รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 259 ค่ำคืน
ท่ามกลางลมกระโชกแรงกลับมีเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นมาอย่างฉับพลันดังก้องไปทั่วทั้งบาร์ ‘พิราบไพร’ ทำให้บรรดาผู้คนที่กำลังเล่นไพ่โป๊กเกอร์ เล่นไพ่นกกระจอก คนที่ต่อรองราคา รวมถึงที่กำลังเต้นอยู่ต่างพากันเงียบงันทันตา
แล้วในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็แสดงความเห็นออกมาด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม
“มีมารยาทดีจริงๆ”
หลงเยว่หงอึ้งไปในตอนแรกก่อนจะเข้าใจได้ว่าซางเจี้ยนเย่าหมายถึงอะไร
ประตูของบาร์ ‘พิราบไพร’ นั้นไม่ได้ปิดล็อกเอาไว้ แผ่นไม้ทั้งสองบานนั้นสามารถเคลื่อนไหวได้โดยอิสระ เพียงแค่ผลักมันก็เปิดออกแล้ว ไม่จำเป็นต้องเคาะก่อน
“มีอะไรแปลกๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็เห็นพ้อง
หัวหน้าโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ พานาเนียที่อยู่หน้าประตูรู้สึกตระหนกอยู่บ้าง แต่เป็นเพราะในบาร์นั้นยังมีตัวตนที่ดุร้ายน่าหวาดกลัวยิ่งกว่า ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงส่งสัญญาณให้ลูกน้องคนหนึ่งผลักบานไม้ที่อยู่กลางช่องประตูให้เปิดออก
ที่ถนนด้านนอก แสงจากไฟถนนส่องสว่างพื้นที่บางส่วน เกิดเป็นเงาดำพาดผ่านเข้าไปในบริเวณที่ถูกความวิกาลครอบครอง
พานาเนียถอนใจโล่งอก ส่งเสียงหัวเราะร่า
“ไอ้เด็กเปรตที่ไหนมาแกล้งกันได้”
ในระหว่างที่หัวเราะลั่น เขาก็นำลูกน้องทั้งสิบสามคนเดินออกจากบาร์ ‘พิราบไพร’ ไป แผ่นไม้บานประตูทั้งสองบานดีดตัวกลับมาแล้วแกว่งไปมาหลายครั้งก่อนจะกลับมาปิดสนิทดังเดิม
เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้น เหล่าขาไพ่โป๊กเกอร์ก็เริ่มไสกองชิปออกไปข้างหน้า คนที่กำลังเล่นไพ่นกกระจอกก็เอามือลูบคลำไพ่ที่อยู่ในมือว่าเป็นแต้มอะไร คนที่กำลังต่อรองราคาก็บรรลุข้อตกลง บรรดานักเต้นก็มาถามเจ้าของบาร์ว่าคืนนี้จะเปิดเวทีเต้นหรือไม่ เพราะมีลมแรงฝนกระหน่ำ
เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมาสนใจโต๊ะสนุกเกอร์ข้างตัว
ซางเจี้ยนเย่าเรียงลูกสนุกเกอร์ไว้เรียบร้อยและดึงไม้คิวออกมา
เขาใช้ชอล์กฝนไม้คิวเสร็จก็โน้มตัวลง ทำท่าราวกับมืออาชีพผู้เชี่ยวชาญ
บอกได้คำเดียวว่า เท่มาก!
