รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 278 สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย
- Home
- รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)
- ตอนที่ 278 สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย
“ห้า… ศูนย์… สาม…”
ก่อนหน้านี้เจี่ยงไป๋เหมียนคาดคะเนไว้ว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนี้น่าจะให้ ‘คำใบ้’ อะไรมาได้บ้าง ทว่าไม่เคยคิดฝันแม้แต่น้อยว่าจะได้เลขมาสามตัวตรงๆ เช่นนี้
นี่มันหมายความว่ายังไง… เป็นตัวเลขเกี่ยวกับอะไร… หรือว่าเป็นรหัสลับภายในของ ‘นิกายมังกรพยับ’… คำถามมากมายผุดขึ้นในใจของเจี่ยงไป๋เหมียน
ในขณะนี้ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ผู้ที่บอกตัวเลขสามตัวนั้นออกมาก็ราวกับว่าปลดปล่อยก้อนศิลาหนักอึ้งที่กดทับหัวใจได้ในที่สุด ดวงตาขุ่นมัวของเขาปรากฏสีน้ำตาลเข้มอันกระจ่างใสขึ้นมาเลือนลาง
แต่สุดท้ายดวงตาสีน้ำตาลเข้มนี้ก็ถูกความขุ่นมัวกลืนกินไปในพริบตา ประหนึ่งเป็นคนจมน้ำที่ยอมตัดใจ เลิกดิ้นรนตะเกียกตะกายอีกต่อไป
“กรร…” ในลำคอ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นเปล่งเสียงสัตว์ป่าที่มุ่งร้ายหมายขวัญคุกคามผู้คนออกมา
ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้เขายังพูดจาภาษามนุษย์ได้อยู่เลย
ทว่าเมื่อละทิ้งความมุ่งมั่นดึงดันนั้นไปแล้ว เขาเองก็ไม่แตกต่างไปจาก ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ทั่วไป
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นเช่นนี้จึงยกมือขวาขึ้นมาพลิกกระจกให้หันไปทางเป้าหมาย
เธอไม่มีทางยอมปล่อยให้ตัวตนสุดอันตรายเช่นนี้สามารถปลดปล่อยพลังได้อย่างไร้ขีดจำกัดเป็นแน่
เจ้าอารามหนานเคอโจวเยว่เองก็มีปฏิกิริยาเฉกเช่นเดียวกัน
แต่แล้วในขณะนั้นเองก็พลันมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาขวางด้านหน้าพวกเธอ
เป็นร่างสูงใหญ่ของซางเจี้ยนเย่า
เขาเดินเข้าไปหา ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น มองเข้าไปในดวงตาของเขาด้วยจิตใจสงบเยือกเย็น
เสียงขู่ร้องในลำคอของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ค่อยๆ ลดลง ร่างกายที่เครียดเกร็งเขม็งเกลียวผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
“คุณยังนับว่าตัวเองเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า” ซางเจี้ยนเย่าเอ่ยถาม
แผ่นหลังของเขาหันให้โจวเยว่ ด้านข้างของเขาเผยต่อเจี่ยงไป๋เหมียน ใบหน้าเขาถูกปกคลุมอยู่ในหลืบเงาของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ทำให้มองเห็นได้คลุมเครือ ทว่าหญิงสาวทั้งสองยังคงได้ยินน้ำเสียงที่ทุ้มลึกนั้นได้อย่างชัดเจน
‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นร่างงองุ้มเล็กน้อย ภายในดวงตาขุ่นมัวเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแดงก่ำ
