รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 257 มายาลวงตา
โจวเยว่พึมพำกับตัวเองแล้วก็มองไปยังพวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่า คิดใคร่ครวญก่อนจะพูดออกมา
“ถ้าหากเป็นแค่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่มีพลังพิเศษในการสร้างภาพหลอนทั่วๆ ไป หรือว่าจางจิ้นกำลังเสียสติก็เลยเห็นมังกร นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตระหนกตกใจอะไร แต่พอเอาสองเรื่องนี้มารวมกัน มันก็บังเอิญเกินไปจริงๆ นั่นแหละ”
“ที่จริงยังมีคำอธิบายอย่างอื่นได้อีก เรื่องนี้ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด” ซางเจี้ยนเย่าที่ขาดเพียงแค่กล้องยาสูบในปากเท่านั้นเอ่ยปากขึ้น
โจวเยว่คิดว่าคนผู้นี้เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เธอผงกศีรษะเล็กน้อย
“นั่นก็จริงนะ และยังมีความเป็นไปได้ที่ว่าจางจิ้นเคยได้ยินพวกเราเทศน์ รวมถึงความเป็นไปได้ที่ว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นมีความสนใจในเรื่องราวเกี่ยวกับมังกรของโลกเก่าพอสมควรก่อนที่จะเป็น ‘โรคไร้ใจ’
“แต่ไม่ว่าจะยังไง ฉันก็ต้องรายงานเรื่องนี้ขึ้นไป ดูว่าพวก ‘ผู้ปกป้องมายาฝัน’ จะมีความเห็นยังไงกันบ้าง”
เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญคำพูดก่อนจะกล่าวออกมา
“พวกเราไม่ได้สงสัยนิกายคุณหรอกนะ เพียงแค่รู้สึกว่ามันมีอะไรประจวบเหมาะเกินไปหน่อย”
“ไม่หรอก” เจ้าอารามหนานเคอโจวเยว่สะบัดแขนเสื้อในขณะพูด “หลังจากได้ฟังคำอธิบายจากปากพวกคุณแล้ว ฉันเองก็รู้สึกติดใจอยู่เหมือนกัน”
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อื้อ อื้อ” ออกมาสองคำ แต่ไม่ได้สานต่อหัวข้อนี้อีก เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน
“เจ้าอารามโจว เหตุผลหลักๆ ที่พวกเรามาที่นี่เพราะต้องการขอคำชี้แนะค่ะ
“ถ้าพวกเราต้องการขึ้นเขาไปตรวจสอบเรื่อง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ไม่ทราบว่าควรต้องรับมือกับภาพหลอนยังไง”
สายตาโจวเยว่กวาดมองใบหน้าสมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ พูดพลางผงกศีรษะเบาๆ
“ขอบเขตเกี่ยวกับภาพมายาลวงตานั้นกว้างใหญ่มาก ฉันมีความรู้ความเข้าใจในด้านนี้เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น
“ถ้าพวกคุณไม่ถือสา งั้นฉันก็จะอธิบายให้ฟังแบบง่ายๆ ก็แล้วกัน”
ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของ ‘นิกายมังกรพยับ’ ในทาร์นัน อีกทั้งยังเป็นเจ้าอารามด้วย โจวเยว่คงไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าตนเองไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับภาพหลอน
ภาพมายาลวงตานั้นเรียกได้ว่าแทรกซึมผสมผสานอยู่ในคำสอนของนิกายเลยทีเดียว
“ผมไม่ถือสาครับ” ซางเจี้ยนเย่ารีบบอกออกมา
