รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 293 ชื่อเสียงเลวร้าย
ตอนที่ 293 ชื่อเสียงเลวร้าย
อีกฝั่งหนึ่งของย่านที่พักแรม ในห้องของพ่อค้าทาส ฮั่วจื้อ
เขามองดูกระจกหน้าต่าง พูดพึมพำกับตัวเอง
“ทีมที่มาดูพวกเราเมื่อครู่นี้ มีหุ่นยนต์อยู่ด้วย จะดูถูกเบาความแข็งแกร่งพวกเขาไม่ได้…”
หลังจากครุ่นคิดอยู่สองสามวินาที ฮั่วจื้อก็พูดกับลูกน้องข้างกาย
“อาเฉียง ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืดสนิท แกออกไปหาข่าวดูว่าทีมนั้นมีที่มาที่ไปยังไง ระวังไว้ก่อนดีกว่าเสียใจภายหลัง”
อาเฉียงรูปร่างค่อนข้างเตี้ย แต่ดูกำยำล่ำสัน เมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดอย่างลำบากใจ
“เจ้านาย ผมรู้ว่าคุณเป็นคนที่ระมัดระวัง กลัวคนพวกนั้นจะมาหาเรื่องเราโดยไม่มีเหตุผล แต่ว่าตอนนี้ประตูชุมชนศิลาแดงปิดไปแล้ว จะให้ผมไปหาใครที่ไหนได้ล่ะ แถมพวกคนที่นี่น่ะ ขนาดผีก็ยังหาตัวไม่เจอเลย”
ฮั่วจื้อรู้ว่านี่ไม่ใช่คำแก้ตัว เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
“งั้นไปถามที่โบสถ์ตื่นตัวก็แล้วกัน ลองไปคุยกับยามที่คุ้นเคยดู”
พวกเขาต้องไปส่งทาสให้ที่ ‘นาวาบาดาล’ อยู่บ่อยครั้ง จึงจำเป็นต้องผ่านโบสถ์ตื่นตัว
“ได้ครับ เจ้านาย” อาเฉียงไม่ได้พูดอะไรอีก เปิดประตูออกไปขึ้นรถแล้วขับมุ่งหน้าตรงไปทางเหนือของซากเมือง
ฮั่วจื้อนั่งลง อดทนรอคอยให้ลูกน้องคนสนิทกลับมา
จนกระทั่งดวงตะวันลับฟ้า ความมืดมิดปกคลุมพื้นโลกโดยสมบูรณ์ รถยนต์ที่อาเฉียงขับไปก็ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าของย่านที่พัก
เขาลงมาจากรถด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เข้าไปในห้องของฮั่วจื้อ เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะกดเสียงพูดออกมา
“เจ้านาย คนพวกนั้นน่ะ มีภูมิหลังไม่ธรรมดา!”
“หมายความว่ายังไง” ฮั่วจื้อลุกพรวดยืนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
อาเฉียงกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ
“ยามที่โบสถ์บอกผมมาว่าก่อนหน้านี้ ทีมนั้นจัดการกับผู้ตื่นรู้ที่โคตรแข็งแกร่งสุดๆ แล้วก็ยังช่วยเหลือชุมชนศิลาแดงจากพันธมิตรมนุษย์ชั้นรองอีกด้วย
“ถ้าหากว่าจะให้หาอะไรมาเทียบให้เห็นชัดๆ ล่ะก็… พวกเขาสามารถถล่มชุมชนศิลาแดงที่ไม่มีนิกายตื่นตัวให้ราบเป็นหน้ากลองได้ แถมตอนนั้นพวกเขายังไม่มีหุ่นยนต์ด้วยนะ!”