เขาไม่ได้ตอบซางเจี้ยนเย่า แต่ก็ไม่ได้จากไป ยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว แต่ภาพลวงตาที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้กลับสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว
หัวใจของโจวเยว่เต้นระรัว เธอสืบเท้าไปข้างหน้าสองก้าว ขึ้นไปยืนเคียงข้างซางเจี้ยนเย่า
เธอมองไปยัง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“คุณคือผู้ปกป้องฟ่านใช่ไหม”
ชายสูงวัยผมหงอกขาวยาวยุ่งเหยิงมองเธอด้วยดวงตาของสัตว์ร้าย สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เอ่ยปากตอบคำ
“อย่างนั้นฉันจะถือว่าคำตอบคือ ‘ใช่’ ก็แล้วกัน” โจวเยว่ถอนหายใจ “หลังจากที่คุณหายตัวไป ภรรยาหาตัวคุณไม่พบ เธอตรอมใจจนล้มป่วย ป่วยหนัก… ไม่อาจรักษาได้… แต่ลูกชายคุณ หลานสาวคุณ พวกเขายังไม่ยอมถอดใจ พวกเขารอนแรมอยู่ในแดนธุลี ไปตามหาทั่วทุกหนทุกแห่งที่คิดว่าคุณอาจไป… นิกายออกคำสั่งไปยังทุกอารามเต๋าว่าให้คอยใส่ใจร่องรอยของคุณ…”
‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นิ่งเงียบฟังอย่างเฉยชา ไม่ทราบว่าเข้าใจความหรือไม่
ทว่าเสียงข่มขู่ในลำคอนั้นมลายหายไปหมดแล้ว
จนกระทั่งโจวเยว่พูดจบเขาก็ส่งเสียงคร่ำครวญออกมา หันหลังวิ่งออกจากอารามหนานเคอไปราวกับเป็นวานรป่า
และเนื่องจากความเป็นตัวอันตรายของเขาจึงทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนไม่กล้ารั้งเขาไว้
“ฟู่… ข้อมูลที่เขาต้องการจะถ่ายทอดมา ที่แท้กลับเป็นตัวเลข ‘ห้า’ ‘ศูนย์’ ‘สาม’ นี่เอง…” เจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังจ้องมองประตู ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเรื่อยเปื่อยเพื่อไม่ให้ตนเองถูกผลกระทบจากภาพหลอน เธอพูดพึมพำขึ้นมา “นี่มันคือ… มันคือ…”
ในขณะที่ลังเลอยู่นั้นก็บังเกิดความคิดผุดวาบขึ้นมา
“หรือว่านี่เป็นหมายเลขประตูโลกจิตวิญญาณของเจียงเสี่ยวเยว่ใน ‘ทางเดินแห่งจิต’
“ก็เป็นไปได้” โจวเยว่ผงกศีรษะเล็กน้อย “ประตูแต่ละบานใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ จะมีตัวเลขแตกต่างกันไป ไม่รู้เหมือนกันว่ามาได้ยังไง”
“หรือว่าเป็นหมายเลขบัตร… ประจำตัวประชาชน” ซางเจี้ยนเย่าคิดจะพูดว่าบัตรอิเล็กทรอนิกส์ แต่แล้วก็เปลี่ยนไปใช้เป็นคำที่ใช้เรียกกันในโลกเก่า
“ยาวไม่พอ” โจวเยว่ปฏิเสธการคาดเดานี้
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ดังนั้น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นต้องการเตือน ‘ผู้ปกป้องมายาฝัน’ คนอื่นๆ ของนิกายคุณว่าให้หลีกเลี่ยงห้อง 503 ใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ เอาไว้สินะ”
หรือไม่ก็ให้ระดมพล แล้วอาศัยการปกป้องจากผู้ครองกาล ไปจัดการทำความสะอาดห้องนั้นให้สิ้นซาก
“ก็เป็นได้” โจวเยว่เองก็ไม่ใคร่จะเข้าใจอะไรมากนัก จึงทำได้เพียงแค่ตอบด้วยคำพูดอย่างคลุมเครือเท่านั้น
ในระหว่างที่พวกเขากำลังหารือเกี่ยวกับตัวเลข ‘ห้า’ ‘ศูนย์’ ‘สาม’ อยู่นั้น ด้านนอกอารามหนานเคอก็มีเสียงสัตว์ร้ายหอนคำรามขึ้น
“โบร๋ว!”
