รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 265 เปลี่ยนวิธีคิด
สิ่งที่หลงเยว่หงสามารถคิดได้นั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็ย่อมต้องคิดได้เช่นกัน
เธอหัวเราะออกมา
“งั้นนายก็ต้องแน่ใจก่อนว่าคนที่จะโจมตีนายหลังจากนี้จะต้องเป็น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นแน่ๆ ถึงจะใช้วิธีนี้ได้
“แต่ถ้าเกิดเราดันไปเจอหมาป่าหิวโซที่ออกมาล่าอาหารช่วงหน้าหนาวเสียก่อน ขืนมัวแต่เต้นให้มันดูก็คงกลายเป็นอาหารนอนอยู่ในท้องมันแล้วล่ะ หรือไม่งั้นก็ต้องสวดอธิษฐานให้มันเห็นแบบนั้นก็มัวแต่ยืนงง ไม่กระโจนเข้ามาขย้ำเราสักคำสองคำ”
ส่วนเรื่องวิธีการเปลี่ยนปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือการตอบสนองตามสัญชาตญาณนั้นไม่ได้อยู่ในขอบเขต
การอภิปราย
เพราะเรื่องพวกนี้สามารถใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ มาซ้อนทับลงไปได้
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รู้สึกลำบากใจกับปัญหาข้อนี้แม้แต่น้อย เขาตอบกลับอย่างลื่นไหล
“เราสามารถแบ่งงานเพื่อร่วมมือกันได้ ให้สองคนยอมรับข้อเสนอนี้ เตรียมไว้รอรับมือกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น ส่วนอีกสองคนยังเป็นเหมือนเดิม จะได้คอยจัดการเรื่องไม่คาดคิดระหว่างทาง
“พูดง่ายๆ คือถ้าเกิดไปเจอหมาป่าหิวโซในฤดูหนาว ก็จะมีสองคนเต้นให้มันดู ส่วนอีกสองคนจะป้อนลูกตะกั่วให้มันกิน”
เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญตามแล้วพบว่าหากไม่นับภาพเหตุการณ์ที่ดูพิลึกลั่นนั่น วิธีนี้ก็สามารถใช้การได้จริงๆ
นี่เป็นกระบวนการคิดเพื่อแก้ปัญหาของซางเจี้ยนเย่าที่เป็นเขาตามปกติ
ซึ่งนั่นก็คือทำให้คนทั้งทีมทำตัวเหมือนคนเสียสติ
พอคิดขึ้นมาได้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถ่มน้ำลายทันที
“เกือบโดนนายปั่นหัวเข้าแล้ว!
“งั้นฉันขอถามหน่อย นายกล้ารับประกันไหมว่าลบคูณลบจะได้บวก”
“มั่นใจสิ นี่เป็นปัญหาทางคณิตศาสตร์” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนสูดหายใจเข้าช้าๆ แล้วผ่อนออก
“แล้วถ้าหากว่าสัญชาตญาณที่ผิดเพี้ยนนั่นไม่ได้เปลี่ยนจากการเต้นเป็นชักปืน แต่ดันพัฒนาให้กลายเป็นร้องเพลงแทนล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าอ้าปากแล้วส่งเสียงออกมา
“ปัง!”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับหมดคำพูด
เธอรู้ว่าความหมายของซางเจี้ยนเย่าก็คือให้ทำเสียงเลียนแบบเสียงปืนเพื่อให้คู่ต่อสู้ตกใจ จะได้หลบไปหาที่กำบัง นั่นจะทำให้ผลกระทบของพลังพิเศษของอีกฝ่ายลดลง
หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้แล้วเธอก็พูดอย่างจริงจัง
“แผนนี้ก็พอจะมีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน แต่มันมีตัวแปรที่ไม่แน่นอนมากเกินไป เอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินก็พอ
“ฉันมีวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายกว่านั้น นั่นก็คือชะลอปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเอง
“ถ้าใช้ประโยคทั่วๆ ไปมาอธิบายก็คือ ‘คิดก่อนทำ’”
ไป๋เฉินครุ่นคิดถึงการประยุกต์ใช้แผนนี้…
“หมายถึงให้ควบคุมสัญชาตญาณตัวเอง คิดให้ถี่ถ้วน จากนั้นค่อยๆ ลงมือทำ แบบนี้ใช่ไหม”
“ถูกต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ “ที่จริงวิธีนี้ก็ยังมีปัญหาใหญ่อยู่เหมือนกัน คือมันจะทำให้เราพลาดโอกาสเหมาะไป อาจจะทำให้เราจัดการปัญหาไม่ทันการ พูดโดยสรุปก็คือให้คิดแบบนี้ให้ขึ้นใจจนกลายเป็นความคิดปกติ ควบคู่ไปกับวิธีของซางเจี้ยนเย่า”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็ถอนใจ
“เมื่อเทียบกันแล้ว พลังที่สร้างภาพหลอนนั้นยากที่จะเจาะทำลายได้ แถมยังมีพลังพิเศษชนิดที่สามที่พวกเรายังไม่รู้อยู่อีก นั่นเป็นอันตรายแฝงเร้นที่นับว่าร้ายแรงทีเดียว”
พลังพิเศษที่สามารถบิดเบือนข้อมูลแวดล้อมเพื่อสร้างภาพหลอนนั้นไม่ใช่สิ่งที่เพียงแค่ทำร้ายตัวเองก็หลีกเลี่ยงได้ นั่นเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก็สามารถจำลองขึ้นมาได้เช่นกัน
“เฮ้อ ก็ยังคงต้องอาศัยการยิงให้ครอบคลุมบริเวณกว้างเพื่อบีบไม่ให้ศัตรูใช้พลังพิเศษได้นั่นแหละ” ซางเจี้ยนเย่าช่วยพากษ์เสียงให้
ซึ่งประโยคนี้ก็เป็นสิ่งที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังคิดอยู่ เธอจึงไม่ได้กลอกตาใส่เขา
“กลับไปแล้วต้องไปปรึกษาเจ้าอารามโจวดูอีกที” เจี่ยงไป๋เหมียนสรุปในท้ายสุด
หลังจากถกเรื่องนี้กันเสร็จ เธอก็มองทุกคนรอบๆ ก่อนจะพูดอีก
“ในตอนนั้นก่อนที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นจะคำรามแล้วเผยตำแหน่งตัวเองออกมา ก่อนที่ภาพหลอนจะหายไปน่ะ พวกนายรู้สึกถึงปฏิกิริยาตอบสนองแปลกๆ บ้างไหม”
“รู้สึก” ซางเจี้ยนเย่ามักตอบคำถามก่อนคนอื่นเสมอ “เดิมทีผมว่าจะรอให้จบเพลงก่อน พอเริ่มเพลงใหม่ค่อยออกไป แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้”
“ใช่” หลงเยว่หงเห็นพ้องด้วย “ผมรู้อยู่แล้วว่าพวก ‘คนไร้ใจ’ ที่เห็นอยู่ ที่จริงแล้วก็เป็นคนธรรมดาทั้งนั้น ไม่ควรโจมตีใส่พวกเขา ถึงแม้ว่าการกระทำของพวกเขากับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่จะทำให้ผมเกิดแรงกระตุ้นขึ้นมาบ้าง แต่ผมก็มั่นใจว่าสามารถควบคุมความคิดเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี แต่แล้วจู่ๆ ผมก็รู้สึกหัวร้อนขึ้นมา อยากจะกระหน่ำยิงใส่ ‘คนไร้ใจ’ พวกนั้นอย่างอดไม่ได้”
ไป๋เฉินพูด “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ฉันเองก็เป็นเหมือนกัน จู่ๆ ก็ทำตามความคิดที่เก็บเอาไว้ลึกๆ ในใจออกมา ตอนนั้นนึกเพียงแค่อยากจะซ่อนตัวรอให้ภาพหลอนจบๆ ไป”
“ก็ประมาณนั้นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ “นี่เป็นปฏิกิริยาที่ปลดปล่อยแรงกระตุ้นในใจที่ระงับไว้ออกมา ไม่ได้มุ่งเป้ามาที่พวกเราโดยตรง ไม่งั้น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นคงไม่คำรามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่สลายภาพหลอนไปอย่างไม่มีเหตุผล”
“นี่มัน…” หลงเยว่หงเริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะนั้น
ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจพูดอย่างจริงจัง
“พยัคฆ์ซ่อนมังกรซุ่มในทาร์นัน!”
