รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 3 ตลาด
หลังจากที่หมอหลินวงกลมเสร็จก็ยกปากกาขึ้นมองดูซางเจี้ยนเย่า แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ฟังดูแล้วเหมือนว่าเป็นคำขวัญของ ‘กองทัพกู้โลก’[1] ใช่ไหม”
ซางเจี้ยนเย่ารับคำ “ครับ” แล้วเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณหมอหลิน ผมว่าคุณหมอกำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการของผมนิดหน่อยนะครับ ไปมองว่าเรื่องปกตินั้นเป็นหลักฐานของอาการป่วย”
หมอหลินยืดตัวตรง รอยยิ้มประดับบนใบหน้าขาวสะอาด
“แล้วคุณรู้สึกว่ามีตรงไหนที่หมอเข้าใจผิดเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าเงียบไปสองสามวินาทีเหมือนกับว่ากำลังเรียบเรียงคำพูด
“หมอไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกอันบริสุทธิ์และสูงส่ง ไม่เข้าใจว่าอะไรคือผู้ที่พ้นแล้วจากการฝักใฝ่ในสิ่งหยาบกร้าน”
หมอหลินเม้มริมฝีปากแน่น ราวกับกำลังพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดชีวิต
เธอดันแว่นตากรอบทองเลื่อนขึ้นบนดั้งจมูก สูดหายใจเข้าเบาๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนออกมา
“ก็จริงนะ ในยุคสมัยนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับนักอุดมคติหรอก ขนาด ‘กองทัพกู้โลก’ เองยังล่มสลายไปแล้วเลย”
หมอสาวหยุดนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ
“หมอพยายามจะเข้าใจคุณนะ แต่คุณต้องเล่าให้ฟังว่าคุณมีความคิดแบบนี้ได้ยังไง มีอะไรเป็นแรงกระตุ้น”
“ไม่มีครับ ผมเชื่อของผมแบบนี้” ซางเจี้ยนเย่าถอนใจแล้วยิ้ม “คุณหมอหลิน คุณหมอเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและงดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา ผมมีอะไรจะบอกหมอครับ”
หมอหลินเลิกคิ้วเล็กน้อย
“แต่ว่าหมอมี…”
ก่อนที่หมอหลินจะพูดจบประโยค ซางเจี้ยนเย่าพูดต่อ
“เดิมทีผมอยากให้คุณหมอเป็นแม่พระ[2] แต่ตอนนี้ผมตระหนักแล้วว่าความคิดของเราทั้งคู่ต่างกันคนละโลกอย่างสิ้นเชิง น่าเสียดายจริงๆ”
“แค่ก แค่ก แค่ก” คุณหมอหลินถึงกับสำลักน้ำลาย
เธอยกแก้วกระเบื้องเคลือบข้างตัวขึ้นมาดื่มสองอึกแล้วหาเรื่องพูดพึมพำไปเรื่อยเปื่อย
“เฮ้อ ใบชาที่ได้รับจัดสรรมาของเดือนนี้หมดซะแล้ว”
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าพูดต่อ เธอลดเสียงแล้วถามด้วยท่าทีลึกลับ
“ช่วงนี้คุณได้ยินเสียงอะไรที่คนอื่นไม่ได้ยินบ้างไหม”
ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้ายืนยัน “ไม่มีครับ”
หมอหลินสำรวจทีท่าของซางเจี้ยนเย่าสองสามวินาทีก่อนจะถามเรื่องอื่นต่อ
เวลาผ่านไปสิบนาทีก็มีเสียงไพเราะอ่อนหวานของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกันทุกชั้น
“นี่คือประกาศแจ้งเวลา
“ขณะนี้เป็นเวลา 18 นาฬิกา”
“ประกาศแจ้งเวลาแล้ว” หลังจากเสียงประกาศดังซ้ำสามครั้งแล้วหยุดลง หมอหลินนวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “วันนี้พอแค่นี้ก่อนละกัน”
หมอหลินคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้น
“ในเมื่อคุณไม่มีปัญหาเรื่องการนอน แล้วก็ไม่ได้เห็นอะไรที่คนอื่นมองไม่เห็น งั้นหมอก็ไม่ต้องจ่ายยาให้คุณ ไว้ค่อยมาดูอาการอีกครั้งสัปดาห์หน้าเวลาเดิมแล้วกันนะ”
“ครับ คุณหมอหลิน” ซางเจี้ยนเย่ายืนขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู
หลังจากเปิดประตูแล้วเขาก็หันกลับมาพูด
“ขอบคุณนะครับ คุณหมอหลิน”