น้ำเสียงนั้นแหบแห้งชวนให้ขนลุก
ทั้งสามมองหน้ากันแล้วหยิบกระจก ขณะที่เดินไปก็ฉายกระจกส่องไปรอบๆ ตัวด้วย
เมื่อผ่านลานโล่งกลางอารามออกมาถึงถนน พวกเขาก็เห็น ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนเดิมยืนอยู่บนหลังคาอาคารฝั่งตรงข้าม
ท่ามกลางดวงดาวพร่างพรายจำนวนนับไม่ถ้วน เขารวบรวมกำลังทั่วร่างพุ่งโจนไปข้างหน้า
ร่างเขาดิ่งร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ผมหงอกขาวยาวยุ่งเหยิงปลิวไสว
พลั่ก!
‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นร่วงกระแทกพื้นถนน ร่างกายแหลกเหลว
โลหิตสีแดงสดไหลรินออกจากใต้ร่างอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นแอ่งของเหลวสีแดง
ฉากนี้นิ่งค้างอยู่ในครรลองสายตาของซางเจี้ยนเย่า เจี่ยงไป๋เหมียน รวมทั้งโจวเยว่
เมื่อตอนที่พวกเขาเข้าไปถึงก็พบว่าเป้าหมายนิ่งเงียบไปแล้ว ไม่มีเสียง ไม่มีสัญญาณของชีวิตอีกต่อไป
เจี่ยงไป๋เหมียนนึกถึงฉากอันน่าสยดสยองที่เจียงเสี่ยวเยว่กระโดดตึกฆ่าตัวตายขึ้นมา ได้แต่ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
โจวเยว่มองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างเงียบงัน เธอเอนร่างครึ่งบน กางสองแขนออกเล็กน้อย
จากนั้นเธอก็ใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมสวดภาวนา
“โลกใหม่อยู่นอกมายาฝัน
“ขอพระองค์ทรงโปรดท่านด้วย”
เมื่อสวดภาวนาและอวยพรสั้นๆ จบ โจวเยว่ก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จากทีมเฉียนไป๋คนนั้นเดินเข้าไปยังซากศพ ยืนมองอย่างเงียบงัน
จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อขนเป็ดสีน้ำเงินตัวสั้น นั่งยองลงไปแล้วคลุมใบหน้าผู้ตายด้วยเสื้อ ปิดดวงตาขุ่นมัวที่เลื่อนลอยคู่นั้นไว้
เฮ้อ… เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจอีกครา
* * * * *
ภายในอารามหนานเคอ
เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าช่วยกันเคลื่อนย้ายร่างของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ เข้ามาข้างใน เนื่องจากคำสอนของ ‘นิกายมังกรพยับ’ พวกเขาจึงเปลี่ยนจากเสื้อคลุมขนเป็ดสีน้ำเงินตัวนั้นเป็นผ้าเช็ดตัวสีขาว นำมาคลุมใบหน้าผู้ตาย
นี่หมายความว่าเขาจะไม่ต้องอยู่ในมายาฝันอีกต่อไป
เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และโจวเยว่ นั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งเพื่อเฝ้าศพ รอให้ถึงรุ่งสาง
บรรยากาศความเงียบงันเกิดขึ้นพักหนึ่งก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะเริ่มพูดคุยทำลายความเงียบขึ้นมา
“เจ้าอารามโจว คุณว่าตอนที่เขากระโดดลงมาจากตึกในตอนนั้น เป็นเพราะเขาใช้สติสัมปชัญญะในห้วงสุดท้ายเพื่อจบชีวิตของ ‘คนไร้ใจ’ หรือเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากโลกจิตวิญญาณของเจียงเสี่ยวเยว่ที่กระโดดตึกวนลูปซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