“อย่าแย่งบทพูดฉันสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนด่าเขาด้วยรอยยิ้ม “เรื่องในตอนนี้ไม่ใช่อะไรที่พวกเราอยากจะหลีกเลี่ยงก็หลีกเลี่ยงได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปพวกเราค่อยเริ่มงานกันอย่างจริงจัง หวังว่าจะจัดการภัยซ่อนเร้นได้โดยเร็วที่สุด”
เธอหยุดไปอึดใจก่อนจะพูดเสริม
“คืนนี้ทั้งสามห้องนอนไม่ต้องปิดประตู พวกเราทุกคนจะสลับกันอยู่เวรกลางคืน”
หลังจากจัดลำดับเวรยามเสร็จ พวกซางเจี้ยนเย่าก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน แยกย้ายเข้าห้องไปทีละคน
* * * * *
ณ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ซึ่งสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับ บนเกาะที่มีภูเขา ลำธาร หญ้าเขียวขจี
ซางเจี้ยนเย่านั่งอยู่บนเก้าอี้เอน นอนอาบแสงตะวันอันอบอุ่น รับสายลมโชยอันสดชื่น สัมผัสความรู้สึกของวันหยุดเหมือนกับที่รายการวิทยุเคยอธิบายไว้
ทว่าสภาพแวดล้อมและวิวทิวทัศน์แบบเดิมๆ ที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้น สุดท้ายแล้วย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกเบื่อหน่ายได้อยู่ดี
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็ผุดลุกขึ้นมานั่ง
ร่างของเขามีร่างแยกออกมา มีซางเจี้ยนเย่าคนแล้วคนเล่าเดินออกมาจากร่างเดิม
ซางเจี้ยนเย่าเหล่านี้ต่างก็สวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน แต่งตัวแบบเดียวกัน มองไม่เห็นความแตกต่างแม้แต่น้อย
ซางเจี้ยนเย่าสามคนสร้างม้านั่งของตัวเองขึ้นมาก่อนจะนั่งลงไปข้างๆ เก้าอี้เอนหลังเพื่อตั้งวงเล่นไพ่กับซางเจี้ยนเย่าร่างต้น
ซางเจี้ยนเย่าอีกสองคนเอาลำโพงกับโทรโข่งออกมา ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลง ทั้งคู่ก็สลับกันร้องเพลง นายร้องท่อนหนึ่งฉันร้องท่อนหนึ่ง
และด้วยการบรรเลงเพลงเช่นนี้ ซางเจี้ยนเย่าอีกสามคนที่เหลือก็พากันเต้นอย่างเข้าจังหวะ
ทั่วทั้งเกาะแห่งนี้กลายเป็นครึกครื้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ทว่าหลังจากความครึกครื้นผ่านไปจนจบ ซางเจี้ยนเย่าก็ยังคงไม่เจอสัตว์ประหลาดอยู่ดี ไม่มีภัยพิบัติ ไม่มีเหตุไม่คาดฝันใดๆ เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ท้ายที่สุดซางเจี้ยนเย่าทั้งเก้าก็กลับรวมคืนสู่หนึ่ง จากนั้นก็โจนลงไปใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ อีกครั้ง ออกว่ายไปต่อ
ไม่ทราบว่าว่ายไปนานเพียงใด ก็พลันมีเกาะอีกแห่งปรากฏต่อหน้าเขา
เกาะแห่งนี้มีภูเขา ลำธาร หญ้าเขียวขจี แสงแดดอบอุ่น สายลมชุ่มชื่น เฉกเช่นเดียวกับเกาะก่อนหน้านี้ทุกประการ
ซางเจี้ยนเย่าขึ้นมายืนริมเกาะ ตกอยู่ในห้วงคำนึง
* * * * *
เช้าตรู่รุ่งขึ้น ซางเจี้ยนเย่าเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้พวกเจี่ยงไป๋เหมียนฟัง
เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวอย่างครุ่นคิด
“หรือว่าสัตว์ประหลาดก็คือตัวเกาะ
“รูปลักษณ์ที่แสดงออกมาก็คือกับดักเพื่อจับนาย”
“ถ้างั้นผมก็คงต้องลองคุยกับมันดีๆ ดูเสียหน่อย” ครั้นเมื่อซางเจี้ยนเย่าได้พบแนวทางใหม่ๆ ก็พลันรู้สึกตื่นเต้นคึกคักขึ้นมา
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบเตือนเขาออกมาประโยคหนึ่งทันที
“นี่เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น มีโอกาสผิดพลาดสูง ถึงยังไงนายก็ต้องทดลองดูก่อน”
เธอเพิ่งจะพูดจบ โทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้น
หลงเยว่หงรีบไปรับสายอย่างขมีขมัน แล้วพูดขึ้นอย่างผู้ชำนาญการ
“ฮัลโหล ไม่ทราบว่านั่นใครเหรอครับ”
“นายต้องพูดให้หนักแน่นอีกหน่อย” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็น “ในเวลาแบบนี้ นายต้องพูดว่า ‘ฮัลโหล นั่นใครน่ะ’”
เสียงเขาดังลั่นจนทำให้หลงเยว่หงถึงกับหูอื้อตาลาย
“อื้อ เสียงดูปวกเปียกไปหน่อย” ครั้งนี้เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วยกับซางเจี้ยนเย่า
ไป๋เฉินไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรเพราะเธอรู้จักเพียงแค่วิทยุสื่อสารเท่านั้น ไม่เคยมีประสบการณ์ในการใช้โทรศัพท์มาก่อน และไม่ค่อยได้ฟังรายการวิทยุมากนัก
แล้วในตอนนี้เสียงของไอนอร์เจ้าของโรงแรมก็ดังขึ้นมาจากปลายสาย
“เมื่อกี้เสียงใครตะโกนซะลั่นละนั่น
“อ้อ มียามจักรกลมาหาพวกคุณน่ะ”
“ทราบแล้ว” หลงเยว่หงฟื้นสติจากการถูกโจมตี รีบตอบกลับไปโดยเร็ว
“ยามจักรกลเหรอ…” เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “เก็บข้าวของกันก่อนเถอะ แล้วก็เอาของที่จำเป็นติดตัวลงไปด้วย”
ที่รออยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมนั้นไม่ใช่หุ่นสมองกล แต่เป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วย มันมาเพื่อถ่ายทอดคำพูดของเกอนาวา
“ผู้การเกอนาวาขอเชิญพวกคุณไปพบที่ศาลาว่าการ”
ว่าแล้วเชียว… เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ต่างมองสบตากัน จากนั้นก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ได้สิ”
* * * * *
ณ ชั้นบนสุดของศาลาว่าการ ห้องทำงานของเจ้าเมือง
พวกเจี่ยงไป๋เหมียนมาพบเกอนาวาอีกครั้ง เขายังคงสวมเครื่องแบบทหารกับรองเท้าขี่ม้า นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เสริมโลหะให้แข็งแรงเป็นพิเศษ
“มีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากพวกคุณหน่อยน่ะ” เกอนาวาพูดเข้าประเด็นทันทีโดยไม่อ้อมค้อม
สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ซึ่งหาที่นั่งเรียบร้อย ต่างก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย ใบหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนยังคงประดับด้วยรอยยิ้มอย่างมีมารยาท เอ่ยปากถามขึ้น