เวลาแบบนี้ถ้าบอกว่าไม่ถือสานั่นแหละจะทำให้คนอื่นเขามองว่านายน่ะถือสาย่ะ ถ้านายต้องการรักษามารยาทจริงๆ ก็ต้องบอกว่า ‘เชิญพูดมาได้เลย’ ต่างหาก… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบค่อนขอดอยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา
โจวเยว่มองทุกคนรอบๆ แล้วลดเสียงลงเล็กน้อย
“โลกใบนี้ก็คือภาพมายาลวงตา เป็นความฝันที่เกิดจากผู้ครองกาล
“จุดมุ่งหมายหลักของพวกเรานิกายมังกรพยับก็คือทำให้ผู้ครองกาล ‘มายาฉาย’ พึงพอใจ เพื่อที่พระองค์จะได้เก็บมายาลวงตาแห่งความทุกข์ยากลำเค็ญนี้กลับคืนไป และมอบโลกใหม่แท้จริงอันงดงามให้ปรากฏเบื้องหน้าพวกเรา”
โอ้… ไม่เสียทีที่เป็นเจ้าอาราม ถือโอกาสเผยแผ่นิกายไปด้วยเลย… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกขบขัน ทว่ายังตีสีหน้าว่ากำลังฟังอย่างจดจ่อตั้งใจ
เมื่อโจวเยว่พูดมาถึงตรงนี้เธอก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าเอนหลังปานกลางพร้อมกับยกสองมือเล็กน้อยอีกครั้งเพื่อสักการะต่อสิ่งที่
อยู่ในความว่างเปล่าบนอากาศอีกครั้ง
“มังกรพยับผู้อยู่เหนือสิ่งใด”
สักการะเสร็จเธอก็พูดต่อ
“กิจวัตรในชีวิตประจำวันของฉันจะต้องพบปะติดต่อกับมายาลวงตาตลอด ถ้าฉันบอกว่าไม่รู้ว่าอะไรคือมายาลวงตา หรือไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับมันยังไง งั้นก็เท่ากับว่าเป็นการโกหกพวกคุณแน่นอน
“แต่พวกคุณก็คงเห็นแล้วว่าฉันเองก็ยังสับสนทนทุกข์ในความฝันอยู่เลย”
เฮ้อ… โจวเยว่ถอนใจ
“ประเด็นที่สำคัญที่สุดของมายาลวงตาก็คือ ไม่ว่ายังไงพวกมันก็คือมายาลวงตา ถึงแม้จะเหมือนจริงขนาดไหนก็ตาม แต่มันก็ยังคงมีจุดที่เป็นมายาลวงตาอยู่ดีไม่ว่าจะมากน้อยเพียงใด หากจับจุดนั้นได้ก็จะทำลายภาพมายาได้
“แน่นอนว่าถ้าเป็นมายาลวงตาในระดับผู้ครองกาล ความฝันที่พระองค์สร้างขึ้นนั้นย่อมยากจะแยกจริงเท็จได้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถมองทะลุได้โดยอาศัยเพียงแค่ตนเอง”
“แล้วจะหาจุดที่เป็นของปลอมได้ยังไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ
เมื่อได้ฟังหลักปรัชญาของ ‘นิกายมังกรพยับ’ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามีส่วนคล้ายกับนิกาย ‘นิกายนิรันดร์ยืนยง’ ทั้งโจวเยว่และนักพรตเต๋ากาโลแรนนั้นมีทัศนคติในการจัดการเรื่องราวที่คล้ายคลึงกันไม่น้อย ต่างกันเพียงแค่ว่าฝ่ายหนึ่งนั้นพึ่งพาทวยเทพมากกว่า ในขณะที่อีกฝ่ายใส่ใจในประสบการณ์และความเข้าใจถึงหลักแห่งเต๋ามากกว่า ส่งผลให้แต่ละฝ่ายมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไม่น้อย
ที่เห็นได้ง่ายที่สุดก็คือโจวเยว่นั้นแสดงออกถึงว่า ‘ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพียงมายาลวงตา ทำไมต้องไปจริงจังอะไรมากมาย’ ส่วนทางด้านกาโลแรนนั้นเน้นไปทาง ‘ปล่อยตามยถากรรม’ ‘ดำเนินตามธรรมชาติแห่งเต๋า’
โจวเยว่คลี่ยิ้มจางๆ
“งั้นฉันขออาสาสมัครสักคนหน่อยสิ”
เมื่อเธอพูดขาดคำ ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และไป๋เฉิน ต่างก็หันไปมองหลงเยว่หงเป็นตาเดียว
“…” หลงเยว่หงถึงกับใบหน้าแข็งทื่อไปสองวินาทีเต็ม
ในเมื่อถูกคนทั้งกลุ่มตัดสินชะตาชีวิตให้แล้ว เขาจึงทำได้เพียงแค่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม สืบเท้าก้าวออกไปข้างหน้า
“ผมเอง”
ถึงยังไงก็ต้องวางมาดไว้ก่อนว่าตนเองเป็นคนอาสาด้วยตัวเอง
โจวเยว่ผงกศีรษะแล้วชี้ไปยังเก้าอี้มีพนักสีดำตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมสุดของด้านหลังสุดของเก้าอี้ที่เรียงเป็นแถวเอาไว้
“คุณลองจับมันสิ”
แค่นี้เองเหรอ… หลงเยว่หงเดินเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัย จากนั้นก็ก้มตัวลงพร้อมกับค่อยๆ ยื่นมือออกไปอย่างระวัง
หลังจากมือเอื้อมไปแตะเก้าอี้ เขาก็รู้สึกถึงผิวสัมผัสของเนื้อไม้ ทั้งความแข็งและพื้นผิวที่ขรุขระไม่เรียบเนียนของวัสดุ
“เป็นไงบ้าง” โจวเยว่ถามด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาเธอในตอนที่ยิ้มนั้นหยีจนมองเห็นเป็นเส้นเดียว
“ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกตินะ” หลงเยว่หงแสดงความรู้สึกออกมาตามจริง
“งั้นคุณลองนั่งลงไปสิ” โจวเยว่มีคำขออย่างอื่นอีก
หลงเยว่หงทำตามคำขอ ‘แค่นี้’ อีกครั้ง เขาหันหลังแล้วค่อยๆ หย่อนก้นนั่งลงไป
ในขณะที่ร่างกายท่อนล่างกำลังจะสัมผัสถูกเก้าอี้นั้น ถึงแม้จะรู้สึกถึงแผ่นไม้ได้อย่างชัดเจน ทว่าก้นเขากลับทะลุพรวดลงไป
แม้ว่าเขาจะเตรียมใจเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม แต่ในตอนนี้กลับไม่อาจหยุดร่างเอาไว้ได้ เขาร่วงลงไปก้นกระแทกพื้นเสียงดังพลั่ก
ในช่วงระหว่างที่กำลังร่วงลงไปนี้ เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตนกำลังจมลงไปในเก้าอี้มีพนักตัวสีดำ แต่ไม่อาจรับรู้ถึงอะไรได้เลย
ครั้นเมื่อเขารีบลุกขึ้นมายืนแล้วหันกลับไปมอง เก้าอี้ตัวนั้นก็ไม่ได้สลายหายไปไหน
“นี่… นี่เป็นภาพลวงตางั้นเหรอ” เขาร้องด้วยความประหลาดใจ
ก่อนที่จะนั่งลงไป ไม่ว่ามองจากมุมไหนเขาก็รู้สึกว่าเก้าอี้นั่นเป็นของจริงแท้แน่นอน
โจวเยว่ยิ้มให้แล้วผงกศีรษะ
“ใช่แล้วล่ะ
“ดังนั้นสิ่งที่พวกคุณเห็น ไม่ว่ามันจะดูจริงขนาดไหนก็ตาม แต่มันก็ไม่อาจแทนที่ของจริงได้อยู่ดี จริงไม่อาจปลอม ปลอมไม่อาจจริง”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้น
“ดังนั้นการจะตัดสินว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่จึงต้องใช้ผลตามความเป็นจริง ไม่ใช่การตอบสนองจากประสาทสัมผัสสินะ”
“นั่นก็เป็นวิธีหนึ่งที่ได้ผล แต่ไม่สามารถใช้ตรวจสอบได้ครอบคลุมทุกเรื่อง” โจวเยว่กล่าวอย่างระวังคำพูด
แล้วตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็เสนอแนวคิดหนึ่งขึ้นมา
“ถ้าหากพวกเราจับมือกันเดินขึ้นเขา แบบนี้ก็จะวางใจได้ ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะเจออิทธิพลจากภาพหลอนที่ทำให้มองเห็นเพื่อนในกลุ่มเป็นสัตว์ประหลาดได้ใช่ไหม”
เจี่ยงไป๋เหมียนได้ฟังก็เข้าใจความหมายของเขา
คนที่จับมือเอาไว้นั่นก็คือสหายร่วมทีม
แบบนี้ก็น่าจะได้ละนะ แต่พอลองนึกภาพตามแล้วมันรู้สึกพิกลแฮะ… เจี่ยงไป๋เหมียนนึกถึงสถานการณ์ที่ซางเจี้ยนเย่าบรรยายก็พลันให้นึกถึงภาพเด็กๆ กำลังเล่นรีๆ ข้าวสารกัน
โจวเยว่ร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ถ้าว่ากันตามทฤษฎีแล้วก็ได้แหละ แต่สองคนที่อยู่กลางแถวจะต่อสู้ยังไงล่ะ”
เพราะมือทั้งสองข้างถูกคนอื่นจับเอาไว้
“ผมใช้เท้ายิงปืนได้” ซางเจี้ยนเย่าเสนอ ‘วิธีแก้ปัญหา’
โจวเยว่ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้จะตอบเช่นไร หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดสักพักก็พูดขึ้น
“แบบนี้มันก็ยังไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี”
เมื่อเห็นว่าพวกหลงเยว่หงยังคงงุนงงอยู่ เธอจึงอธิบายเพิ่มเติม
“นี่ไม่ได้รับประกันว่าคนที่คุณจับมือไว้จะไม่ ‘หายตัว’ ไปกะทันหัน”
การ ‘หายตัว’ ที่เธอพูดถึงนั้นไม่ได้หมายถึงการหายไปจริงๆ แต่เป็นการหายไปจากประสาทสัมผัสรับรู้
ในเมื่อมองไม่เห็นใครคนนั้น ไม่ได้ยินเสียงเขา ไม่สามารถรับรู้สัมผัสในฝ่ามือที่จับเอาไว้ นั่นก็คือการ ‘หายตัว’ ไป
ซางเจี้ยนเย่าได้คิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้ว เขามองไปที่หลงเยว่หงแล้วพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“ถ้าเขาหายไปเมื่อไหร่ ผมจะหยิกเขาทันที”
“…” ภายในใจหลงเยว่หงนั้นมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นมา
แล้วนายจะมาหยิกฉันทำไม…
แต่แล้วเขาก็ตระหนักขึ้นได้ทันทีเพราะพบกับช่องโหว่
“ต่อให้คนที่ถูกหยิกร้องออกมา นายก็ไม่ได้ยินอยู่ดีนั่นแหละ
“อีกอย่างนะ ตอนที่หยิก นายเองก็ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ากำลังหยิกอยู่ ไม่…”
พอพูดออกมาเรื่อยๆ หลงเยว่หงก็เข้าใจความหมายที่แท้จริงของซางเจี้ยนเย่าได้ในที่สุด
ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเพื่อนหายตัวอยู่ก็จริง แต่ในขณะที่ซางเจี้ยนเย่าหยิกนั้นนิ้วจะไม่จมลงไปมากนักเพราะว่ามือของจริงยังคงมีตัวตนอยู่นั่นเอง
“แบบนี้ก็ใช้ได้” เจ้าอารามหนานเคอโจวเยว่เห็นด้วย
แล้วเธอก็กล่าวเสริมอีก
“แต่นี่ก็ขึ้นอยู่กับว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นเชี่ยวชาญในเขตพลังด้านไหน เขาอาจจะทำให้พวกคุณเกิดการรับรู้ด้านระยะทางผิดพลาด”
“อย่างนี้นี่เอง…” เจี่ยงไป๋เหมียนพบว่าก่อนหน้านี้ตนเองมีความเข้าใจในเรื่องภาพมายาลวงตาน้อยเกินไป
หลังจากสนทนาต่ออีกครู่หนึ่ง เธอก็เป็นตัวแทน ‘ทีมสำรวจเก่า’ กล่าวอำลาอย่างมีมารยาท
โจวเยว่ที่สวมชุดคลุมยาวสีขาว คาดเชือกป่านรอบเอว มองดูพวกเขาจากไป ก่อนจะหมุนกายกลับไปทางหิ้งสักการะที่มีสัญลักษณ์มังกรยักษ์พลางพูดพึมพำกับตัวเอง
“เรื่องนี้มีอะไรแปลกจริงๆ ด้วยสิ…”
วู้… มีสายลมพัดผ่านลานเข้ามาในศาลาธรรม
เก้าอี้มีพนักสีดำที่เรียงรายเป็นแถว รวมไปถึงเหล่าผู้ศรัทธาที่กำลังนั่งสวดภาวนาอยู่ข้างโจวเยว่พลันมลายหายไปหมดสิ้น
สถานที่แห่งนี้กลับกลายเป็นรกร้างว่างเปล่า นอกจากหิ้งสักการะ คานไม้ เสา และตัวเจ้าอารามแล้ว ก็มีเพียงเบาะรองนั่งสีน้ำเงินเข้มอีกไม่กี่ใบเท่านั้น
* * * * *
บนรถจี๊ปที่จอดอยู่ด้านนอก ซางเจี้ยนเย่าเพิ่งจะนั่งลงไปก็พูดขึ้นมาทันที
“คนที่อยู่ในนั้นเป็นของปลอม”
เมื่อเห็นหลงเยว่หงมองมาด้วยความแปลกใจ เขาก็พูดเสริม
“ไม่มีจิตสำนึกของมนุษย์อยู่น่ะ”
“และก็ไม่มีสัญญาณไฟฟ้าด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะพูดด้วยรอยยิ้ม “พลังสร้างภาพลวงตาของเจ้าอารามโจวยังค่อนข้างหยาบอยู่”
แล้วเธอก็พูดต่อ
“จากจุดนี้ก็พอจะอนุมานได้ว่าภาพลวงตาของเธอนั้นเกิดจากความรู้ความเข้าใจของตัวเอง ไม่ได้เป็นการกระตุ้นความทรงจำของเราจนทำให้พวกเราสร้างภาพหลอนขึ้นมาเอง”
หากต้นกำเนิดของภาพหลอนนั้นเกิดจากตัวเธอเอง เจี่ยงไป๋เหมียนย่อม ‘ตรวจจับ’ สัญญาณไฟฟ้าได้อย่างแน่นอน และซางเจี้ยนเย่าเองก็จะ ‘รับรู้’ จิตสำนึกของมนุษย์ได้เช่นกัน
หลงเยว่หงรีบนึกทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้า รู้สึกยากจะเชื่อได้ว่าเหล่าผู้ศรัทธาที่หลับตาสวดภาวนาพวกนั้นจะเป็นเพียงภาพลวงตา
แต่นี่เป็นเพราะหัวหน้าทีมกับซางเจี้ยนเย่าล้วนแต่มั่นใจ เขาจึงไม่แคลงใจในข้อนี้ ได้แต่ทอดถอนใจออกมา
“สมกับที่เป็นนิกายมังกรพยับ…”
ผู้คนสิ่งของในอารามแทบทั้งหมดเป็นเพียงแค่ของปลอมและภาพลวงตา
เมื่อหลงเยว่หงเห็นไป๋เฉินสตาร์ทรถจี๊ป เขาก็เอ่ยปากถามอย่างไม่จริงจัง
“จะไปไหนกันต่อเหรอ ขึ้นเขาหรือเปล่า”
เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นพอจะมีความเข้าใจเรื่องภาพลวงตามายาขึ้นมาพอสมควรแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะขึ้นมาในทันใด
“จะไปทำอะไรล่ะ ไปเล่นเกมฆ่าสัตว์ประหลาดกับทีมนักล่าก่อนหน้านี้หรือไง”
ครั้นพอเห็นหลงเยว่หงงุนงง ซางเจี้ยนเย่าจึงช่วย ‘อธิบาย’ ให้ฟัง
“นายจะได้ปิ้วๆๆ ใส่พวกเขา ส่วนพวกเขาก็จะปิ้วๆๆ ตอบโต้นายกลับมาไง”
“นั่นสินะ…” หลงเยว่หงกระจ่างขึ้นมา
หากทั้งสองทีมได้พบกันบนภูเขาแล้วถูกอิทธิพลของภาพหลอน ย่อมต้องมองฝ่ายตรงข้ามเป็นสัตว์ประหลาดแน่นอน
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างก็ย่อมไม่มีทางงอมืองอเท้ายืนรออยู่เฉยๆ แน่ เพราะถ้าเกิดเป็นสัตว์ประหลาดขึ้นมาจริงๆ ก็จะกลายเป็นปัญหาแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจ
“ไว้รอให้พวกเขากลับมาก่อนค่อยคุยกัน ถ้าอยากจะขึ้นเขาก็ต้องมั่นใจว่าจะมีพวกเราแค่กลุ่มเดียวเท่านั้น”