โจวเยว่มองศพที่มีผ้าเช็ดตัวสีขาวคลุมไว้ ยกมุมปากขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
“ฉันหวังว่าจะเป็นเหตุผลแรก
“หากเป็นเช่นนั้น เขาจะได้หลุดพ้นจากความฝันในฐานะมนุษย์ธรรมดา”
เจี่ยงไป๋เหมียนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นก็เอ่ยถาม
“เจ้าอารามโจว คุณมาเข้าร่วม ‘นิกายมังกรพยับ’ ได้ยังไงเหรอ”
โจวเยว่ละสายตากลับมาแล้วเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ ‘นิกายมังกรพยับ’ รับเลี้ยงไว้น่ะ อยู่ในนิกายมาตั้งแต่เล็กจนโต คงบอกไม่ได้ว่าเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมหรอก”
“มิน่าล่ะ คุณถึงได้ทำตามคำสอนของ ‘นิกายมังกรพยับ’ ในชีวิตประจำวันได้อย่างกลมกลืนสอดคล้อง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจาหรือการกระทำต่างๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้
ซางเจี้ยนเย่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างเธอนั้น ยังคงมองดูศพอย่างเงียบงัน ดวงตาสงบนิ่ง ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไร
โจวเยว่หัวเราะเยาะตัวเองพลางส่ายหน้า
“เปล่าหรอก ก่อนหน้านี้ฉันก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้”
“หือ” เจียงไป๋เหมียนเผยน้ำเสียงเป็นคำถาม
โจวเยว่เงยหน้าเล็กน้อย ไม่ทราบว่ากำลังมองไปที่คานไม้ของอารามหนานเคอหรือกำลังมองไปยังผู้ครองกาลในความว่างเปล่า
“ฉันเคยมีเพื่อนรักคนหนึ่ง เธอเองก็เป็นเด็กกำพร้าที่นิกายรับเลี้ยงเหมือนกัน พวกเราพักอยู่ห้องเดียวกันมาหลายปี
“พวกเราตกลงกันว่าถ้าใครได้เป็น ‘ผู้ชักจูงฝัน’ หรือแม้แต่ ‘นักบวชแดนฝัน’ ก็ตาม ก็จะพาอีกฝ่ายไปอยู่ที่อารามของตัวเองด้วย จะเป็นเพื่อนรักกันไปจนวันตาย
“แต่แล้ว… วันหนึ่ง…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ โจวเยว่ก็หยุดไปชั่วขณะ สายตาราวกับเลื่อนลอยไร้จุดหมาย
“เธอก็ป่วยเป็น ‘โรคไร้ใจ’”
เจี่ยงไป๋เหมียนอ้าปาก แต่ไม่ทราบจะสรรหาคำพูดใดออกมา
แล้วโจวเยว่ก็เล่าต่อ
“พอฉันโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ชอบพอกับสาวกนิกายคนหนึ่ง เขาเป็นคนดี เป็นผู้ชายแสนดี ดีมากๆ เขาทั้งสูงทั้งขี้อาย เวลาเห็นสาวๆ อย่างพวกเรา เขาจะประหม่า พูดอะไรไม่ถูก
“เขาเป็นคนใจดีมากด้วย มีครั้งหนึ่ง เขาตามสาวกนิกายคนอื่นๆ ไปยังนิคมคนเร่ร่อนแดนร้างที่ถูกน้ำท่วม ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่นั่น ไปหาเด็กที่เหมาะจะพากลับมาเลี้ยงดู”
เมื่อตอนที่เล่าถึงเรื่องเหล่านี้ ใบหน้าของโจวเยว่มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นราวกับว่าได้กลับไปสู่ช่วงเวลาแห่งอดีต
“ต่อมา… ต่อมา…” สีหน้าเธอค่อยๆ เลื่อนลอย “พวกเขาบอกฉันว่า… ที่นิคมแห่งนั้นเกิดโรคระบาดขึ้น… เขาไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว”
หลังจากเงียบงันไปไม่กี่วินาที โจวเยว่ก็หันมามองเจี่ยงไป๋เหมียนพร้อมกับรอยยิ้มตามปกติวิสัยของเธอ
“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย”