รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 298 โจมตีจิตใจได้ก็คว้าชัยได้
ตอนที่ 298 โจมตีจิตใจได้ก็คว้าชัยได้
ผู้ที่ตอบหลงเยว่หงนั้นไม่ใช่ซางเจี้ยนเย่า แต่เป็นเจี่ยงไป๋เหมียน
“ถึงแม้ในระยะสั้นจะเห็นได้ว่าการ ‘สร้างเพื่อน’ นั้นน่าเชื่อถือมากกว่า แต่อิทธิพล ‘ตัวตลกชักจูง’ ของซางเจี้ยนเย่าน่ะ ถ้าสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม แค่ไม่นานก็สิ้นฤทธิ์แล้วล่ะ
“นายลองคิดดูสิ คนส่วนใหญ่ใน ‘นาวาบาดาล’ ไม่มีทางช่วยอวี๋เทียนกับโปเต้จาก ‘เรื่อง’ ที่ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกับซางเจี้ยนเย่าแน่ แล้วทั้งคู่ก็จะรู้ตัวว่าถูกหลอกอย่างรวดเร็ว
“แต่การทำให้พวกเขาเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวตนของพวกเรา คิดว่าเราเป็นทูตจากนิกายตื่นตัว ต้องการจะช่วยพวกเขาล้มล้างการปกครองของดิมาร์โก้ซึ่งเป็นแรงปรารถนาจากภายในใจพวกเขาเอง แบบนั้นจะเป็นการใช้แรงจูงใจที่ซ่อนอยู่ในใจพวกเขามาคอยเติมพลังให้อิทธิพลจาก ‘ตัวตลกชักจูง’ อย่างต่อเนื่อง
“คนเรามักเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเลือกที่จะเชื่อ… และด้วยวิธีนี้เอง หลังจากพวกเขากลับไปแล้ว ต่อให้รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ยังจะหลอกตัวเองด้วยอิทธิพลจาก ‘ตัวตลกชักจูง’ ใช้ตัวเองสะกดจิตตัวเองต่อไปเรื่อยๆ และลงมือกระทำสิ่งต่างๆ อย่างกระตือรือร้นเพื่อช่วยเหลือเรา
“ถ้าหากว่าในด้านนี้สามารถทำออกมาได้เป็นอย่างดีล่ะก็ ถึงแม้จะไม่มีผลจาก ‘ตัวตลกชักจูง’ เหลืออยู่ พวกเขาก็ยังจะรวมตัวกันเพื่อต่อต้านดิมาร์โก้ เข้าหาคนอื่นอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ยิ่งทีกลุ่มก็ยิ่งโตขึ้นเหมือนกลิ้งก้อนหิมะ
“วัตถุประสงค์ที่ซางเจี้ยนเย่าใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ในครั้งนี้ก็เพื่อประหยัดเวลา ประหยัดพลังงาน และข้ามขั้นตอนยุ่งยากระหว่างทาง ทำให้พวกเราไม่ต้องคอยมานั่งคิดสรรหาประโยคปลุกใจที่ต้องเข้มข้นมากขึ้น ยั่วยุมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานเพื่อให้คำพูดมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น…”
เมื่อหลงเยว่หงตั้งใจฟังจนจบ ก็ค่อยๆ เข้าใจได้อย่างกระจ่าง
ความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นในหัวก็คือ
การใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ผสมผสานกับการยึดกุมจิตใจผู้คนนั้นเป็นสิ่งยอดเยี่ยมไร้ผู้ต่อต้าน…
จากนั้นก็บังเกิดความคิดที่สองติดตามมาทันที
โชคดีที่หัวหน้าไม่มีพลังพิเศษผู้ตื่นรู้
วินาทีถัดมา ความคิดที่สามก็ผุดวาบขึ้นในใจหลงเยว่หง
เดี๋ยวนะ… ก่อนหน้านี้ซางเจี้ยนเย่ากับหัวหน้าไม่เคยปรึกษากันเรื่องว่าจะจัดการยามกันยังไง จะสร้างเส้นสายภายในได้ยังไง ไม่ใช่เหรอเรอะ… เขาคิดถึงจุดนี้ขึ้นมาด้วยตัวเองก็เลยเลิก ‘สร้างเพื่อน’ แล้วเปลี่ยนมาใช้วิธีทำให้เข้าใจตัวตนผิดแทนอย่างนั้นเหรอ
ในขณะนี้หลงเยว่หงตระหนักรู้ขึ้นด้วยความเศร้าใจว่าสติปัญญาของซางเจี้ยนเย่านั้นเหนือกว่าตนเองมากนัก
อย่ามองแค่เพียงว่าโดยปกติเขาทำตัวเหมือนเป็นผู้ป่วยจิตเวช มีความคิดพิลึกพิลั่นสารพัดอย่างที่ทำให้ผู้คนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่พอถึงเวลาที่ต้องใช้สมองใช้หัวคิดอย่างจริงจัง กลับมีคนน้อยมากที่พอจะเทียบเคียงเขาได้… หมายถึงในบรรดาคนที่หลงเยว่หงรู้จักน่ะ
ด้วยสติปัญญาในระดับนี้ผนวกเข้ากับวิธีคิดแหกคอกของผู้ป่วยจิตเวช จึงยิ่งทำให้ยากจะคาดเดามากขึ้นไปอีก
แล้วหลงเยว่หงก็พลันนึกบางเรื่องขึ้นมาได้
นั่นก็คือซางเจี้ยนเย่าเคยพูดเอาไว้ว่าไม่จำเป็นต้องใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ใช้เพียงแค่สมองเท่านั้น ก็ทำให้ตนเองเข้าใจผิดได้
แบบนี้… นี่มัน… ก็อาจจะ… เป็นความจริงสินะ…
ครั้นเมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของเจี่ยงไป๋เหมียน โปรเซสเซอร์ประมวลผลของเกอนาวาก็ปรากฏเป็นฉากที่เกี่ยวข้องกันขึ้นมาคือ…
ก่อนหน้านี้เจี่ยงไป๋เหมียนพูดกับอวี๋เทียนและโปเต้ว่า ‘ไม่ต้องกลัว เรื่องที่พวกคุณต้องทำมีแค่นิดเดียวเอง แล้วก็ไม่ได้อันตรายอะไรด้วย…’
นั่นเป็นการปูพื้นเพื่อวางรากฐานให้เกิดการหลอกลวงตัวเองและสะกดจิตตัวเองเอาไว้ล่วงหน้าสินะ… ในที่สุดเกอนาวาก็เข้าใจกระจ่างถึงวัตถุประสงค์ของการใช้ถ้อยคำเช่นนั้น เขาใช้ดวงตาที่สวมแว่นกันแดดมองไปที่เจี่ยงไป๋เหมียนพร้อมกับเอ่ยถาม
“หรือว่าที่จริงแล้วคุณเองก็เป็นผู้ตื่นรู้ด้วย”
ทว่าก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะตอบ ซางเจี้ยนเย่าก็ผงกศีรษะพลางถอนหายใจ
“พลังพิเศษของเธอก็คือ ‘เล่นกับใจคน’ ‘กลอุบาย’ และ ‘ข่มขู่ผู้อื่น’ …”
เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือซ้ายขึ้นมาเพื่อหยุดการพูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระของซางเจี้ยนเย่า
“ฉันใช้สมองย่ะ!” เธอเน้นอย่างหนักแน่น
จากนั้นเธอก็ตอบคำถามของเกอนาวา
“ฉันไม่ใช่ผู้ตื่นรู้หรอก แต่มีการดัดแปลงพันธุกรรมน่ะ”
พูดมาถึงตรงนี้เธอก็บังเกิดแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมา จึงเอ่ยปากถามออกไป
“คุณพอจะรู้วิธีที่ทำให้คนกลายเป็นผู้ตื่นรู้หรือเปล่า”
เธอรู้สึกว่าน่าจะมีเบาะแสบางประการซุกซ่อนอยู่ในฐานข้อมูลขนาดมหาศาลของ ‘สวรรค์จักรกล’
ประโยคนี้ดึงดูดความสนใจของไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่เช่นกัน
เกอนาวาส่ายหน้า
“พวกเราไม่จำเป็นต้องตื่นรู้ และไม่มีวิธีการตื่นรู้ แม้แต่ ‘ซอร์สเบรน’ เองก็ไม่ได้ศึกษาในด้านนี้เช่นกัน
“การวิเคราะห์ข้อมูลในเครือข่ายภายในของพวกเราแสดงให้เห็นว่าจำนวนและสัดส่วนผู้ตื่นรู้ของนิกายต่างๆ บนแดนธุลีนั้นสูงกว่ากองกำลังอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ กองกำลังใหญ่อย่าง ‘ปฐมนคร’ เองก็มีจำนวนผู้ตื่นรู้สูงกว่ากองกำลังโดยทั่วไปอยู่มาก ซึ่งปรากฏการณ์อย่างหลังนั้นมีสาเหตุหลักๆ มาจากเรื่องที่ว่ากองกำลังขนาดใหญ่จะดึงดูดผู้ตื่นรู้มากกว่า แต่ก็ยังตัดความเป็นไปได้เรื่องที่พวกเขาสร้างผู้ตื่นรู้ขึ้นมาทิ้งไปไม่ได้เช่นกัน…”
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังอย่างเงียบๆ จนจบแล้วถอนหายใจ
“พวกเราออกจากทาร์นันมาอย่างกระทันหัน ก็เลยไม่ได้ไปเข้าร่วมพิธีบัพติศมาของ ‘นิกายเตาหลอม’ เลย…”
แม้เธอจะรู้ว่าการตื่นรู้จากพิธีบัพติศมานั้นมีความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำมาก แถมตัวเองก็ยังเป็น ‘สาวก’ ประเภทที่ไร้ซึ่งความศรัทธา จึงยิ่งทำให้ความหวังนั้นเบาบางลงไปอีก แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ถึงกับศูนย์โดยสิ้นเชิง
เมื่อซางเจี้ยนเย่าได้ยินก็ทอดถอนใจยาว
“อดกินเมนูเชือดหมูด้วย”
นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้สมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทุกคนรู้สึกปวดใจเป็นอย่างยิ่ง ยกเว้นเกอนาวาเพียงผู้เดียว
หลังจากเงียบงันกันไปสองสามวินาที หลงเยว่หงก็เอ่ยถามขึ้นมา
“พวกเราจะเอาไงกันต่อดี”
“ไปที่เกาะกลางทะเลสาบกันอีกที ดูว่าพอจะหาของดีๆ อะไรกลับมาได้บ้างไหม จะได้เพิ่มความน่าจะเป็นของความสำเร็จในปฏิบัติการและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างยิ้มแย้ม “ตอนนี้พวกเรามีเกอนาวาแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าพยัคฆ์ยมราชจะรุกล้ำเข้ามาในโลกแห่งจิตวิญญาณอีก”
* * * * *
วันรุ่งขึ้น ณ สำนักงานรักษาความสงบสาธารณะ ชุมชนศิลาแดง
‘ทีมสำรวจเก่า’ มาพบกับถานเจี๋ย นายอำเภอและหัวหน้ายามเมืองคนปัจจุบัน
เขาสูง 168 เซนติเมตร ใบหน้าราวกับเด็กน้อย ผิวกร้านแดดกร้านฝน
“พวกคุณต้องการยืมเรือเร็วไปเกาะกลางทะเลสาบงั้นเหรอ” ถานเจี๋ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบประหนึ่งเป็นการถามไถ่ว่าเมื่อเช้ากินอะไรมา
“แล้วก็จักรยานอีกสามคัน” ซางเจี้ยนเย่าพูดเสริม
ถานเจี๋ยเหลือบมองแพทย์นิติเวชแวร์ตูร์ที่กำลังชื่นชมรูปร่างอันงดงามของสาวๆ แล้วพูดออกมาตามตรง
“ใต้เท้านักบุญซีคมุนท์ห้ามพวกเราเข้าใกล้เกาะกลางทะเลสาบทุกรูปแบบ”
“เขาห้ามเฉพาะพวกคุณนี่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราซะหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนที่สวมหน้ากากหลวงจีนรูปงามยิ้มให้ “พวกเราไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งเขา เอ่อ… สำหรับพวกคุณ มันก็เป็นแค่เรื่องที่สหายมาขอยืมเรือเร็วกับจักรยานเท่านั้นเอง เรื่องแบบนี้ไม่ใช่การทำผิดอะไรสักหน่อย”
ถานเจี๋ยไม่ได้หวั่นไหวไปกับคำพูดเช่นนี้ ใช้สีหน้าไร้อารมณ์มองดูกลุ่ม ‘ทีมสำรวจเก่า’
“การเล่นลิ้นเลี่ยงบาลีไม่ใช่นิสัยที่ควรทำ”
โอ้… ทำไมฉันรู้สึกเหมือนถูกยั่วยุอยู่ล่ะเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนคิดแผนไว้แล้ว จึงเอ่ยอย่างใจเย็น
“ใต้เท้านักบุญซิซีกคมุนด์ท์คนนั้นห้ามพวกคุณได้ แต่ห้ามมนุษย์มัจฉาไม่ได้ใช่ไหมล่ะ
“ไม่แน่ว่าพอผ่านไปอีกระยะหนึ่ง พวกมนุษย์มัจฉาอาจจะขึ้นไปบนเกาะกลางทะเลสาบอีกครั้งก็ได้ แบบว่าไปค้นหาข้าวของอะไรบางอย่าง แล้วก็สร้างผู้นำสารคนใหม่ขึ้นมาอีก
“วางใจเถอะน่า พวกเราไม่ได้จะไปทำลายเกาะเสียหน่อย พวกเราน่ะให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเองมากๆ อย่างมากสุดก็เพียงแค่เอาของที่เราต้องการบางอย่างติดไม้ติดมือมาด้วยเท่านั้นเอง แถมนี่ยังเป็นการช่วยพวกคุณขจัยภัยซ่อนเร้นไปในตัวด้วย อย่างน้อยก็ไม่ให้มันตกไปอยู่ในมือมนุษย์มัจฉาไง”
ถานเจี๋ยรับฟังจนจบโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน แล้วหันหน้าไปใช้ภาษาแม่น้ำแดงพูดกับแวร์ตูร์
“พวกเขาอยากจะยืมเรือไปจับปลาในทะเลสาบพิโรธ ผมไม่มีอะไรคัดค้าน”
“ผมก็ไม่มีเหมือนกัน” แวร์ตูร์คลี่ยิ้ม
* * * * *
ณ เกาะกลางทะเลสาบ ทะเลสาบพิโรธ
เมื่อเทียบกับครั้งก่อนแล้ว การเดินทางของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ในรอบนี้ราบรื่นกว่ามาก ดูเหมือนว่าพวกมนุษย์มัจฉาจะเลิกเฝ้าเกาะไปแล้ว
“ครั้งนี้พวกนายก็เฝ้าเรือเหมือนเดิมนะ เจ้านี่นี้มันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพวกเรา ถ้าถูกคนอื่นฉกไปหรือถูกทำลายไป พวกเราก็ถูกขังติดแหงกอยู่บนเกาะไปไหนไม่ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดกับไป๋เฉินและหลงเยว่หงที่สวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารเรียบร้อยแล้ว
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงตอบเสียงดังฟังชัด ส่วนไป๋เฉินตอบรับว่า “ตกลง”
หลังจากอธิบายเรื่องที่ควรใส่ใจจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หมุนตัวไปทางซางเจี้ยนเย่ากับเกอนาวา
“ไปกันเถอะ”
เธอติดอาวุธครบมือแล้วพลิกร่างขึ้นไปบนรถจักรยาน ซางเจี้ยนเย่าไม่ยอมอยู่ล้าหลังรั้งท้าย
เกอนาวามองจักรยานที่จอดอยู่ด้านหน้า หัวเราะด้วยเสียงสังเคราะห์
“ผมอยากลองใช้พาหนะเดินทางแบบนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ”
‘ทีมสำรวจเก่า’ ขอยืมรถจักรยานจากถานเจี๋ยมาทั้งหมดสามคันเพราะเกอนาวาร้องขอ
ความคิดเริ่มแรกของเจี่ยงไป๋เหมียนก็คือตนเองกับซางเจี้ยนเย่าขี่จักรยาน แล้วให้เกอนาวาวิ่งเหยาะๆ ตามไป เพราะถึงอย่างไรเขาก็เหนื่อยไม่เป็น และการเดินทางด้วยความเร็วเพียงเท่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาเสียพลังงานไปมากสักเท่าไร
เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นเมื่อเกอนาวาขึ้นไปนั่ง รถจักรยานส่งเสียงลั่นเหมือนประท้วงว่าบรรทุกน้ำหนักไม่ไหว จนทำให้คนที่ได้ยินเกิดภาพหลอนว่ามันพร้อมจะพังได้ทุกขณะ
เจี่ยงไป๋เหมียนชำเลืองมองรถจักรยานใต้ร่างเกอนาวา ใช้เวลาประเมินอยู่สองสามวินาที
“ไปกันเถอะ”
ในตอนนี้เธอมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น คือ…
จักรยานคันนี้คุณภาพสุดยอด!
ตลอดทางนั้นไร้เรื่องราวใดๆ รถจักรยานทั้งสามคันใช้ถนนเลียบทะเลสาบ เดินทางมาจนถึงย่านชุมชนของโลกเก่าที่มีกำแพงสีขาวปูด้วยกระเบื้องสีดำ
“จำเรื่องที่ต้องใส่ใจได้ใช่ไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนหยุดรถจักรยานเอ่ยถามซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับอย่างกระชับและครอบคลุม
“สิบห้านาที ครึ่งชั่วโมง สามวัน”
นี่หมายความว่าไม่อาจอยู่ในวิหารนานกว่าสิบห้านาที ไม่อาจอยู่ในบริเวณวิหารได้นานกว่าครึ่งชั่วโมง และไม่อาจอยู่บนเกาะได้เกินสามวัน
“แต่ละอย่างลดไปอีกสิบเปอร์เซ็นต์” เจี่ยงไป๋เหมียนย้ำหนักแน่น
พูดจบเธอก็หันไปมองเกอนาวา
“ถ้าพวกเรามีอาการผิดปกติขึ้นมา คุณก็จัดการทำให้พวกเราสลบแล้วพาตัวกลับไป และออกจากเกาะทันที”
“ไม่มีปัญหา” เกอนาวารับคำอย่างจริงจัง
ไม่นานนักพวกเขาก็ข้ามถนนผ่านตรอกซอกซอยมาถึงจุดหมาย มองเห็นวิหารสีดำแขวนโคมกระดาษสีขาวไว้สองฝั่ง
“วิหารยมราช” เกอนาวาซึ่งจอดจักรยานเสร็จ อ่านป้ายชื่อสถานที่เสียงดัง
เจี่ยงไป๋เหมียนที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดฝันว่าตัวเองยังจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งเหลือบมองดูแล้วยื่นมือซ้ายที่สวมถุงมือยางไว้ ค่อยๆ ผลักเปิดบานประตูสีดำอย่างแผ่วเบา
ความเงียบงันและหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูกบังเกิดขึ้นในใจเธออีกครั้ง
เมื่อเดินผ่านลานกลางบ้านที่มีโอ่งใส่น้ำ และยกผ้าม่านสีขาวขึ้นแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า เกอนาวา ก็เดินอ้อมโต๊ะบูชามาหยุดอยู่ด้านข้างโลงศพสีดำสนิท
ฝาโลงเลื่อนไปอยู่ด้านข้าง เผยให้เห็นถึงร่างของ ‘เทพที่หลับใหล’ ที่มีผมยาวสีดำสวมเสื้อป่านสีขาว
“ไร้มารยาทจริงๆ” ซางเจี้ยนเย่าส่งเสียงประณามออกมา
ก่อนที่เขาจะจากไปในตอนนั้นได้ช่วยพยัคฆ์ยมราชปิดฝาโลงไว้แล้ว
สถานการณ์ที่เห็นต่อหน้าในขณะนี้ ชัดเจนว่าเป็นฝีมือของซิกมุนด์ซีคมุนท์ ‘มุขนายกแห่งความหวาดหวั่น’ จากนิกายตื่นตัว
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ใส่ใจประโยคนี้ เธอทอดสายตาไปยังข้อมือขวาของ ‘ศพ’ ซูบผอม
กำไลกิ่งไม้สานได้อันตรธานไปแล้ว
“อย่างที่คิดเลย…” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจแล้วหันไปพูดกับเกอนาวา “คุณช่วยค้นร่างเขาหน่อย”
นี่เป็นสิ่งที่เธอกับซางเจี้ยนเย่าไม่อาจลงมือทำได้เอง ส่วนเกอนาวานั้น ว่ากันตามทฤษฎีแล้วเขาจะไม่ได้รับผลกระทบอันใด
เกอนาวาไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย เขาก้าวขึ้นหน้าไปสองก้าว เหยียดฝ่ามือสีดำเงินที่สะท้อนประกายโลหะแวววาวเอื้อมไปที่ ‘ศพ’ ซึ่งแห้งเหี่ยวมาเนิ่นนานหลายปี