หมอหลินตอบรับด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีค่ะ”
รอจนกระทั่งซางเจี้ยนเย่าออกจากห้องและค่อยๆ ปิดประตูไปแล้ว หมอหลินถอนใจ พึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม
“มารยาทดีจริงๆ”
ขณะถอนหายใจก็หยิบแฟ้มบนโต๊ะขึ้นมาพลิกดูบันทึกประวัติคนไข้
“ชื่อ : ซางเจี้ยนเย่า อายุ : 21 ปี วันเกิด : 8 กันยายน น.ศ. 25[3]
“สถานะครอบครัว : บิดาชื่อ ซางซื่ออาน พนักงานระดับ D7 หายสาบสูญไปพร้อมกับ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เมื่อ น.ศ. 37, มารดาชื่อ จางหรูซิน พนักงานทั่วไประดับ D3 ครูสอนชั้นประถม เสียชีวิตเมื่อเดือนตุลาคม น.ศ. 40 สาเหตุอาการป่วยคาดว่าเป็นเพราะความโศกเศร้าเกินขนาด – เดือนตุลาคม น.ศ. 40 ถึงเดือนกันยายน น.ศ. 43 ซางเจี้ยนเย่าเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ชั้น 495 แล้วสอบเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ภาควิชาอิเล็กทรอนิกส์
“รายละเอียดสถานการณ์ : เดือนพฤษภาคม น.ศ. 46 ซางเจี้ยนเย่าสมัครเป็นอาสาสมัครในการทดลองที่เป็นความลับ และเข้าร่วมโครงการ ‘C-14’ ด้วยเหตุผลว่าเขาปรารถนาจะได้รับพลังที่แข็งแกร่งเพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับการหายสาบสูญของบิดา
“ผลการทดลอง : ล้มเหลว ไม่พบความเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
“ภาวะแทรกซ้อน : ความสับสนเชิงตรรกะเป็นครั้งคราวซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะกระโดดทางความคิด ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่น
“ข้อมูลเพิ่มเติม : ผลทดสอบทางพันธุกรรมเป็นปกติ
“ผลประเมินโดยรวม : ความผิดปกติทางจิตระดับปานกลาง (คาดว่าเป็นอาการประสาทหลอน รอสังเกตอาการเพิ่มเติม) …”
หมอหลินอ่านเอกสารอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนบันทึกลงไปว่า
“ผลการติดตามอาการวันที่ 10 กรกฎาคม น.ศ. 46 : อาการยังทรงตัว ไม่ดีขึ้นแต่ไม่แย่ลง ไม่มีแนวโน้มการใช้ความรุนแรงหรือสัญญาณความก้าวร้าว พิจารณาได้ว่าไม่เป็นภัยชั่วคราว”
* * * * *
หกโมงเย็นเป็นเวลาเลิกงาน นอกจากโครงการเฉพาะที่ต้องทำงานล่วงเวลาและงานที่ต้องทำตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว พนักงานทุกคนจะออกจากพื้นที่ ‘เขตการจัดการ’ ชั้น 5, ‘เขตค้นคว้าวิจัย’ ชั้น 6 – 45, ‘เขตโรงงาน’ (และเขตซ่อมบำรุง) ชั้น 46 – 145, ‘เขตนิเวศน์ภายใน’ ชั้น 146 – 345 แล้วกลับไปยัง ‘เขตพักอาศัย’ ชั้น 300
เนื่องจากจำนวนโควต้าพลังงานที่จัดสรรให้นั้นมีจำนวนจำกัด อีกทั้งสามีภรรยารวมไปถึงผู้สูงอายุที่พักอาศัยในบ้านอาจจะยังทำงานอยู่ในที่ทำงาน พนักงานหลายคนจึงเลือกที่จะไปกินอาหารที่ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ที่มีอยู่ในแต่ละชั้นแทน
สถานที่นี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกนั้นจำหน่ายผลผลิตที่มาจาก ‘เขตนิเวศน์ภายใน’ มีพวกมันเทศ มันฝรั่ง ข้าวสาร แป้ง เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ และที่มาจาก ‘เขตโรงงาน’ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จำพวกเสื้อผ้า น้ำตาล เกลือ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ
พื้นที่อีกส่วนหนึ่งไว้สำหรับจำหน่ายอาหารที่ปรุงสำเร็จแล้วทุกชนิด ซึ่งทุกคนมักเรียกกันอย่างคุ้นเคยว่า ‘โรงอาหารพนักงาน’