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
เกอนาวาโน้มตัวมาข้างหน้า ประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกัน
“เมื่อคืนนี้ผมได้หารือกับประธานกู้จากสมาคมนักล่า รวมทั้งผู้รับผิดชอบนิกายใหญ่ในท้องที่ เกี่ยวกับเรื่อง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าต้องรีบจัดการปัญหานี้โดยเร็วที่สุด
“จากข้อเสนอของเจ้าอารามโจว เธอบอกว่าควรแยกกันเพื่อค้นหาและตามล่า ห้ามปะปนกัน ไม่อย่างนั้นจะถูกอีกฝ่ายนำจุดนี้มาใช้ประโยชน์
“แผนสุดท้ายที่สรุปกันก็คือให้จัดตั้งทีมของตัวเองขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบการป้องกันพื้นที่นอกเมือง จากนั้นก็ผลัดกันค้นหา ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่อาจจะซ่อนตัวอยู่”
หลังจากอธิบายโดยสังเขปไปแล้วว่าต้องการให้ทำอะไร เกอนาวาก็แจ้งคำขอของตนออกมา
“ทาร์นันไม่ได้ขาดแคลนกำลังคน แต่ขาดคนที่แข็งแกร่งมากพอ ผมอยากเชิญคุณมาเข้าร่วมกองกำลังเพราะเกรงว่าสิ่งมีชีวิตอันตรายนั่นอาจจะสร้างความวุ่นวายขึ้นมาอีก ทำให้ชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บล้มตาย”
ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ผดุงความยุติธรรม
“นี่เป็นเรื่องที่พวกเราสมควรทำอยู่แล้ว”
พูดแล้วเขาก็กำหมัดงอแขนชูขึ้นมา
“เพื่อช่วยมนุษยชาติ!”
ดวงตาเรืองแสงสีน้ำเงินของเกอนาวาจับจ้องมองเขา ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ
ซางเจี้ยนเย่าพูดเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค
“และถ้ามีพวกข้าวสารอาหารแห้ง แป้ง เนื้อสด เนื้อแช่แข็ง พืชผัก อะไรพวกนั้นเป็นรางวัลให้ด้วย ก็จะยิ่งดีเข้าไปอีก”
เกอนาวายังคงมองนิ่งอยู่เหมือนเดิมราวกับว่าระบบเขาค้างไปแล้ว
ผ่านไปหลายวินาทีกว่าที่เขาจะพูดตอบกลับมา
“คำขอของพวกคุณนับว่ามักน้อยมาก…”
“ไม่ได้มักน้อยหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนเผยรอยยิ้มที่ทำให้หลงเยว่หงรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
เกอนาวาหันมามอง เห็นเธอยังคงรักษารอยยิ้มไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
“สองวันมานี้ฉันพยายามครุ่นคิดมาตลอด ก่อนหน้านี้ ‘ซอร์สเบรน’ บอกว่าจะไม่พบใครใช่ไหมล่ะ”
“ถูกต้อง” เกอนาวาตอบเพื่อยืนยัน
รอยยิ้มของเจี่ยงไป๋เหมียนยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
“แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่คุยกับมนุษย์ใช่ไหมล่ะ
“งั้นก็ให้เราสื่อสารสนทนากันผ่านทางโทรศัพท์ ถามคำถามโดยไม่ต้องเจอกันก็ได้นี่!”
เกอนาวานิ่งเงียบไปอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะค่อยๆ พูดอย่างเชื่องช้า
“ผมช่วยส่งคำขอนี้ให้พวกคุณได้”
* * * * *