“นี่มัน…” ฮั่วจื้อได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับตาค้าง
เท่าที่เขาเคยรู้มานั้น ถึงแม้ภายในชุมชนศิลาแดงจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน แต่ก็ยังคงมีพลังยิงที่แข็งแกร่งเพียงพอ ต่อให้ไม่มีการปกป้องคุ้มครองจากนิกายตื่นตัวก็ตาม ซึ่งภายในอาณาเขตทะเลสาบพิโรธนั้นถือได้ว่าพวกเขาเป็นอันดับหนึ่ง สามารถบดขยี้กองคาราวานจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย
แต่ทีมที่มีเพียงสี่คนกลับสามารถเทียบเคียงได้กับนิคมขนาดใหญ่แบบนี้เลยงั้นเหรอ…
หลังจากนิ่งอึ้งไปครึ่งค่อนวัน ฮั่วจื้อก็ถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง
“ที่ว่าถล่มน่ะ นับรวมเอา ‘นาวาบาดาล’ เข้าไปด้วยหรือเปล่า”
“ไม่น่านะ” อาเฉียงตอบตามความจริง “พวกคนในโบสถ์ไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของ ‘นาวาบาดาล’ มีถึงขนาดไหน”
ฮั่วจื้อผงกศีรษะอย่างเชื่องช้า สูดปากออกมา
“ต่อให้พวกยามโบสถ์นั่นโม้เกินจริงก็เถอะ แต่ที่แน่ๆ ก็คือทีมนั้นไม่ธรรมดา
“น่าจะอยู่ในระดับที่มีคนสี่ห้าคนก็ถล่มนิคมได้ยับเยินล่ะนะ ไม่แน่ว่าบางทีทุกคนในทีมอาจจะอยู่ในระดับ ‘นักล่าอาวุโส’ ก็ได้ แต่ยังเทียบกับพวกทีมนักล่าที่พวกเราเคยเจอมาก่อนไม่ได้หรอก พวกนั้นน่ะแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
พูดถึงตรงนี้ฮั่วจื้อก็ถอนใจ
“ยังดีที่ทีมระดับนี้คงไม่เห็นของที่พวกเรามีอยู่ในสายตาหรอก ก็แค่ทาสไม่กี่สิบคนแค่นั้น ถึงแม้มิสเตอร์ดิมาร์โก้จะให้ราคาสูงมากก็เถอะ แต่ก็ยังไม่เท่ากับวัตถุปัจจัยที่พวกเขาหมายตา
“บางทีคงเป็นเพราะพวกเขาเห็นมีความเคลื่อนไหว ก็เลยมาดูๆ ตามความเคยชินเพื่อยืนยันสถานการณ์”
อาเฉียงถูกเจ้านายเกลี้ยกล่อมสำเร็จ เขาถามด้วยความกังวล
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เช้ายังจะพาทุกคนออกมาอบรมอยู่อีกไหม”
“ไม่ต้องแล้ว” ฮั่วจื้อส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “ฉันจะเข้าไปในห้องเพื่อคุยเป็นการส่วนตัวทีละคน จะได้ไม่ไปรบกวนคนพวกนั้น”
ในขณะที่พูดอยู่นั้นเขาก็ลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นอาเฉียงยังไม่ค่อยวางใจนัก ฮั่วจื้อก็หัวเราะออกมา
“เอาน่า ทีมแบบนั้นยังจะมาเหลือบแลพวกเราที่มีทาสอยู่แค่ไม่กี่สิบคนหรือไง
“ตัวตนในระดับนั้นน่ะ จะขาดทาสด้วยเหรอ”
อาเฉียงร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“ผมจะไปจัดการเรื่องคนอยู่เวรคืนนี้”
* * * * *
กลางดึกคืนนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เธอพลิกตัวคว้าถุงน้ำจากโต๊ะหัวเตียง
แล้วในตอนนี้เธอก็พลันเห็นว่าที่เตียงฝั่งตรงข้ามมีเงาร่างหนึ่งกำลังนั่งอย่างเงียบงัน
เจี่ยงไป๋เหมียนตื่นเต็มตาทันที
หลังจากมองดูอย่างตั้งใจก็พบว่าเป็นซางเจี้ยนเย่าจริงๆ
“ดึกป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีกเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนทั้งแปลกใจทั้งรู้สึกน่าขัน
