รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 281 “ข้อตกลง”
ตอนที่ 281 “ข้อตกลง”
เมื่อเห็นทีมเฉียนไป๋ไม่ได้พูดอะไร ไช่อี้เจ้าของบาร์ ‘พิราบไพร’ ก็เลยคิดไปว่าพวกเขาไม่เข้าใจคำว่า ‘ฆ่าหมูปรุงอาหาร’ จึงรีบอธิบายให้ฟัง
“นี่เป็นธรรมเนียมในบ้านเกิดของประธานกู้น่ะ ที่นั่นอยู่ทางด้านเหนือของด้านเหนืออีกที อยู่มาตั้งแต่สมัยก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลายเสียอีก
“แม้ว่าพวกเราทางนี้ส่วนใหญ่จะมาจาก ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ก็จริง แต่ก็ยังมีคนแบบประธานกู้ด้วย พวกธรรมเนียมต่างๆ ก็เลยถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน
“พูดง่ายๆ ก็คือทุกๆ เทศกาลปีใหม่จะมีการฆ่าหมูเพื่อเฉลิมฉลอง พวกอวัยวะส่วนต่างๆ จะเอาไปทำอาหารสารพัดแบบ อย่าง ตรงที่เป็นเนื้อสามชั้นก็เอาไปหั่นเป็นชิ้นๆ กินกับผักดอง ฮ่า ฮ่า ก็หน้าหนาวเราไม่มีผักสดน่ะ ก็เลยต้องใช้เป็นผักดองแทน ถนอมอาหารได้สะดวก แถมยังชุ่มคอและอร่อยมากด้วย ยิ่งกินกับเนื้อสามชั้นก็ยิ่งสุดยอดเลยล่ะ
“อ้อ… เอามากินกับไส้กรอกเลือดก็ได้เหมือนกันนะ ไส้กรอกเลือดก็คือเอาอะไรก็ได้ใส่ลงไปในเลือด จากนั้นก็คลุกเคล้าให้เข้ากับเนื้อสับและเครื่องเทศ แล้วเทเข้าไปในลำไส้ ถึงแม้ว่าพวกคนจาก ‘นิกายเตาหลอม’ นั่นจะไม่ค่อยมีของอะไรมากนัก แต่เครื่องเทศนี่ไม่เคยขาดมืออยู่แล้ว…”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของไช่อี้แล้ว หลงเยว่หง ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ก็ได้แต่กลืนน้ำลายพร้อมๆ กัน
“ไม่ต้องพูดแล้ว พวกเรายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบห้ามไม่ให้เจ้าของบาร์พูดอะไรต่ออีก “งั้นทำเมนูที่คุณเพิ่งเล่ามาตะกี้เลยก็แล้วกัน”
“ได้สิ!” ไช่อี้เห็นด้วยทันที
จากนั้นเขาก็เตือนให้รู้ก่อน
“แต่ว่าใช้เนื้อแช่แข็ง รสชาติจะด้อยลงไปหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไร” ซางเจี้ยนเย่าทำท่าบอกว่าคุณรีบๆ ยกอาหารมาเสิร์ฟสักทีเถอะน่า
ระหว่างรอเจ้าของบาร์ทำอาหาร ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ไปเล่นสนุกเกอร์กันอีกครั้ง คราวนี้ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงเริ่มพัฒนาฝีมือขึ้นมาบ้างแล้ว ทำให้เกมเริ่มมีสีสันขึ้นมาไม่น้อย
เนื่องจากเนื้อแช่แข็งที่เตรียมละลายไว้ล่วงหน้านั้นมีไม่มาก ไช่อี้จึงทำผักดองเนื้อต้มมาเสิร์ฟให้พวกซางเจี้ยนเย่าได้รองท้องกันก่อน จากนั้นตัวเองถึงค่อยไปลงมือทำอาหารจานอื่นต่อ
“เนื้อหอมฉุยเลย…” เจี่ยงไป๋เหมียนคีบหมูสามชั้นใส่ปากเคี้ยว “รสเปรี้ยวนี่ทำให้เจริญอาหารนะ มันทำให้รู้สึกว่ารสชาติอร่อยเป็นพิเศษ”
ไป๋เฉินกินเนื้อหนึ่งคำสลับข้าวหนึ่งคำ มองเห็นหลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่าก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างไม่บันยะบันยัง