“โอ้ ไม่เลวเลยนี่” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความคิดเห็นออกมาด้วยรอยยิ้ม
วินาทีถัดมาซางเจี้ยนเย่าก็สาวไม้คิวแล้วแทงใส่ลูกขาว
เสียงดังปัง ลูกขาวพุ่งไปกระแทกกลุ่มลูกแดง
ลูกแดงกระจายไปทั่วโต๊ะ บ้างกระเด้งกระดอน บ้างกลิ้งหลุนๆ มีลูกหนึ่งกลิ้งลงหลุมหล่นใส่ถุงตาข่าย
เจี่ยงไป๋เหมียนมองตาค้าง อดถามออกมาไม่ได้
“นายไม่เคยเล่นเหรอ”
“เคยแต่ดูพวกเขาเล่นน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความสัตย์
ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ไม่ได้มีโต๊ะสนุกเกอร์อยู่ใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ ทุกชั้น
มหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ชั้นที่ 350 เองก็มี ทว่ามีคนรอต่อคิวเยอะมาก ถ้าไม่มีทักษะช่วงชิงที่เก่งกาจก็ยากจะยึดครองโต๊ะได้
“แล้วนายล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนหันมาทางหลงเยว่หง
หลงเยว่หงส่ายหน้า
“ผมก็แค่ดูคนอื่นเล่นเหมือนกัน”
“ฮ่าๆ งั้นฉันจะสอนพวกนายเอง อย่างพวกนายน่ะ ไม่ว่าจะเป็นสายตา กำลังข้อมือ การควบคุมร่างกาย แค่แป๊บเดียวก็เก่งแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนคึกคักขึ้นมาทันที
จากนั้นเธอก็หันไปมองไป๋เฉิน
“เสี่ยวไป๋ เธอเล่นเป็นไหม”
เธอจำได้ว่าตอนที่อยู่เมืองหญ้าไพรนั้นไป๋เฉินดูคุ้นเคยกับสถานที่จำพวกบาร์ ไนต์คลับ และเวทีเต้นรำ เห็นได้ชัดว่าน่าจะเตร็ดเตร่แวะเวียนไปเป็นครั้งคราวเพื่อมองหาโอกาส
และในสถานที่จำพวกนั้นบางแห่งจะมีห้องเล่นสนุกเกอร์แยกออกมาเป็นพิเศษ
“เป็น” ไป๋เฉินตอบสั้นๆ
“งั้นพวกเราก็มาเล่นให้หนุ่มๆ ดูกันสักตา” เจี่ยงไป๋เหมียนหยิบไม้คิวขึ้นมาโยนให้ไป๋เฉิน
ระหว่างที่สองสาวกำลังแทงสนุกเกอร์กัน ซางเจี้ยนเย่าหลงเยว่หงก็มองดูไปพลาง ฟังคำอธิบายกฎกติกาการเล่นจากพวกเธอไปพลาง
ในรอบนี้เจี่ยงไป๋เหมียนอาศัยการยิงกระจายแล้วใช้ความแม่นยำของการควบคุมแรงและวิถีลูก คว้าชัยชนะจากไป๋เฉินมาได้อย่างไม่ง่ายนัก
“เธอนี่เป็นเทพธิดาคิวทองเลยนะเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวชมอย่างยิ้มแย้ม
ความหมายของเธอก็คือไป๋เฉินเล่นเชิงรับ ได้อย่างยอดเยี่ยม มักจะวางลูกในตำแหน่งที่ทำให้เธอแทงได้อย่างยากลำบากอยู่เสมอ
และนี่จึงส่งผลให้การสอยคิวในรอบนี้ต้อง ‘ขับเคี่ยว’ กันอย่างยาวนาน
เจ้าของบาร์ ไช่อี้ ซึ่งง่วนอยู่กับเรื่องอื่นก็จัดการจนเสร็จสิ้น และเตรียมอาหารชุดแรกไว้ให้พร้อมแล้ว
ลันช์มีตกระป๋อง
ไช่อี้นำเนื้อข้างในออกมาทอดด้วยหม้อทอดไร้น้ำมัน 8 นาทีเต็ม ทำให้เนื้อทั้งสองด้านมีความกรอบพอประมาณ น้ำมันไหลออกมา
นี่ทำให้กลิ่นหอมของลันช์มีตหอมอวบอวลมากยิ่งขึ้น จนแม้แต่สมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนที่เอียนอาหารกระป๋องเต็มทีก็ยังทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่น เกิดความอยากอาหารขึ้นมาทันที
พวกเขาถือตะเกียบ ต่างคนต่างคีบชิ้นเนื้อของตัวเองขึ้นมากัด รู้สึกว่ารสชาติยอดเยี่ยมกว่าที่เคยกินกันแบบปกติมากนัก
นอกจากจะมีกลิ่นหอมของอาหารทอดแล้วก็ยังไม่ได้มันเยิ้มเหมือนเดิมด้วย
“ไม่เลว” เจี่ยงไป๋เหมียนกินหมดไปชิ้นหนึ่งก็เอ่ยปากยกย่องชมเชย
ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังจัดการกับเนื้อชิ้นที่สองก็ผงกศีรษะเห็นด้วย
