รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 255 สอบถาม
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างเมื่อได้ยินหุ่นสมองกลพูดคำว่า ‘เพื่อน’ ออกมา แต่เจี่ยงไป๋เหมียนก็เข้าใจได้ จากสิ่งที่ได้พบเห็นได้ยินได้ฟังมาจนถึงตอนนี้ทำให้เธอสรุปออกมาได้ว่า…
ที่ ‘สวรรค์จักรกล’ หุ่นสมองกลนั้นมีสถานภาพสูงกว่าหุ่นยนต์ทั่วไป และมีจำนวนไม่มากนัก
ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ การที่แกนหลักโปรแกรมของเกอนาวาจะยกให้ ‘ความเป็นความตาย’ ของยามจักรกลมีความสำคัญมากกว่า จึงนับได้ว่าเป็นเรื่องปกติมาก
“ผมเข้าใจ” ผู้ที่พูดประโยคนี้ออกมาไม่ใช่เจี่ยงไป๋เหมียน ทว่าเป็นซางเจี้ยนเย่า
เขาเองก็รู้สึกเฉกเช่นเดียวกันยามที่สูญเสียพี่น้องต่างสายเลือดไปเมื่อก่อนหน้า
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้สานต่อหัวข้อนี้ เธอเปลี่ยนเรื่องพูด
“เราจำเป็นต้องให้คุณอนุญาตบางเรื่องเพิ่มเติมเสียก่อน รวมถึงต้องการข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อีกด้วย เพื่อจะได้ประเมินระดับความอันตรายของภารกิจ จากนั้นถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะรับภารกิจนี้หรือไม่”
เกอนาวาเดินกลับมาที่เก้าอี้มีพนัก หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะแล้วเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงสังเคราะห์ของผู้ชายที่ทุ้มนุ่มนวล
“ได้ พวกคุณอยากรู้เรื่องอะไร”
ในตอนนี้หลงเยว่หงถึงได้เข้าใจคำพูดของหัวหน้าทีมเมื่อครู่นี้ แต่ก็ยังรู้สึกถึงความผิดปกติอะไรบางอย่างอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่าเกอนาวาจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมและให้การอนุญาตในเรื่องที่เกี่ยวข้องก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนหากว่าระดับความอันตรายสูงเกินไป ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ยังสามารถเลือกได้ว่าจะปฏิเสธภารกิจ เลิกล้มข้อตกลงนี้ได้อยู่ดี
นี่… นี่มันเป็นการจับเสือมือเปล่าใช่ไหม
เพียงแค่ใช้คำพูดไม่กี่คำก็ได้ข้อมูลสำคัญกลับมาตั้งเยอะโดยไม่ต้องจ่ายแม้แต่แดงเดียว!
แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลเช่นกัน นักล่าซากอารยะส่วนใหญ่ย่อมอยู่ห่างจากภารกิจที่มีข้อมูลไม่เพียงพออยู่แล้ว ดังนั้นเวลาที่มีผู้แจ้งภารกิจต่อสมาคม พวกเขาจึงต้องขอรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อการตรวจสอบ
“มีผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวใช่ไหม เขาพูดอะไรหรือเปล่า”
แสงสีน้ำเงินในดวงตาเกอนาวากะพริบวูบวาบสองครั้งก่อนจะตอบ
“ถูกต้อง มีผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว เขาชื่อจางจิ้น มีชื่อเล่นว่าจางเก้า เป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมล่าซากอารยะทีมหนึ่ง
“เดิมทีพวกเขาต้องการไปยังเขตภูเขาตะวันตกเฉียงใต้เพื่อล่าสัตว์ป่าที่ทนหิวโหยในฤดูหนาวไม่ไหวจนต้องออกหากิน ทว่าสุดท้ายแล้วกลับมีเขาเพียงแค่คนเดียวที่ขับรถกลับมา
“ตอนที่เขากลับมาถึงน่ะ ทั้งตัวมีแต่เลือด เขาพูดกับยามที่ปากทางเข้าริมฝั่งตะวันออกเพียงแค่ประโยคเดียวว่า ‘มีคนไร้ใจขั้นสูง’ แล้วก็หมดสติไป รอจนเขาฟื้นขึ้นมา พวกเราก็พบว่าเขากลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว เอาแต่ตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่า ‘ตายแล้ว… ทุกคนตายหมดแล้ว’ ‘ฉันเอง… ฉันเป็นคนฆ่า’ เราไม่สามารถสอบถามรายละเอียดของสถานการณ์ได้แม้แต่น้อย”
“ไม่มีข้อมูลอย่างอื่นอีกแล้วเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ
“ไม่มีแล้ว” เกอนาวาสั่นศีรษะจักรกลสีดำเงิน
“คุณรู้สถานการณ์เพียงนิดเดียวแค่นี้ แต่ก็ยังจะส่งยามออกไปอีกเนี่ยนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนอดพูดประโยคนี้ออกมาไม่ได้
แม้แต่จำนวนของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ก็ยังไม่รู้แน่ชัด นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายมีมนุษย์ร่วมมือด้วยหรือเปล่า พลังอย่างเฉพาะเจาะจงของเขาคืออะไร รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธที่ใช้ด้วย
เกอนาวานิ่งเงียบไปชั่วขณะ
“พวกเราเคยมีประสบการณ์ในการรับมือ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ มาแล้ว แถวภูชีลาร์สมัยก่อนมี ‘คนไร้ใจ’ อยู่ไม่น้อย…”
พวกมันล้วนแต่ถูกยามจักรกลกวาดล้างไปหมดสิ้น
ที่น่าแปลกก็คือพวกเจี่ยงไป๋เหมียนหลงเยว่หงรู้สึกถึงความละอายใจเจืออยู่ในน้ำเสียงของเกอนาวาด้วย
หุ่นสมองกลจำลองความรู้สึกละอายใจได้ด้วยเหรอเนี่ย…
“ช่างเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดอะไรอีก
เขาไม่ได้เป็นลูกน้องเธอ และไม่ได้เป็นหัวหน้าด้วยเช่นกัน อีกทั้งพวกเขาต่างก็ยังไม่ได้สนิทขนาดที่จะคุยกันได้อย่างเปิดอก
แล้วตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ทำไมเขาถึงมีชื่อเล่นว่าจางเก้าล่ะ
“เป็นเพราะแม่เขามีลูกเก้าคน แล้วเขาเป็นคนสุดท้องงั้นเหรอ”
ขณะที่เกอนาวาพูด ปากเขาก็อ้าๆ หุบๆ ไปด้วย
“ไม่ใช่ เป็นเพราะทีมนักล่าซากอารยะของเขามีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสิบคน พวกเขาทำตามหนังสือโบราณ สาบานเป็นพี่น้องกัน นับตามอายุแล้วเขาอ่อนเป็นอันดับรองสุดท้าย”
ฟังแล้วน่าเวทนาจริงๆ หากเป็นเราเองก็คงสติแตกเหมือนกัน… หลงเยว่หงสูดปาก
พี่น้องร่วมสาบานทั้งเก้าคนตายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ ตัวเองก็เสียสติ
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจ
“เราอยากจะขออนุญาตพบจางเก้าหน่อย ดูว่าจะสอบถามข้อมูลอะไรได้บ้าง”
“ได้” เกอนาวาแสดงท่าทีว่าเข้าใจ “แต่คงไม่มีหวังมากนัก พวกเราลองใช้สารพัดวิธีมาแล้ว ถึงแม้จะใช้อุปกรณ์ล้ำยุคก็ยังไม่มีคำพูดอื่นออกจากปากเขา”
“ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้หรอก ใช่ไหมล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หันไปมองซางเจี้ยนเย่า
‘ทีมสำรวจเก่า’ นั้นมียอดฝีมือด้านการสอบปากคำ ไม่สิ… ยอดนักเจรจา อืม ก็ยังไม่ใช่… อ้อ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างปฏิสัมพันธ์!
