากขนาดนี้… เจี่ยงไป๋เหมียนฟังจนจบก็ลอบถอนใจ
“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณออกมาจากใจ
“แค่ขอบคุณอย่างเดียวก็พอแล้วหรือไง” ไอนอร์พูดกลั้วหัวเราะ “ต้องให้พ่อหนุ่มรูปหล่อทั้งสองคนมานอนค้างกับฉันสักคืนด้วยสิ”
“แค่ก แค่ก…” หลงเยว่หงเกือบจะสำลักน้ำลายตาย
“ได้ ได้” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างตื่นเต้น “พวกเราเต้นได้ ร้องเพลงเป็น เล่นไพ่ชำนาญ ให้แข่งขันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“พอแล้ว ฉันแค่ล้อเล่นเท่านั้นแหละ” ไอนอร์ยิ้มพลางส่ายหน้า “ฉันอายุปูนนี้แล้ว กระดูกกระเดี้ยวไม่แข็งแรง ทนถูกหนุ่มๆ จับพลิกไปพลิกมาไม่ไหวหรอก”
ทำไมมันฟังคุ้นๆ แฮะ อ้อ ใช่แล้ว ประธานกู้ป๋อเคยพูดทำนองนี้เหมือนกัน… หลงเยว่หงชะงักไปแล้วก็นึกขึ้นได้
กล่าวอำลาไอนอร์เสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ให้ไป๋เฉินขับรถไปที่ริมฝั่งตะวันตกเพื่อไปยังศาลาว่าการ ไปหาเกอนาวา ผู้เป็นเจ้าเมืองทาร์นันและเป็นกัปตันของยามจักรกล
ศาลาว่าการนั้นตั้งอยู่ที่อาคารสิบชั้นในริมฝั่งตะวันออก ผนังเป็นกระจกที่เช็ดสะอาดสะอ้าน พื้นผนังทุกตารางนิ้วสะท้อนแสงสีทองส่องอำไพของดวงตะวัน
ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไป พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าก็เห็นสิ่งที่เรียกว่าหุ่นยนต์ทำความสะอาด มันดูเหมือนไม้ถูพื้นที่มีหนวดรยางค์จักรกลงอกออกมามากมายหลายเส้นสามารถพันรอบวัตถุได้ แต่ละเส้นมียางดูดสูญญากาศที่ปลาย
นี่ทำให้มันสามารถทำความสะอาดได้ทุกพื้นที่ ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน
นอกจากหุ่นยนต์ทำความสะอาดแล้วก็ยังมีหุ่นยนต์ต่อสู้ที่ติดตั้งโมดูลอาวุธเอาไว้มากมาย หุ่นยนต์ถังขยะที่เปิดเพลงคลอไว้เบาๆ หุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงที่มีรูปร่างเป็นแมวเป็นสุนัข และหุ่นอื่นๆ อีกสารพัดประเภท
ข้างในนี้มีหุ่นสมองกลที่สวมเครื่องแบบอยู่เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น นับว่าน้อยมาก
หลังจากส่งข้อความแจ้งไปแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ไปพบหุ่นเจ้าเมืองเกอนาวาที่ห้องทำงานชั้นบนสุด
มันยังคงสวมเครื่องแบบทหาร ยืนอยู่เบื้องหน้าบานหน้าต่างสูง จ้องมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
รอจน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่เข้าไปใกล้แล้ว มันถึงจะหันหลังกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงห้าวที่นุ่มหูของผู้ชาย
“พวกคุณมีธุระอะไรเหรอ
“ถ้าหากเป็นเรื่องขอเข้าพบกับ ‘ซอร์สเบรน’ ก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้วล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยรอยยิ้ม
“แล้วถ้าพวกเราไปสืบสวนเรื่อง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่เขตภูเขาตะวันตกเฉียงใต้จนกระจ่าง และพายามเมืองที่หายตัวไปกลับมาได้ แบบนี้พอจะพบกับ ‘ซอร์สเบรน’ ได้หรือเปล่า”
เกอนาวานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ผมช่วยถามให้พวกคุณได้ แต่รับรองคำตอบไม่ได้
“แต่ถ้าหากไม่ได้จริงๆ พวกคุณสามารถเลือกสิ่งตอบแทนเป็นอย่างอื่นได้”
นี่เป็นคำตอบที่เจี่ยงไป๋เหมียนคาดเอาไว้อยู่แล้ว เธอตอบกลับไป
“ที่จริงแล้ว หากพวกคุณคิดจะจัดการเรื่องภูเขาตะวันตกเฉียงใต้ก็ง่ายมาก
“หลังจากที่ประเมินหาตำแหน่งโดยคร่าวๆ แล้วก็ยิงขีปนาวุธถล่ม ระดมยิงปืนใหญ่ ใช้สารพัดวิธีกวาดมันให้ราบเป็นหน้ากลอง”
นี่เป็นวิธีการรับมือ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับกองทัพมนุษย์ ถึงแม้จะสิ้นเปลืองกระสุนไปบ้าง แต่สำหรับ ‘สวรรค์จักรกล’ แล้วไม่นับเป็นเรื่องลำบาก
เกอนาวาเดินขึ้นหน้ามาสองสามก้าว
“ประการแรกคือปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ ประการที่สองคือภูมิประเทศในเขตภูเขาค่อนข้างสลับซับซ้อน มีที่ซ่อนให้หลบอยู่เต็มไปหมด ประการที่สาม…”
เขาหยุดไปอึดใจก่อนจะพูดต่อ
“ยามเมืองทั้งสิบนั่นเป็นเพื่อนผม ถ้ายังไม่รู้สถานการณ์แน่ชัดของพวกเขา ผมก็ยังไม่อยากเสี่ยง”
* * * * *