“วิธีทำ… อาหาร… ของ… พวกเรา… ธรรมดา… ไปหน่อย…”
และเรื่องราวก็ดำเนินไปในลักษณะเช่นนี้ พวกเขากินอาหารที่ยกมาเสิร์ฟไปพลาง เล่นสนุกเกอร์อย่างมีความสุขไปพลาง
จนกระทั่งจัดการมื้อเย็นเสร็จสิ้น เจี่ยงไป๋เหมียนไม่เปิดโอกาสให้ซางเจี้ยนเย่าได้เต้นเพราะด้านนอกบาร์ยังมีลมแรงพัดโหมกระหน่ำอยู่ เธอรีบพาสมาชิกทั้งสามออกจากบาร์ ‘พิราบไพร’ ไปพร้อมกับอาหารกระป๋องที่เหลือมาจากการแลกกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
ซางเจี้ยนเย่าเดินไปก้าวหนึ่งก็หันกลับมามองทีหนึ่ง เดินอ้อยอิ่งออกจากประตูอย่างฝืนใจ
“ลมยังไม่ถือว่าแรงเท่าไหร่…” เขาเดินออกไปถึงหน้าถนนแล้วแสดงความคิดเห็นออกมา
“หือ นายว่าไงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขึ้นป้องหูตนเอง
หลงเยว่หงกับไป๋เฉินเองก็ได้ยินคำพูดของซางเจี้ยนเย่าไม่ค่อยชัดเนื่องจากลมที่พัดโหมค่อนข้างแรงพอตัว
ตัวคนแทบจะถูกลมพัดปลิวไปอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับเสียงพูด
พวกเขาเดินก้มตัว สองมือล้วงกระเป๋า ลุยฝ่ากลับไปยังโรงแรม ‘ฝันนิทรา’
แสงสว่างจากไฟถนนและความมืดมิดสลับกันเป็นระยะ ร้านแผงลอยสองฝั่งถนนเก็บร้านกลับไปกันหมดแล้ว ถนนทั้งสายอยู่ในความเงียบสงัด
เงียบสงัดเสียจนทำให้หลงเยว่หงรู้สึกขนลุกเกรียวเสียวสันหลังวาบ
หลังจากเดินไปได้สักพัก เจี่ยงไป๋เหมียนที่คอยสอดส่องสังเกตรอบข้างก็พลันตาค้างไปในทันที
ที่เบื้องหน้าในแนวเฉียงนั้น บนป้ายร้านป้ายเล็กๆ ซึ่งมีหลอดไฟเรียงเป็นตัวหนังสือ มีตัวอักษรปรากฏเป็นคำว่า
‘บาร์พิราบไพร’
“นี่…” เจี่ยงไป๋เหมียนชะงักฝีเท้า
“นี่คือการจัดสรรของโชคชะตา” ในจังหวะที่สายลมอ่อนแรงลง ซางเจี้ยนเย่ารีบใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำของผู้ชาย ‘พากษ์เสียง’ ขึ้นมา
“โชคชะตาบ้านนายนะสิ!” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบเขาไปประโยคหนึ่งก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ดูเหมือนจะเจอปัญหาใหญ่เข้าให้แล้ว”
ตัวเธอ… เจี่ยงไป๋เหมียน นับตั้งแต่เข้ารับการปลูกถ่ายแขนเทียมซึ่งมาพร้อมกับชิปเสริมที่ติดตั้งเอาไว้ก็ไม่เคยหลงทางอีกเลย!
และที่สำคัญที่สุดก็คือ… พวกเขาไม่อาจรับรู้ความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้แม้แต่น้อย
จิตใจหลงเยว่หงที่เขม็งเกรียวอยู่ก่อนแล้ว ในตอนนี้ยิ่งทวีความตื่นตัวระแวดระวังเพิ่มขึ้นไปอีก
ซางเจี้ยนเย่าอธิบายกับเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทางวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘ผีบังตา’ ”
ซี๊ด… หลงเยว่หงสันหลังเย็นวาบขนชี้ชัน
“น่าจะเป็นเพราะว่าพวกเรายังไม่ได้เดินออกไปไหน เพียงแค่วนอ้อมอยู่ด้านนอกเท่านั้น” ไป๋เฉินพูดในสิ่งที่ตนเองคาดเดาออกมา
สีหน้าเธอค่อนข้างจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ไม่ต้องตระหนก ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้านทาน พวกเราเข้าไปดูข้างในกันก่อนว่ามีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า ดูว่าปัญหาเกิดจากในร้านหรือนอกร้าน หรือว่าเกิดจากตัวพวกเราเองกันแน่”
ทันทีที่เธอพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็เดินเข้าไปที่หน้าประตูร้าน ‘พิราบไพร’ เรียบร้อยแล้วพร้อมกับทุบประตูไม้ทั้งสองบานอย่างแรง
ปัง! ปัง! ปัง!