“เนื้อเอามาต้มกับน้ำเปล่าก็อร่อยดีนะ หอมกรุ่นเลยล่ะ แต่เอาเนื้อสัตว์ป่ามาทำไม่ได้”
สมัยที่เธอยังเร่ร่อนอยู่ในแดนร้าง ไม่ได้มีเครื่องปรุงเครื่องเทศอะไรทั้งสิ้น บางครั้งก็ไม่มีแม้แต่เกลือด้วยซ้ำ กว่าจะได้เนื้อมาสักชิ้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังไม่มีวิธีถนอมอาหารอีกด้วย จึงได้แต่ต้องใช้น้ำเปล่าต้มแล้วจัดการถลกหนังควักไส้ กินกันตรงนั้นเลย
“อื้อ อื้อ” ซางเจี้ยนเย่าพูดอู้อี้แสดงความเห็นด้วย
ขณะที่พวกเขากำลังกินอาหารอย่างเพลิดเพลิน ที่ประตูทางเข้าบาร์ก็มีคนเข้ามาสี่คน
นี่คือทีมไป๋เซียวที่พวกเขาได้พบเจอกันมาหลายครั้งแล้ว
หลินถงผู้ซึ่งมีเรือนผมสีดำบุคลิกอ่อนโยนทำจมูกฟุดฟิด
“หอมจัง…”
ระหว่างที่พูด สายตาเธอก็จับจ้องไปยัง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่มีหม้อใบใหญ่วางอยู่เบื้องหน้า
“บาร์นี้มีอาหารสดให้ซื้อด้วยเหรอ” หลินถงเดินตรงไปด้านที่พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่านั่งอยู่ เธอมองหม้อผักดองเนื้อต้มพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา
“เราเคยช่วยเจ้าของร้านไว้น่ะ เขาก็เลยเลี้ยง”
“อย่างนี้นี่เอง…” หลินถงแสดงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“มากินด้วยกันไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนเชื้อเชิญ
“คงไม่ดีล่ะมั้ง เจ้าของร้านเขาเชิญแค่พวกคุณสี่คนเท่านั้นเอง” แม้หลินถงจะพูดเช่นนั้น แต่สองเท้าของเธอกลับไม่ยอมขยับไปไหนแม้แต่น้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้มแล้วตอบคำ
“ไม่เป็นไรหรอก ให้เถ้าแก่เขาทำอาหารแค่สี่ที่เหมือนเดิมนั่นแหละ ฉันจะไปเอาอาหารกระป๋องมาเพิ่ม ทุกคนจะได้มานั่งกินด้วยกัน”
“ถ้าอย่างงั้นก็ใช้อาหารกระป๋องของพวกเราดีกว่า” ราวกับว่าหลินถงกำลังรอคอยประโยคนี้อยู่นานแล้ว เธอรีบนั่งพรวดลงไปทันที
เมื่อไป๋เซียว เหลย และจางเส้าเผิงเห็นเช่นนี้ พวกเขาต่างชำเลืองมองหม้อผักดองเนื้อต้มแล้วก็นั่งลงไปเช่นกัน
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงทำตัวมีมารยาท เดินเข้าไปที่หลังครัวแล้วนำอุปกรณ์รับประทานอาหารออกมาเพิ่มอีกหลายชุด
“ตอนนี้พวกคุณกลายเป็นคนดังของทาร์นันไปแล้ว ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นแข็งแกร่งถึงขนาดไหน ก็ยังถูกพวกคุณจัดการได้” ระหว่างที่รออาหารยกมาเสิร์ฟ หลินถงก็เอ่ยชมพวกเขา ไม่ทราบว่าชมจากใจหรือเพียงแค่ชมตามมารยาท
ไป๋เซียวผู้ซึ่งมีศีรษะครึ่งเสี้ยวเป็นโลหะสะท้อนประกายพยักหน้าให้
“พวกเราพยายามคิดหาสารพัดวิธี วางแผนไว้สารพัดอย่าง แต่ก็ไม่มีความมั่นใจแม้แต่นิดเดียว”
ดูเหมือนพวกคุณยังมีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองอยู่บ้างสินะ… ขนาดหลงทางวนเวียนอยู่ในภาพหลอนก็ยังจะคิดหาวิธีจัดการอีกฝ่ายให้ได้… เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำกับตัวเองไปสองประโยคก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“หลักๆ ก็อาศัย ‘นิกายมังกรพยับ’ นั่นแหละ พวกเราก็แค่เดาอะไรไปบ้างก็เท่านั้น”
