รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 297 “ผู้ช่วยชีวิต”
ตอนที่ 297 “ผู้ช่วยชีวิต”
เดิมทียามทั้งสองของ ‘นาวาบาดาล’ ที่สวมเครื่องแบบสีเขียวมะกอกคิดว่าอีกฝ่ายนั้นมีเพียงตัวคนเดียวกับปืนอีกหนึ่งกระบอก ขณะที่กำลังใคร่ครวญอยู่ว่าจะเดิมพันดีไหม ผลกลับกลายเป็นว่ารอบตัวกลับมีคนยืนอยู่ด้านบน เล็งปืนที่มีทั้งปืนสั้นและปืนยาวมายังพวกตน
หลังจากกวาดตามองหน้ากากหลายอันกับใบหน้าโลหะที่สวมแว่นกันแดดแล้ว ยามทั้งสองคนนี้ก็พร้อมใจกันชูมือขึ้นมาประสานไว้ที่ท้ายทอย ค่อยๆ นั่งยองลงไป
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี!
เจี่ยงไป๋เหมียนชำเลืองมองกระสอบบนพื้นแล้วเอ่ยถามด้วยภาษาแม่น้ำแดง
“ข้างในเป็นอะไร”
ยามทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นคนแดนธุลี อีกคนเป็นคนแม่น้ำแดง แต่ทั้งคู่ล้วนมีลักษณะของสายเลือดผสม
คนที่มีคิ้วหนาตาโต ใบหน้าเหลี่ยม รีบตอบออกมา
“เป็นศพคนตายสองศพ”
“ฝีมือดิมาร์โก้เหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเอ่ยถามพร้อมกับส่งสัญญาณให้ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงไปเปิดกระสอบ
ยามอีกคนที่เป็นชาวแม่น้ำแดงผงกศีรษะระรัว
“ใช่ ใช่ ทั้งหมดเป็นฝีมือมิสเตอร์ดิมาร์โก้ เอ่อ… เจ้าดิมาร์โก้น่ะ พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่นิดเดียว!”
เขามีผมดำหยักศก ใบหน้าท้วม มีกระขึ้นเต็มหน้า
“ดิมาร์โก้ฆ่าพวกเขาทำไม” ซางเจี้ยนเย่าสืบเท้าไปข้างหน้าสองก้าวแล้วเอ่ยปากถาม
ชายหน้าเหลี่ยมผู้นั้นลังเลก่อนจะพูดออกมา
“เป็นสาวใช้… กับคนรักของเธอ… แบบที่แต่งงานกันน่ะ เขาก็เป็นคนรับใช้เหมือนกัน
“ดิมาร์โก้เห็นเธอเข้า ก็อยากจะพาเธอขึ้นห้อง แต่เธอไม่ยินยอม พอขัดขืนเลยทำให้ดิมาร์โก้โกรธ ก็เลย… ถูกบีบคอจนตาย”
“หลังจากนั้นดิมาร์โก้รู้ว่าเธอมีคนรัก กลัวว่าตัวเองจะถูกล้างแค้น ก็เลย… ก็เลยให้ไปพาชายคนนั้นที่เป็นคนรับใช้มา แล้วใช้ปืนยิงตาย…”
ระหว่างที่ยามนาวาอธิบาย หลงเยว่หงกับไป๋เฉินก็เปิดปากกระสอบออก ทำให้ร่างท่อนบนของศพทั้งสองเผยออกมา
พวกเขาเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง อายุยังไม่มาก น่าจะยังไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ ใบหน้าหญิงสาวเป็นสีม่วง ดวงตาถลน ลำคอมีรอยที่เห็นได้อย่างชัดเจน ส่วนชายหนุ่มกะโหลกศีรษะเปิดออก หน้าอกโชกเลือด สีหน้าดุร้ายน่าเกลียดเหลือประมาณ
ในตอนนี้หลงเยว่หงไม่กล้ามองสบตาพวกเขาโดยตรง
เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมาแล้วถอนใจอย่างเงียบงัน