ขณะนี้ สิ่งแรกที่วาบขึ้นมาในใจของเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นไม่ใช่การรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ช่างใจกล้าเหลือหลาย ทว่ากลับเป็นความคิดที่ทำให้แม้แต่ตัวเธอเองก็หวาดกลัวเหลือประมาณ…
‘หรือว่าเสียงเคาะประตูในบาร์ที่พวกเราได้ยินก่อนหน้านี้ เกิดจากที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังเคาะอยู่ในตอนนี้…’
นี่เป็นความคิดที่เหลวไหลมากเกินไป อีกทั้งยังเกี่ยวพันธ์กับความสัมพัทธ์ของเวลาที่มนุษย์ยังมีเรื่องไม่เข้าใจอีกมากมาย เจี่ยงไป๋เหมียนจึงรีบสลัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
เธอไม่ได้พูดเรื่องที่คิดเอาไว้นี้ออกมาเพราะรู้ว่าจะทำให้หลงเยว่หงหวาดกลัวอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้เขาตึงเครียดขึ้นไปอีก
สภาวะจิตใจเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องดี
เพียงไม่นานบานประตูก็เปิดอ้าออก เจ้าของบาร์ไช่อี้ปรากฏตัวต่อหน้า ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คน
เฮ่อ… เจี่ยงไป๋เหมียนลอบถอนใจโล่งอก และรู้สึกผิดที่เมื่อครู่นี้ตนเองคิดเหลวไหลไปได้ถึงขนาดนั้น
นั่นเพราะเธอจำได้ว่าหลังจากเสียงเคาะประตูดังขึ้น ประตูก็ถูกเปิดออกโดยสมุนในกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’
ดูท่าแล้วก็แค่ ‘ผีบังตา’ ธรรมดาเท่านั้นเองสินะ…
ถุย! ทำไมฉันดันคิดว่าเป็น ‘ผีบังตา’ ไปได้ล่ะเนี่ย…
หือ… ‘ผีบังตา’ งั้นเหรอ… หรือว่านี่เป็นภาพลวงตาแบบครอบคลุมพื้นที่… เจี่ยงไป๋เหมียนเริ่มคาดเดาได้อย่างเลือนลาง
“พวกคุณ… กลับมาทำไม ลืมของเหรอ” ไช่อี้ถามด้วยความงุนงง
ลมด้านนอกเริ่มกระโชกแรงขึ้นอีกครั้ง เสียงดังอื้ออึงจนแทบจะฟังอะไรไม่ได้ยิน
“เข้าไปข้างในก่อน” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปในร้าน
โดยไม่รอให้ไช่อี้ตอบคำ ซางเจี้ยนเย่าก็รีบเบี่ยงตัว ‘ไหล’ เข้าไปในบาร์จากอีกฝั่งหนึ่งทันที
ที่ก็ตั้งกว้าง ยังจะมุดเข้าไปอีก… หลงเยว่หงอดค่อนแคะในใจไม่ได้ ตอนนี้ในใจเขาไม่รู้สึกตึงเครียดเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว
เขาเดินผ่านไช่อี้ไปตามปกติ เข้าไปข้างในบาร์ ‘พิราบไพร’
คนที่สามก็คือไป๋เฉิน ส่วนเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นรั้งท้ายสุด
เมื่อเข้ามาข้างในจนครบหมดทุกคนแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปยังแผ่นไม้กั้นประตูที่ดีดไปมาจนหยุดนิ่งแล้วเอ่ยปากถามไช่อี้
“พวกเราออกไปนานแค่ไหนแล้ว”
เธอประเมินระยะเวลาเอาไว้คร่าวๆ แล้ว เพียงแต่ต้องการเทียบกับไช่อี้ให้มั่นใจ
นี่เป็นทั้งการทดสอบและตรวจสอบไปในเวลาเดียวกัน
“ก็ราวๆ สักสามสี่นาทีน่ะ” ไช่อี้หันกลับไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ใกล้เคาน์เตอร์บาร์
“งั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนยืนยันได้แล้วว่าการรับรู้ด้านเวลาของตนเองไม่ได้มีอะไรผิดพลาด
ทันทีที่เธอพูดจบก็มีเงาดำลอยมาจากด้านบนของประตูบานคู่พุ่งลงมากระแทกพื้นอย่างแรง
พลั่ก!