“ไม่ ไม่ ไม่ ในสายตาฉันน่ะ ใช้สมองสำคัญกว่าใช้แรง” หลินถงแสดงความคิดเห็นตนเอง
ในตอนนี้พวกเขาเริ่มแบ่งข้าวกัน หยุดพูดจา ยื่นตะเกียบออกมา
หลังจากจัดการผักดองเนื้อต้มจนเหลือแต่ก้นหม้อเปล่าๆ แล้ว คนทั้งแปดก็เริ่มเงยหน้ามาพูดคุยกันต่อระหว่างรออาหารจานใหม่ยกมาเสิร์ฟ
“ครั้งนี้พวกคุณก็ได้มาไม่น้อยเหมือนกันนี่ หาตำแหน่งที่หุ่นยนต์หายไปได้ก็จะได้รับรางวัลเป็นหุ่นยนต์มาสิบตัว” เจี่ยงไป๋เหมียนเอ่ยถามอย่างไม่จริงจัง
“ก็พอได้อยู่” หลินถงพูดอย่างถ่อมตัว “ถ้าเอากลับปฐมนครไปได้ก็แลกวัตถุปัจจัยได้ไม่น้อยล่ะ แต่การจะพาไปก็ค่อนข้างขลุกขลักสักหน่อย”
“พวกคุณมาจากปฐมนครกันเหรอ” ไป๋เฉินถามแทรกขึ้น
“ใช่แล้ว” ไป๋เซียวผู้มีตาขวาเจือสีแดงม่วงเอ่ยตอบอย่างใจเย็น
มีดตรงที่สะพายอยู่กลางหลังของเขาถูกปลดออกมาแล้ว มันวางไว้อยู่ด้านข้าง
หลินถงกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม
“ถึงจะบอกว่าพวกเราเป็นนักล่าซากอารยะก็เถอะ แต่ที่จริงแล้วพวกเราเป็นทีมวิจัยที่ทำงานให้กับ ‘ปฐมนคร’ น่ะ”
ถึงจะบอกว่าพวกเราเป็นนักล่าซากอารยะก็เถอะ แต่ที่จริงแล้วพวกเราเป็นทีมที่ทำงานสำรวจหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าน่ะ… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบวิพากษ์อยู่ในใจ ก่อนจะถามอย่างครุ่นคิด
“ด้านชีววิทยาเหรอ”
“ฮื่ออืม” หลินถงผงกศีรษะ หลักๆ แล้วฉันศึกษาอยู่สองเรื่องก็คือพันธุกรรมกับเส้นประสาท ครั้งนี้ที่มาภูชีลาร์ก็เพื่อจับสัตว์กลายพันธุ์น่ะ มิงค์สายฟ้า จะเอามาวิจัยเรื่องสภาพผิดปกติทางเส้นประสาทของมัน”
“ถึงยังไงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมพวกเราต้องถ่อมาที่นี่ในฤดูหนาวแบบนี้ด้วย” เหลยผู้ซึ่งมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าอยู่เป็นนิจ พูดพึมพำเบาๆ
สีหน้าหลินถงกลายเป็นจริงจังขึ้นมา
“ก็เงินสนับสนุนในฤดูหนาวมันเยอะกว่านี่นา”
เมื่อ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่ได้ยินคำพูดนี้ ก็พลันรู้สึกสนิทสนมกับหญิงสาวผู้นี้ขึ้นมาทันที
เพราะพวกเขาต่างก็เป็นทีมที่ทำงานรับใช้กองกำลังใหญ่ อะไรที่พอจะตอดเล็กตอดน้อยจากองค์กรมาได้ย่อมไม่ปล่อยผ่าน จนกลายเป็นสัญชาตญาณไปเสียแล้ว
ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าเอ่ยถามไป๋เซียว สีหน้ามีร่องรอยความอิจฉา
“การดัดแปลงด้านกลไกของคุณนี่ทำที่ปฐมนครเหรอ”
“โชคดีที่ตอนนั้นผมอยู่ปฐมนคร” ไป๋เซียวตอบแบบสรุปจบทันที
“ตอนนั้นเขาถูกคนโจมตีน่ะ บาดเจ็บสาหัสเลยล่ะ ถ้าไม่ดัดแปลงก็อาจจะไม่รอด” หลินถงช่วยเสริมอีกประโยคหนึ่ง
เจี่ยงไป๋เหมียนที่เป็นผู้ร่วมชะตากรรมพลันเกิดความรู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“แล้วได้แก้แค้นไหม”