ซางเจี้ยนเย่าใช้มือสองข้างยันเตียงไว้แล้วหมุนตัวไปรอบๆ
ด้วยแสงจันทร์สลัวที่ลอดมาทางช่องหน้าต่าง เขาตอบกลับด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ผมกำลังคิดหาวิธีที่เป็นไปได้อยู่น่ะ”
“ดูมีความตั้งใจดีนะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ทราบว่าควรจะแสดงความคิดเห็นเช่นไร จึงเพียงแค่พูดเรื่อยเปื่อยไปประโยคหนึ่ง
จากนั้นเธอก็ถามต่อ
“แล้วได้ไอเดียอะไรบ้างยัง”
ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้า
“ยังเลย”
“โอ้…” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกโล่งอกขึ้นมา
ทว่าเสียงเธอยังไม่ทันขาดคำดี ซางเจี้ยนเย่าก็กล่าวเสริมขึ้นมาอีก
“มีแรงบันดาลใจมากเกินไปหน่อยน่ะ”
“…” รอยยิ้มบนใบหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนดูฝืนอยู่บ้าง
ซางเจี้ยนเย่ายังพูดต่อไปอีก
“ตอนนี้ผมกำลังเอาเรื่องนี้กับเรื่องหาวิธีพิชิตเกาะที่สามมาพิจารณาร่วมกันอยู่
“ก่อนหน้านี้เคยคุยกันไว้ว่ามันเป็นความกลัวในเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้ใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ทำเรื่องที่มันยากในความเป็นจริงดูสิ พยายามเปลี่ยนแปลงสภาวะโหดร้ายบางอย่างที่มองดูแล้วไม่น่าจะทำได้ไหว
“การจะช่วยมนุษยชาติทั้งหมดย่อมต้องเริ่มจากการช่วยคนกลุ่มเล็กๆ ให้ได้ก่อน เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
“ถ้าทำได้สำเร็จ เมื่อถึงตอนนั้นผมก็หวังว่าจะได้รับอะไรกลับมาบ้างที่สามารถป้อนคืนกลับไปให้โลกแห่งจิตวิญญาณได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังเงียบๆ จนจบ เธอกอดผ้าห่ม ปรับท่วงท่าเพื่อให้นอนได้สบายตัวขึ้น
“ความคิดแบบนี้… ก็นับว่าไม่เลวจริงๆ แหละ” เธอพูดออกไปตามความเป็นจริง “กุญแจสำคัญในการพิชิตเกาะที่สามอาจเป็นการเชื่อมต่อกับความเป็นจริง และใช้การยืนยันจากความเป็นจริงมาขจัดความสงสัยภายในใจ”
พูดมาถึงตรงนี้เธอก็เปลี่ยนหัวข้อ
“แต่ว่านะ ไม่เห็นจำเป็นต้องเอาเรื่องยากๆ แบบนี้มาลองตั้งแต่เริ่มเลยนี่นา”
ซางเจี้ยนเย่าคลี่ยิ้มออกมา ใบหน้าเขาผลุบๆ โผล่ๆ ภายใต้แสงจันทร์
“ที่จริงแล้วผมไม่ได้คิดหาวิธีแก้ปัญหาเพื่อพิชิตเกาะที่สามหรอก
“แค่เรื่องบังเอิญน่ะ”
ในเวลานี้เจี่ยงไป๋เหมียนพลันรู้สึกอย่างบอกไม่ถูกว่ารอยยิ้มของเขานั้นราวกับเด็กไร้เดียงสาที่ทั้งสะอาดทั้งบริสุทธิ์ผุดผ่อง
เจี่ยงไป๋เหมียนอ้าปากแล้วก็หุบลงไปอีกครั้ง ครึ่งค่อนวันถึงจะบ่นอุบอิบออกมา
“นายจะรอให้ฟ้าสางก่อนแล้วค่อยคิดไม่ได้หรือไง นี่มันดึกดื่นค่อนคืนเข้าไปแล้ว รีบนอน รีบนอน ตอนเช้าจะได้สดชื่นคิดหาวิธีดีๆ ออกมาได้”
เดิมทีนั้นเธอคิดจะหยิบหมอนมาปาใส่ซางเจี้ยนเย่าเพื่อเสริมความจริงจังของคำพูด แต่หลังจากคิดได้ว่าตัวเองมีหมอนเพียงแค่ใบเดียว จึงเลิกล้มความคิดนี้ไป
“อื้ออืม” ซางเจี้ยนเย่าขบคิดอยู่ครู่ใหญ่แล้วผงกศีรษะ
ตุ๊บ!
เขาล้มตัวลงมาแล้วเหยียดขาออก
เจี่ยงไป๋เหมียนห่มผ้าอย่างแน่นหนา หันหลังให้เตียงฝั่งตรงข้าม
ในวิกาลอันเงียบสงัด จู่ๆ เธอก็กระซิบเบาๆ ออกมาประโยคหนึ่ง
“บางครั้งฉันก็อิจฉาความใสซื่อบริสุทธิ์ของนายเหมือนกัน…”
ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นี่ต้องแลกมาด้วยใบรับรองแพทย์เชียวนะ”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนตัดสินใจหลับตาลงทันที
* * * * *
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ‘ทีมสำรวจเก่า’ กินอาหารเช้าแบบง่ายๆ เสร็จแล้วก็ขับรถจี๊ปออกไปภายใต้สายตาที่จับจ้องของชาวชุมชนศิลาแดงที่กำลังซ่อมแซมวงจรไฟฟ้าของย่านที่พักแรม พวกเขาขับตรงไปยังสวนสาธารณะของห้างสรรพสินค้าใต้ดิน
นี่คือแผนการดั้งเดิมของพวกเขา ก็คือการแวะไปยัง ‘วีซ่าเทรดดิ้งคอมพานี’ เพื่อหารือเกี่ยวกับแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง
ผู้ที่ทำงานอยู่ใน ‘วีซ่าเทรดดิ้งคอมพานี’ ยังคงเป็นหญิงสาวที่สวมหน้ากากผีสีเขียว มีนิสัยขี้ขลาดหวาดระแวงราวกระต่าย
“อะ… อรุณ… อรุณสวัสดิ์” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้หญิงคนนี้จดจำจ้าวแห่งชุมชนศิลาแดงกลุ่มนี้ได้
เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างยิ้มแย้ม
“วันนี้มีพ่อบ้านคนไหนอยู่บ้างเหรอ”
“พ่อบ้านอูลล์ริชค่ะ” พนักงานที่รับผิดชอบเรื่องการต้อนรับตอบออกมาตามตรง
อยู่พอดี… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบถอนหายใจ รู้สึกว่าวันนี้มีโชคไม่เลว พลางกดมือลงบนหน้ากากหลวงจีนรูปงามพร้อมกับพูดขึ้น
“งั้นรบกวนช่วยแจ้งให้หน่อยว่าพวกเราต้องการเข้าพบมิสเตอร์อูลล์ริช”
“ได้ค่ะ” หญิงสาวผู้นั้นรีบหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา เธอหลบไม่ให้พวกซางเจี้ยนเย่ารู้ว่าตัวเองกำลังคุยอยู่กับใคร
เกอนาวาซึ่งสวมแว่นกันแดดอยู่มองดูร่างเธอที่ส่วนใหญ่แทบจะถูกบังไว้หลังผนัง เอ่ยถามพวกเจี่ยงไป๋เหมียน
“จะให้ผมช่วยพูดทวนคำพูดของเธอไหม”
“คุณได้ยินด้วยเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ามีสีหน้าสงสัย
แต่น่าเสียดายที่มันถูกหน้ากากลิงบดบังเอาไว้จนมิด
เกอนาวาผงกศีรษะ
“ระยะห่างระดับนี้ ความดังเสียงระดับนี้ ยังอยู่ในระยะการตรวจจับของผม”
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจหัวเราะในข้อที่ว่าประสิทธิภาพการได้ยินของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ นั้นดีขึ้นมาอีกพอสมควร เธอครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามขึ้น
“ปกติพวกคุณจะสำรวจตรวจสอบสภาพแวดล้อมกันเองก่อนหรือเปล่า”
“ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยก็ไม่ได้ตรวจหรอก จะเริ่มตรวจสอบก็ต่อเมื่อกำลังปฏิบัติภารกิจหรืออยู่ในสถานการณ์ทำนองนั้น” เกอนาวาตอบอย่างรวบรัด