เกอนาวาไม่ได้พูดอะไร เขาก้มลงกับโต๊ะแล้ววาดลายเซ็น เนื้อหา กุญแจรหัส ข้อมูลพวกนี้อยู่ในรูปแบบของลวดลายเข้ารหัสที่ซับซ้อน
การป้องกันการปลอมแปลงในระดับนี้ ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าต่อให้ตนเองควบม้าก็ยังไล่ตามไม่ทัน
ทว่าเธอก็ยังมีเรื่องข้องใจอยู่เล็กน้อย
“พวกคุณน่าจะมีการเชื่อมต่อไร้สายระหว่างกันไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่ส่งใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ไปให้กับยามที่ดูแลจางเก้าโดยตรง แล้วก็แนบภาพถ่ายพวกเราไปด้วยเลยล่ะ”
“นี่เป็นขั้นตอนมาตรฐาน ไม่สามารถเล่นตุกติกใช้ลูกไม้อะไรได้ ทำให้คนอื่นหาช่องโหว่ได้ไม่ง่ายนัก
กฎบัญญัติของพวกหุ่นสมองกลอย่างพวกคุณก็คือ ‘กระบวนการยุติธรรม’ หรือไงเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนรับใบอนุญาตมา จากนั้นก็พาพวกซางเจี้ยนเย่ากล่าวอำลาแล้วกลับขึ้นไปยังรถจี๊ป
ขณะที่ไป๋เฉินสตาร์ทรถ เธอก็ถามขึ้น
“จากข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในตอนนี้ คิดว่าพอจะอนุมานอะไรออกมาได้บ้าง”
ซางเจี้ยนเย่าตอบทันที
“จางเก้าไม่น่าจะโกหก”
“ทำไมนายถึงคิดอย่างนั้นล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยสีหน้าเที่ยงธรรม
“คนบ้าโกหกไม่เป็น”
ทฤษฎีบ้าบออะไรเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนถ่มน้ำลายด้วยความโมโหระคนขบขัน
แล้วซางเจี้ยนเย่าก็พูดต่อ
“‘บาทหลวง’ ก็สามารถทำให้จางเก้าฆ่าเพื่อนตัวเองได้เหมือนกัน ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นอาจจะมีพลังคล้ายๆ กันก็ได้”
“หลังจากที่จางเก้าได้สติคืนมา เขายอมรับความจริงไม่ได้ ก็เลยสติแตกสินะ” หลงเยว่หงเองก็แสดงความคิดเห็นด้วย เขารู้สึกว่านี่เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
“ค่อนข้างเป็นไปได้มาก” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ
ระหว่างที่พูดคุยกัน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็กลับมาถึงริมฝั่งตะวันออก แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนไปที่โรงพยาบาลทาร์นัน พวกเขาไปที่สมาคมนักล่ากันก่อนเพื่อดูว่ามีใครมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมบ้างหรือไม่
ครั้นพอเข้าไปที่ห้องโถงพวกเขาก็กวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่ามีทีมนักล่าซากอารยะรับภารกิจนี้ไปแล้ว
“ใครรับภารกิจไปเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเรียกนักล่าผู้หนึ่งให้หยุดเพื่อสอบถาม
พวกนั้นมั่นใจในตัวเองชะมัด!
นักล่าผู้นั้นเหลือบมองเธอแล้วยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เป็นทีมนักล่ามาจากต่างถิ่นน่ะ หัวหน้าทีมมีหัวเสี้ยวหนึ่งเป็นโลหะ”
“สหายพี่ชายรูปหล่อนี่เอง!” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยความยินดีปรีดา
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ นึกออกแล้วว่าเป็นใคร
นั่นคงเป็นทีมนักล่าซากอารยะซึ่งได้เจอกันที่จุดเติมน้ำ ทีมที่เตือนพวกเธอว่ามี ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ปรากฏตัวขึ้นในภูชีลาร์
อืม… พวกคนที่โชคดีรอดมาได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลือกมาแค่ที่ทาร์นันเท่านั้นนี่นา ยังเลือกหนีไปที่อื่นนอกเขตภูชีลาร์ได้ด้วย… ตอนนั้นคนคนนั้นบอกว่ามีนักล่าซากอารยะหลายทีมที่บาดเจ็บล้มตาย… ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ได้มีแค่ทีมของจางเก้าหรอกที่ไปเจอกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นเข้า ยังมีพวกนักล่าทีมอื่นด้วย
คนพวกนั้นน่าจะมีข้อมูลสำคัญมากกว่าทางนี้… เห็นได้ชัดว่าทีมที่เตือนพวกเรานั่นคงไปเจอกับคนที่รอดชีวิตคนอื่นๆ มา และได้รู้รายละเอียดบางอย่าง ถึงได้กล้ารับภารกิจนี้… แต่แน่นอนว่ายังมีประเด็นที่ว่าคนพวกนั้นแข็งแกร่งกันสุดๆ ก็เลยมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม จุดนี้ยังตัดทิ้งไปไม่ได้เหมือนกัน… ขณะที่ความคิดเจี่ยงไป๋เหมียนวิ่งพล่าน เธอก็คิดออกมาได้หนึ่งแผน
เธอถามคนผ่านมาซึ่งมีสีหน้าโง่งมคนนั้นต่อ
“แล้วนักล่าต่างถิ่นกลุ่มนั้นล่ะ”
“ออกเดินทางไปแล้วล่ะ เข้าไปในภูเขาแล้ว” คนผ่านทางผู้นั้นตอบออกมาตามความเป็นจริง
หลังจากถามไปอีกรอบหนึ่งแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ไม่ได้รับข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีก พวกเขาจึงได้แต่ขับรถขึ้นไปทางเหนือของริมฝั่งตะวันออกเพื่อไปยังโรงพยาบาลทาร์นัน
หน้าห้องผู้ป่วยที่จางเก้าพักฟื้นอยู่มียามจักรกลสวมเครื่องแบบสีเขียวเข้มยืนตัวตรงเขม็ง
เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายถึงเจตนาที่มา และยื่นใบอนุญาตซึ่งเป็นลายมือของเกอนาวาไปให้อีกฝ่าย
ดวงตาของยามจักรกลตัวนั้นเปล่งแสงสีน้ำเงินสว่างวาบขณะสแกนสัญลักษณ์ซับซ้อนบนแผ่นกระดาษ
หลังจากเสียงบิ๊บดังขึ้น มันก็ผงกศีรษะแล้วพูดขึ้น
“ตรวจสอบเรียบร้อย ไม่มีปัญหา พวกคุณเข้าไปข้างในได้”
สะดวกชะมัด… หลงเยว่หงแอบชื่นชมอยู่ในใจ
* * * * *
ภายในห้องผู้ป่วย จางเก้าที่ยังไม่นับว่าอยู่ในวัยชรานอนขดตัวอยู่บนเตียง ห่มตัวด้วยผ้าผืนหนาสีขาว ตัวสั่นเทาไม่หยุด สายตาลอกแลกประหนึ่งว่าสติไม่อยู่กับตัว
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นฤดูหนาวก็ตามที แต่การแสดงออกของเขาที่หนาวสั่นขนาดนั้นก็ดูจะเกินจริงมากไปหน่อย
เจี่ยงไป๋เหมียนส่งสายตาให้ซางเจี้ยนเย่า ส่วนตนเองเข้ามาแล้วก็หยุดยืนอยู่เพียงแค่หน้าประตูก่อนจะงับปิดเอาไว้
ซางเจี้ยนเย่าเดินตรงเข้าไปนั่งลงที่ขอบเตียง จางเก้าที่มีตอหนวดตอเคราบนใบหน้าอย่างชัดเจนรีบกระเถิบตัวไปที่หัวมุมเตียง แสดงความเครียดกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ต้องกลัว คุณดูสิ…” ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะออกมา “คุณเป็นมนุษย์ ผมเองก็เป็นมนุษย์ คุณเป็นนักล่าซากอารยะ ผมเองก็เป็นนักล่าซากอารยะ ดังนั้น…”
เนื่องจากจางเก้ายังฟังภาษาคนรู้เรื่องและยังตอบคำถามได้ ดังนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนจึงประเมินว่า ‘ตัวตลกชักจูง’ น่าจะเกิดผลอยู่บ้างในระดับหนึ่ง
ส่วนเรื่องที่ว่าจะถามอะไรคนเสียสติได้บ้างนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
จางเก้าฟังคำพูดซางเจี้ยนเย่าอย่างงงๆ งวยๆ จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้น ไม่ได้ตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำอีก
“นาย… นายคือพี่ใหญ่หวังงั้นเหรอ” เขาพูดอย่างลังเล แต่ก็เจือด้วยความตื่นเต้น
เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉินนั้นงุนงงไปอึดใจก่อนจะเดาได้ว่าพี่ใหญ่หวังนั้นหมายถึงใคร
เมื่อเข้าใจเรื่องนี้แล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกถึงความเศร้าสร้อยที่ชำแรกเข้ามาในหัวใจ
“ใช่แล้ว” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเบาๆ แล้วถามออกมาตรงๆ “ทำไมนายถึงฆ่าพวกเขาซะล่ะ”
“ผม…” จางเก้าหยุดไปชั่วขณะก่อนร้องออกมาด้วยเสียงสูงกว่าเดิม “ผมเปล่า… ผมเปล่าทำ! พี่ใหญ่หวัง พี่ต้องฟังผมนะ ผม… ผมแค่ฆ่าพวกสัตว์ประหลาดเท่านั้น!”
พูดๆ ไป เขาก็นิ่งเงียบงัน จากนั้นก็หัวเราะด้วยน้ำตาที่ไหลอาบหน้า
“ฮ่า ฮ่า ใช่… ใช่แล้ว ผมเป็นคนฆ่าพวกเขาเอง! ผมเอง ผมเอง!”
ซางเจี้ยนเย่ายกมือขวาขึ้นมาแล้วทำท่ากดมือลงเพื่อให้เขาสงบใจ
“นอกจากสัตว์ประหลาดแล้ว นายยังเห็นอะไรอีก”
จางเก้าสงบลงเล็กน้อย สายตาค่อยๆ หม่นหมองลงประหนึ่งว่ากำลังเข้าไปในห้วงความทรงจำที่ย้อนภาพเล่นอย่างช้าๆ ทีละเฟรมทีละเฟรม
แล้วทันใดนั้นเขาก็สะบัดผมสีดำยุ่งเหยิงร้องโพล่งออกมา
“มังกร… มีมังกร!”
เสียงนี้ดังก้องอยู่ในห้องราวกับมันเกิดเป็นเสียงสะท้อนดังซ้ำๆ