“ถ้าเจ้านี่ยังอยู่ ก็แปลว่ายัง” ไป๋เซียวชี้ที่เศษกระสุนที่ฝังอยู่บนหน้าผากเขา
เนื่องจากรายละเอียดการดัดแปลงนั้นเป็นความลับของอีกฝ่าย ดังนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนจึงยุติหัวข้อสนทนานี้แล้วเปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องอื่น
ผ่านไปครู่หนึ่งไช่อี้ก็ยกอาหารออกมาสองจาน จานแรกเป็นเนื้อเปรี้ยวหวาน อีกจานเป็นไส้กรอกนึ่ง
“อยากเหล้าสักหน่อยไหม” เขารู้ว่านักล่าทั้งสองทีมที่อยู่ต่อหน้าเขาในขณะนี้แข็งแกร่งมาก ดังนั้นจึงเจตนาเชื้อเชิญ “ผมเป็นเจ้าภาพเอง เป็นแค่เหล้าผลไม้หมัก ไม่ทำให้เมาหรอก”
“ตกลง!” หลินถงเพิ่งจะพูดจบก็รีบหันซ้ายหันขวายิ้มแหยๆ ให้ไป๋เซียว เหลย จางเส้าเผิง “ฉันจะดื่มแค่นิดเดียว นิดเดียวจริงๆ นะ… นะ…”
ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีลางไม่ดีแฮะ… เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นเช่นนั้นก็พูดพึมพำขึ้น
สิบกว่านาทีต่อมา หลินถงถือแก้วที่มีของเหลวเหลือติดก้นเพียงแค่ชั้นบางๆ ใบหน้าแดงก่ำ พูดอ้อแอ้เอนไปเอียงมากับ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คน
“อาวว้ายพวกคูณ… มีโอกาสมา… ปฐมนครเมื่อหร่าย… ฉานจะเลี้ยงเอง!”
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองพวกไป๋เซียว พบว่าพวกเขาล้วนแต่มีสีหน้าระอาใจ
“ตกลง!” ซางเจี้ยนเย่าตอบรับคำเชิญของหลินถงอย่างมีความสุข
ครั้นเมื่อได้เติมเต็มกระเพาะกันแล้ว ทั้งสองทีมต่างก็โบกมือลา แยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน
* * * * *
หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนกลับมายังห้องนั่งเล่นก็เห็นว่าซางเจี้ยนเย่ากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้มีพนัก
ไม่รู้ทราบว่ากำลังครุ่นคิดเรื่องใด
“มีอะไรเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างไม่จริงจังพลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม
ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“ภารกิจเสร็จเร็วไป ก็เลยไม่ได้รับอาหารสนับสนุน อดได้พวกเนื้อสดมากิน”
ตอนที่รับภารกิจ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ มานั้น เกอนาวาสัญญาว่าจะเตรียมวัตถุดิบที่เป็นเนื้อสดให้พวกเขา
แต่แน่นอนว่าแค่เฉพาะช่วงระหว่างที่ยังปฏิบัติภารกิจอยู่เท่านั้น
“นั่นสิ…” หลงเยว่หงที่กำลังหัดใช้คอมพิวเตอร์อยู่นั้นนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็เศร้าใจเช่นกัน
“ช่างมันเถอะน่า ถึงยังไงพวกเราก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก” เจี่ยงไป๋เหมียนฟังแล้วก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน
ซางเจี้ยนเย่ายังคงมีสีหน้าครุ่นคิด พูดพึมพำกับตัวเองต่อ
“ไม่รู้ว่าพิธีบัพติศมาของ ‘นิกายเตาหลอม’ จะมีอีกทีเมื่อไหร่…”