จากนั้นเธอก็ขยิบตาให้ซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่ามองดูยามนาวาทั้งสองคน แล้วแสดงรอยยิ้มอย่างอธิบายไม่ถูกภายใต้หน้ากากปากยื่นขนดก
“พวกคุณชื่ออะไร”
“อวี๋… อวี๋เทียน” ชายหน้าเหลี่ยมบอกชื่อตนเองด้วยภาษาแม่น้ำแดง
ยามที่มีใบหน้าท้วมเต็มไปด้วยรอยกระตอบ
“โปเต้”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปลี่ยนเป็นดำมืดในทันที
“พวกเรามาจากโบสถ์ตื่นตัว
“ยามกับคนรับใช้ใน ‘นาวาบาดาล’ นั้นวาสนามาถึงแล้ว
“ดังนั้น…”
อวี๋เทียนกับโปเต้ฟังแล้วรู้สึกงุนงง แต่แล้วก็กระจ่างขึ้นมาทันที เอ่ยปากถามด้วยความประหลาดใจ เบิกบานใจ และหวาดหวั่นใจ
“นิกายต้องการจะโค่นล้มดิมาร์โก้ใช่ไหม”
“พวกเราไม่ต้องอดทนกับความโหดเหี้ยมของเขาอีกแล้วใช่ไหม”
คนส่วนใหญ่ใน ‘นาวาบาดาล’ ล้วนเป็นสาวกของนิกายตื่นตัว เพียงแต่ไม่ได้เคร่งครัดในคำสอนมากนัก และเป็นเพราะกฎระเบียบในนาวาจึงไม่ได้สวมหน้ากาก
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ดิมาร์โก้และบรรพบุรุษของเขาจึงไม่อนุญาตให้คนรอบตัวสวมหน้ากาก อย่างเช่นมีคนลอบเข้าไปในนาวาโดยไม่ให้คนอื่นรู้ แล้วอาศัยหน้ากากปิดบังใบหน้าเพื่อเข้าไปในห้องของเจ้านายอย่างเปิดเผย
เกอนาวาไม่เข้าใจการถามแทนการตอบของยามทั้งสองเท่าไรนัก
ไม่ว่าเขาจะใช้อัลกอริธึมใดหรือใช้โมดูลใดก็ไม่อาจสรุปผลที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับสองประโยคที่ซางเจี้ยนเย่าพูดออกมาได้แม้แต่น้อย
ครั้นวิเคราะห์ต่ออีกเล็กน้อยเขาก็เชื่อว่านี่เป็นพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ชนิดหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงการรับรู้ของเป้าหมายโดยตรง
ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากปากยื่นขนดกพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว
“พวกเรามานี่เพื่อช่วยพวกคุณ
“พวกคุณอยากจะอยู่ภายใต้เงามืดของดิมาร์โก้ไปตลอดทั้งชีวิตหรือเปล่า ต้องใช้ชีวิตที่อาจจะตายได้ทุกขณะเพราะความโหดเหี้ยมและเกรี้ยวกราดของเขา”
อวี๋เทียนขบคิดแล้วตอบกลับ
“แต่ยามแทบไม่ถูกฆ่า…”
เขายังพูดไม่ทันจบประโยคก็หยุดไปชั่วขณะ เป็นเพราะหวนนึกถึงช่วงวันเวลาอันเลวร้ายที่ดิมาร์โก้บ้าคลั่งลุแก่อำนาจมากที่สุด
ในช่วงเวลานั้นพวกยามต่างก็ใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยใจระส่ำไม่เป็นสุข ผู้คนถูกฆ่าตายด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย
“วางใจเถอะ มีเราคอยหนุนหลังพวกคุณอยู่ ไม่ต้องกลัวว่าดิมาร์โก้จะลงมือตอบโต้อะไร” ซางเจี้ยนเย่าใช้คำพูดคล้ายใช่แต่ไม่ใช่[1] เพื่อเสริมความเข้มข้นของอิทธิพลจาก ‘ตัวตลกชักจูง’
ร่างโปเต้สั่นเทิ้มเล็กน้อย
“มีนิกาย… มีนิกายสนับสนุน พวกเรา… พวกเราไม่กลัวหรอก”
ตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งสวมหน้ากากหลวงจีนรูปงามเดินเข้ามาใกล้ พูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องกลัว เรื่องที่พวกคุณต้องทำมีแค่นิดเดียวเอง แล้วก็ไม่ได้อันตรายอะไรด้วย ถ้าเราทำพลาดก็จะยิงพวกคุณในบริเวณที่ไม่อันตรายสักสองสามนัด ทำให้พวกคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในตอนที่โดนสอบสวน
“แต่ถ้าเราชนะ ก็จะหาเจ้านายคนใหม่ให้นาวา เหอะ เหอะ ไม่ว่าพวกเราคนไหนก็ไม่อยากใช้ชีวิตแช่อยู่ใต้ดินนานๆ ทั้งนั้น แถมยังต้องมาปวดหัวคอยจัดการเรื่องวุ่นวายสารพัดเรื่องอีก”
เธอไม่ได้พูดถึงนิกายตื่นตัวแม้แต่น้อย ทว่าในทุกถ้อยคำทุกประโยคที่กล่าวออกมาล้วนทำให้อวี๋เทียนโปเต้รู้สึกว่าเทพี ‘ธชียมโลก’ สถิตอยู่เคียงข้างพวกเขา
ฟังคำพูดพวกนี้จบ อวี๋เทียนมองโปเต้ เขากัดฟันแล้วถอนหายใจ
“พวกเราทำอะไรได้บ้าง”
“ก่อนอื่นก็ช่วยเล่าสถานการณ์ภายในของนาวาให้พวกเราฟังหน่อยสิ เกี่ยวกับการตรวจตราและระบบแยกตัวเอกเทศ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแผนการที่วางไว้
โปเต้รีบพูดขึ้น
“พวกเราไม่ใช่ยามที่รับผิดชอบด้านการตรวจตรา ไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่…”
จากนั้นเขาก็อธิบายสิ่งที่ตนเองรู้ในรายละเอียด คือ…
ยามที่รับผิดชอบเรื่องการตรวจตรานั้นถูกคัดเลือกมาจากยามในแต่ละทีม มีการผลัดเวร พวกเขาจะไม่ถูกมอบหมายให้ออกมาฝังศพเด็ดขาด และไม่ถูกมอบหมายให้เฝ้าระวังป้องกันทางเข้าออกกับช่องระบายอากาศด้วย จะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ในห้องนอนของดิมาร์โก้เองก็ยังมีห้องตรวจตราเล็กๆ อยู่ด้วยเช่นกัน เวลาที่เขาว่างไม่มีอะไรทำก็ชอบมาเฝ้าดูหน้าจอ…
จากคำบอกเล่าของโปเต้กับอวี๋เทียน เกอนาวาได้วาดแผนผังใน ‘หัวสมอง’ รวมถึงตำแหน่งกล้องวงจรปิด ทางเดิน ห้องเครื่อง และสิ่งต่างๆ
เพียงพริบตาเขาก็เปิดแผ่นหน้าอกออกแล้วฉายภาพลงไปบนพื้น
“ต้องแก้จุดไหนบ้างไหม” เกอนาวาถามด้วยเสียงทุ้มนุ่มหูเจือเสียงสังเคราะห์เล็กน้อย
อวี๋เทียนกับโปเต้พากันตกตะลึง ผ่านไปสองสามวินาทีถึงจะได้สติกลับมา จากนั้นก็ตรวจสอบอย่างระมัดระวัง
“ไม่… ไม่ต้องแก้อะไร”
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ทอดถอนใจอยู่ในใจ
“เทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิต…”
นี่มันสะดวกชะมัด!