“จุดประสงค์หลักก็คือเพื่อจะได้ประหยัดแบตน่ะ ความทนทานและอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่จำกัดจำนวนของหุ่นสมองกลและการพัฒนาทางสังคม ดังนั้น ‘ซอร์สเบรน’ ถึงได้พยายามหาข้อมูลจากโลกเก่าที่เกี่ยวข้องกับพวก ‘เทคโนโลยีพลังนิวเคลียร์ย่อส่วน’ ‘เทคโนโลยีแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงยิ่งยวด’ แล้วก็ข้อมูลภาคสนามของงานวิจัย ‘ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้’ โดยหวังว่าจะสามารถทำให้พวกนี้กลายเป็นจริงขึ้นมาได้”
ไม่ผิดจากที่คาดไว้เลย พวกหุ่นสมองกลนี่สามารถพูดทวนซ้ำคำที่ฉันได้ยินในตอนนั้นแทบจะคำต่อคำเลยทีเดียว… การที่มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่และอัลกอริทึมธึมการค้นหาขั้นสูงนี่น่าทึ่งชะมัด… หลงเยว่หงชื่นชม ‘ความทรงจำ’ ของเกอนาวาเป็นอย่างมาก
แล้วในตอนนี้พนักงานหญิงที่รับผิดชอบเรื่องการต้อนรับของ ‘วีซ่าเทรดดิ้งคอมพานี’ ก็เดินกลับเข้ามา ร่างกายเธอสั่นเทาราวกับกำลังเผชิญอยู่กับศัตรูทางธรรมชาติตัวฉกาจ
“พ่อบ้านอูลล์ริชเชิญพวกคุณเข้าไปที่ห้องประชุมค่ะ”
พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าเดินไปตามคำแนะนำและได้พบห้องประชุมซึ่งมีโต๊ะยาวตัวหนึ่ง เก้าอี้สิบกว่าตัว และหน้าจอ LCD ที่ติดตั้งไว้
พนักงานหญิงที่รับผิดชอบเรื่องการต้อนรับเปิดหน้าจอ LCD หลังจากปรับตั้งค่าเสร็จเธอก็เดินออกจากห้องแล้วปิดประตูตามหลัง
จากนั้นเกอนาวาก็พูดขึ้น
“นี่เป็นผลิตภัณฑ์จาก ‘สวรรค์จักรกล’ ของพวกเรา…”
ทว่าเขายังพูดไม่จบก็เห็นซางเจี้ยนเย่ายกนิ้วชี้ขึ้นมาตั้งไว้ที่ปากแล้วออกเสียง “ชู่ววว”
เกอนาวาหยุดพูดไปในทันที
สองสามวินาทีต่อมา ผู้ชายหน้าตาจริงจังในวัยสี่สิบ สวมชุดสีดำและโบว์หูกระต่ายสีดำก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ LCD
เขาเป็นหนึ่งในพ่อบ้านของดิมาร์โก้ที่ชื่ออูลล์ริช
“มิสเตอร์พ่อบ้าน คุณอยู่ในบริษัทไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงต้องคุยผ่านจอกันแบบนี้ด้วยล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความขบขัน
อูลล์ริชตอบกลับอย่างใจเย็น
“เป็นเพราะพวกคุณมีผู้ตื่นรู้อยู่ด้วย และก่อนหน้านี้ก็ได้แสดงความก้าวร้าวรุนแรงออกมาให้เห็น”
ในตอนที่ซางเจี้ยนเย่าหยุดยั้งยามของดิมาร์โก้ในตอนนั้นเขาใช้ ‘พันธนาการมือ’
สำหรับความก้าวร้าวรุนแรง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการพูดถึงพฤติกรรมน่าหวาดเสียวของซางเจี้ยนเย่าที่ขว้างระเบิดมือนั่นเอง
เมื่อพูดถึงตรงนี้ อูลล์ริชก็ยกมือทั้งสองข้างขวางไว้ที่หน้าอกแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“ห่างกันไว้นั่นคือสหายที่ดี”