เนื่องจากเหตุการณ์ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ จึงทำให้พิธีบัพติศมาของ ‘นิกายเตาหลอม’ ครั้งล่าสุดถูกเลื่อนออกไป
“กลับไปถามพวกเขาดูก็ได้ หวังว่าจะทันกับตารางกำหนดการของพวกเรา” ว่ากันตามตรงแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็รู้สึกหวั่นไหวเรื่องเข้าร่วมพิธีศีลล้างบาปซาวน่าอยู่เหมือนกัน
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเบาๆ พลางเปลี่ยนเรื่องพูด
“ผมลองติดต่อกับเกาะนั้นมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลอยู่ดี”
“หือ” เนื่องจากหัวข้อสนทนานั้นสะเปะสะปะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็ว เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ถึงกับตามความคิดเขาไม่ทัน
ไอ้ที่นายทำท่าทางแบบนั้นออกมา พูดเรื่องไร้สาระไปครึ่งค่อนวัน ที่แท้ก็เพื่อจะพูดเรื่องนี้งั้นเรอะ ตอนนี้นายกำลังเป็นซางเจี้ยนเย่าที่ขี้อายอ้อมค้อมหรือไงยะ… เจี่ยงไป๋เหมียนคิดๆ แล้วก็พูดขึ้น
“เรื่องที่เกาะนั้นเป็นตัวแทนความกลัวในเรื่องอะไรเนี่ย ดูท่าแล้วนายคงต้องวิเคราะห์ตัวเองในเชิงลึกเอาเองแล้วล่ะ
“พวกเราทำได้เพียงแค่ให้คำแนะนำให้ความเห็นได้ในบางเรื่องเท่านั้น คงตัดสินแทนนายไม่ได้หรอก”
จากนั้นตัวเธอ หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ก็ระดมสมองแลกเปลี่ยนการคาดเดาของตัวเอง
* * * * *
กลางดึกคืนนั้น ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นมานั่งแล้วเอนหลังพิงหัวเตียง ซ่อนร่างอยู่ในเงามืด
เขามองไปนอกหน้าต่างซึ่งมีไฟถนนส่องสว่างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นมานวดขมับทั้งสองข้าง
ภายใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ที่สะท้อนประกายระยิบระยับ ซางเจี้ยนเย่าย่างเท้าขึ้นมาบนเกาะเขียวขจีมีแสงตะวันสาดส่องอีกครั้ง
เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนชายหาด จ้องมอง ‘ท้องทะเล’ เวิ้งว้างเบื้องหน้า
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ซางเจี้ยนเย่าก้มศีรษะลง ยื่นมือขวาออกไปเขียนคำๆ หนึ่งบนผืนทรายสีเหลือง
‘เดียวดาย’
เขาจ้องมองคำนั้นอยู่สองสามวินาทีก่อนจะเอื้อมมือไปลบทิ้ง
จากนั้นเขาก็เขียนอีกประโยคหนึ่ง
‘กลัวชีวิตที่ไร้ความหมาย?’
เครื่องหมายคำถามที่เขียนไว้ท้ายประโยคนั้นโย้เย้ไปมาและเขียนด้วยตัวโตมาก
หลังจากมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ซางเจี้ยนเย่าก็ลบประโยคนั้นทิ้งอีกครั้ง
และก็เป็นเช่นนี้ เขาเขียนๆ ลบๆ เปลี่ยนคำ เปลี่ยนประโยคไปไม่ทราบว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
เวลาล่วงเลยผ่านพ้นไปเป็นวินาทีเป็นนาที ซางเจี้ยนเย่าที่เหม่อลอยมาเนิ่นนานก็ใช้นิ้วเขียนประโยคบนหาดทรายอีกครั้ง
‘กลัวการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่มี…’