พวกซางเจี้ยนเย่าหลงเยว่หงรีบหันขวับไปมองเป็นตาเดียวกัน แล้วพบว่านั่นคือซากศพที่ชุ่มโลหิต
ดวงตาศพเบิกถลนกว้างด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด เสื้อผ้าบนร่างขาดรุ่งริ่ง แขนข้างหนึ่งหายไป ลำคอมีรอยถูกกัดอย่างเห็นได้ชัด
นี่ราวกับว่าเขาเพิ่งเผชิญกับสัตว์กินคนที่หิวโหยอดโซมานาน
* * * * *
ณ อารามหนานเคอ
โจวเยว่ผู้มีเรือนผมสีดำสวมเสื้อคลุมขาวมัดเอวด้วยเชือกป่านกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง หันหน้าไปทางสัญลักษณ์มังกรเหนือหิ้งสักการะ กำลังอ่านคัมภีร์จากโลกเก่าที่ทางนิกายจัดหาไว้ให้ ทั้งหมดล้วนเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับมายาลวงตาทั้งสิ้น
รอบกายเธอมี ‘ผู้ชักจูงฝัน’ กับ ‘ผู้หลงทางฝัน’ หลายคนกำลังพร้อมใจกันอ่านคัมภีร์หรือไม่ก็สวดอธิษฐาน ไม่มีใครส่งเสียงแม้แต่คำเดียว
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มี ‘ผู้ชักจูงฝัน’ คนหนึ่งยืนขึ้นแล้วเดินมาหน้าโจวเยว่เพื่อขอให้เธอช่วยอรรถาธิบายเนื้อหาในคัมภีร์
โจวเยว่อธิบายด้วยความสงบ
แล้วฉับพลันนั้นเอง เศษกระจกแตกซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนมังกรยักษ์ด้านบนหิ้งสักการะก็บังเกิดเป็นแสงสลัวเรืองรองวาบขึ้นมา
หัวใจโจวเยว่เต้นระรัว เงยหน้ามองดูอย่างไม่รู้ตัว
สายตาเธอพลันชะงักค้าง
ผู้คนรอบตัวเธอส่วนใหญ่ค่อยๆ สลายหายไป รวมถึง ‘ผู้ชี้นำฝัน’ คนเมื่อครู่ด้วย ทั้งหมดนี้เหลือเพียงแค่ห้าคนเท่านั้นที่เป็นบุคคลจริง
* * * * *
ณ โรงแรม ‘ฝันนิทรา’ หญิงเจ้าของโรงแรม ไอนอร์ ในชุดกระโปรงยาวงดงามนั่งขดตัวอยู่หน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับ กำลังใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามเครื่องพร้อมๆ กัน
เบื้องหน้าเธอคือคอมพิวเตอร์เครื่องเดิมของตนเอง กำลังฉายซีรีส์จากโลกเก่า ในอุ้งมือกำลังถืออุปกรณ์ขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งมีข้อความอยู่บนนั้น ด้านขวามือเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กรุ่นล่าสุดที่พวกซางเจี้ยนเย่าจ่ายชำระมา ในขณะนี้บนหน้าจอมีลวดลาย ข้อความ และข้อมูลบางส่วนกำลังวิ่งอยู่
ในระหว่างที่กำลังรับชมอย่างเคลิบเคลิ้ม จู่ๆ ไอนอร์ก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับยืดตัวตรง มองไปที่ประตูด้านหน้า
ลมหยินเย็นยะเยียบพัดโชยเข้ามา
ซี่ ซี่ ซี่
ดวงไฟในโรงแรมหม่นแสงลงอย่างน่าประหลาด มีเงาดำเลือนรางสายหนึ่งปรากฏอยู่นอกหน้าต่าง
* * * * *