จนกระทั่งอวี๋เทียนกับโปเต้ยืนยันเรื่องแผนที่เสร็จ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามเพิ่มเติม
“พวกคุณสามารถติดต่อกับยามที่ทำหน้าที่ตรวจตราได้ไหม”
“ได้” อวี๋เทียนตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ซางเจี้ยนเย่าเข้าสู่ห้วงภวังค์ทันที
อย่าบอกนะว่าเจ้าหมอนี่กำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งอยู่น่ะ แต่ว่าก่อนหน้านี้ก็ยังไม่เคยมีวี่แววว่าพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ของเขาจะทำแบบนั้นได้นี่นา ถ้าทำได้จริงก็น่ากลัวเกินไปแล้ว… เจี่ยงไป๋เหมียนคาดเดาความคิดของซางเจี้ยนเย่า พลันรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
เธอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามคำถามจากวิธีคิดของตัวเอง
“พวกคุณพอจะมีโอกาสถามเกี่ยวกับเรื่องระบบพวกนั้นอย่างละเอียดบ้างไหม”
“พวกเขาปิดปากกันสนิทเลยล่ะ เพราะถ้าเกิดดิมาร์โก้รู้เรื่องเข้า มีหวังถูกเฆี่ยนจนตายแน่” โปเต้เอ่ยถึงความโหดเหี้ยมของดิมาร์โก้ขึ้นมาก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แต่ว่าในหลายปีให้หลังมานี้ นอกจากคนไม่กี่คนแล้ว คนที่เหลือเกือบทั้งหมดต่างก็ไม่พอใจกับความโหดเหี้ยมของเขาทั้งนั้น เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้พวกเราไม่มีนิกายให้การสนับสนุน อยู่กันอย่างโดดเดี่ยว ก็เลยไม่กล้าขัดขืน แต่ว่าตอนนี้… ตอนนี้ผมจะลองไปเกลี้ยกล่อมคนที่น่าจะคล้อยตามได้ง่ายที่สุดในหมู่พวกเขาดู จะได้เอาข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาให้”
เขามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อครู่อยู่ไม่น้อย เพราะเชื่อมั่นว่ามีนิกายตื่นตัวหนุนหลังอยู่ เป็นผู้แข็งแกร่งที่ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากผู้ครองกาล ‘ธชียมโลก’
นี่มัน… จากมุมมองบางด้านก็พอจะนับได้ว่านี่เป็น ‘ตัวตลกชักจูง’ ที่ถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้เหมือนกัน เพียงแค่ว่านี่ไม่ใช่อิทธิพลที่เกิดขึ้นจากพลังพิเศษ แต่เกิดจากความลึกล้ำของจิตใจมนุษย์… เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะถอนหายใจ โปเต้ก็ตั้งคำถามขึ้นมา
“แล้วหลังจากได้รับข้อมูลมาแล้ว จะแจ้งให้พวกคุณรู้ได้ยังไง”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“หลังจากพวกคุณกลับเข้าไปแล้ว พวกข้าวของต่างๆ จะถูกตรวจสอบหรือเปล่า”
“อืมอื้อ มีการตรวจสอบวัตถุระเบิด ตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตรวจกันเข้มงวดมาก” คำตอบของอวี๋เทียนทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนต้องพับแผนที่คิดไว้ไป
เกอนาวา หลงเยว่หง ไป๋เฉิน ต่างก็พยายามคิดหาวิธีการเพื่อส่งข้อมูล
เจี่ยงไป๋เหมียนเปลี่ยนคำถาม
“พวกคุณรู้ตารางเวรของตัวเองในช่วงสามวันหลังจากนี้หรือเปล่า”
“รู้สิ พวกเราสองคนอยู่กลุ่มเดียวกัน” อวี๋เทียนผงกศีรษะ “หลังจากวันนี้พวกเราต้องเข้าเวรที่จุดเข้าออกภูเหล็ก กับช่องระบายอากาศที่ใต้ดินชั้นสองของโบสถ์… ทุกๆ เจ็ดวันพวกเราจะได้พักหนึ่งวัน พอเริ่มงานอีกครั้งก็จะได้ตารางเวรของอีกหกวันถัดไป ถ้าไม่มีเรื่องผิดคาดก็จะเป็นไปตามนี้ ไม่เปลี่ยนแปลง เอ่อ… แต่พวกเราไม่รู้ว่าคนอื่นจะได้รับภารกิจอะไรกันน่ะ”
นั่นสินะ ถ้าต้องจัดเวรยามให้ทำหน้าที่แบบสุ่มทุกวัน ก็คงจะสับสนวุ่นวายกันน่าดู ถ้าไม่มีศูนย์ควบคุมอัจฉริยะที่เก่งมากๆ ก็คงไม่มีทางทำได้หรอก… เจี่ยงไป๋เหมียนฟังคำตอบของอวี๋เทียนโปเต้จนจบ ในใจก็บังเกิดแผนการใหม่ขึ้นมาอย่างเลือนลาง
“งั้นพวกคุณสองคนจะต้องไปเฝ้าที่ช่องระบายอากาศที่ใต้ดินชั้นสองของโบสถ์เมื่อไหร่” เธอถามต่อ
โปเต้ตอบอย่างไม่ลังเล
“มะรืนนี้ ตั้งแต่ห้าทุ่มจนถึงตีห้า”
เวลายังอยู่ในเงื่อนไข… เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ทราบว่าตนเองผิดหวังหรือโล่งใจกันแน่
“มีแค่พวกคุณสองคนเหรอ”
“ไม่ใช่ มีทั้งหมดสามชุด รวมเป็นหกคนน่ะ” โปเต้ตอบ
เจี่ยงไป๋เหมียนก้มมองดูแผนที่ซึ่งเกอนาวาฉายออกมา ตั้งใจตรวจสอบอย่างจริงจัง
“ช่องระบายอากาศแต่ละช่องจะมีกล้องวงจรปิดสามตัวงั้นเหรอ”
“ใช่” อวี๋เทียนอยากจะแย้งว่านี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่เขาเพิ่งจะย้ำไป แต่ก็ไม่กล้า
ในระหว่างที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังก้มหน้าก้มตาพิจารณาอยู่ ซางเจี้ยนเย่าก็หันหน้ามายิ้มให้เกอนาวา
“ทำไมไม่เข้าไปในนาวากันก่อนล่ะ จากนั้นก็วิเคราะห์เครือข่ายแล้วเจาะระบบจากข้างในกันเลย”
“ก็มีความเป็นไปได้อยู่นะ แต่มีความเสี่ยงที่จะถูกตรวจจับได้” เกอนาวาให้คำตอบอย่างมืออาชีพ
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“บางที… ลองดูหน่อยก็ได้”
แล้วเธอก็ถามรายละเอียดอย่างอื่นเพิ่มเติมอีกมากมายก่อนจะกำชับอวี๋เทียนและโปเต้ในบางเรื่อง หลังจากนั้นก็ปล่อยพวกเขาไป
ขณะที่มองดูทั้งสองคนเริ่มฝังศพ หลงเยว่หงก็เดินตามกลุ่มมา เอ่ยถามซางเจี้ยนเย่าด้วยความสงสัย
“ทำไมถึงไม่สร้างเพื่อนกับพวกเขาไปเลยล่ะ แทนที่จะทำให้เขาเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวตนและวัตถุประสงค์ของพวกเราแบบนี้”
การสร้างเพื่อนนั้นน่าเชื่อถือไว้วางใจได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด!
[1] คล้ายใช่แต่ไม่ใช่ (似是而非) เหมือนจะถูกต้องแต่ความจริงไม่ถูกต้อง