ค่าใช้จ่ายสำหรับการกินอาหารที่โรงอาหารนั้นสูงกว่าทำกินเองที่บ้าน รสชาติก็ใช่ว่าจะดีสักเท่าไหร่ แต่ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเมื่อต้องคำนึงถึงปริมาณโควต้าพลังงานซึ่งทุกคนค่อนข้างมีอย่างจำกัดจำเขี่ย รวมถึงความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียหลังจากทำงานมาตลอดทั้งวัน
นี่เป็นแนวคิดที่ถูกนำเสนอขึ้นโดยผู้บริหารระดับสูงของบริษัท โดยหวังจะลดปริมาณการใช้พลังงานด้วยการให้พนักงานมากินอาหารรวมกัน
ตอนที่ซางเจี้ยนเย่ากลับไปถึงชั้น 495 ยังคงมีเวลาอีกราว 20 นาทีก่อนที่โรงอาหารจะเปิดในเวลา 18.30 น. เนื่องจากบางงานจำเป็นต้องให้พนักงานทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ หรือจัดการสิ่งจำเป็นอื่นๆ หลังเลิกงาน ดังนั้นเพื่อความยุติธรรม ทางคณะกรรมการบริหารจึงได้กำหนดให้โรงอาหารเปิดหลังจากเลิกงานแล้วครึ่งชั่วโมง
สำหรับบรรดาพนักงานที่กลับไปยังชั้นของตนก่อนเวลา 18.15 น. ‘ศูนย์กิจกรรม’ ที่อยู่ถัดจาก ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ คือสถานที่ที่เหมาะที่สุดที่จะใช้ฆ่าเวลาในช่วงนี้ พวกเขาจะมารวมตัวกันเพื่อพูดคุยสนทนาเรื่องชีวิตประจำวัน เรื่องงาน และเรื่องอื่นอีกสารพัดภายใต้แสงไฟ นี่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าการดิ้นรนขวนขวายอยู่โลกภายนอก
พนักงานบางคนใช้เวลานี้เพื่อขายของที่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วเพื่อแลกเปลี่ยนกับแต้มส่วนร่วม ดังนั้นทุกเย็นในช่วงเวลา 18.00 – 18.30 น. และ 19.00 – 20.30 น. ในห้องโถงของ ‘ศูนย์กิจกรรม’ จะมีแผงลอยวางกันเกลื่อนกลาดเป็นตลาดขนาดย่อม
เมื่อซางเจี้ยนเย่าเดินเข้ามาก็เห็นเฉินเสียนอวี่ผู้รับผิดชอบศูนย์กิจกรรมชั้นนี้กำลังนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเป็นครั้งคราว เบื้องหน้ามีกองวัตถุหน้าตาประหลาดวางเรียงราย
“นี่คืออะไรครับ” ซางเจี้ยนเย่านั่งยองลงแล้วหยิบวัตถุโลหะทรงสี่เหลี่ยมที่มีกรอบโลหะและมีหน้าจอแสดงผลสีดำ
“ใครจะไปรู้ล่ะ มันแข็งดีนะ เอาไว้อัดหน้าคนหรือใช้กันกระสุนก็ยังได้” ปู่เฉินจิ้มหน้าอกตัวเอง
“ได้มาจากไหนเหรอครับ” ซางเจี้ยนเย่าถามขึ้นพลางพลิกสำรวจดู
เฉินเสียนอวี่กระแอมก่อนพูดขึ้น
“จากสหายรบของเจ้าลูกชายคนเล็กน่ะ ตอนนี้เขาทำงานอยู่ที่ ‘แผนกความมั่นคง’ เพิ่งกลับมาจากซากเมืองของโลกเก่า เฮ้อ เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก ฉันเห็นเขาเกิดมาดูโลก แล้วก็ดูเขาเติบโตขึ้นมา…”
หลังจากรำลึกความหลังอยู่พักหนึ่ง ปู่เฉินยิ้มพลางพูดต่อ
“ถึงยังไงเจ้าหน้าจอนี่ก็ผ่านการคัดกรองแล้ว บริษัทไม่ได้ใช้อะไร เขาเลยไม่ต้องส่งไป ดังนั้นเขาเลยเอามาฝากให้ปู่คนนี้ช่วยขายให้ เธอก็รู้ว่าฉันไม่จำเป็นต้องไปที่โรงอาหาร ยังไงก็มีคนช่วยเก็บไว้ให้อยู่แล้ว”
เขามีพนักงานในความดูแลอยู่หลายคน
ซางเจี้ยนเย่ามองดูหน้าจอแสดงผลสีดำที่มีรอยแตกร้าวเป็นใยแมงมุม คิดซักพักก่อนถามขึ้น
“ราคากี่แต้มส่วนร่วมเหรอครับ”
“ไม่แพง ไม่แพง แค่ 500 แต้ม” เฉินเสียนอวี่เสนอราคา
ซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ วางของลงแล้วพูดพึมพำ
“เนื้อตั้ง 10 จิน[4]”
พอพูดคำว่าเนื้อ ทั้งเขาและเฉินเสียนอวี่ต่างกลืนน้ำลายพร้อมกัน
ซางเจี้ยนเย่ากวาดตามอง แล้วหยิบของอย่างอื่นขึ้นมา
“นาฬิกาข้อมือเหรอครับ”
“ใช่แล้ว นาฬิกาข้อมือ ข้างในเป็นโครงสร้างกลไกซับซ้อน ตอนนี้ก็ยังใช้งานได้อยู่ เพียงแต่ว่าต้องปรับแต่งนิดหน่อย” เฉินเสียนอวี่ดวงตาเป็นประกายวาว “คิดว่าไงล่ะ สนใจซื้อไหม เข็มกับขีดบอกเวลาเป็นพรายน้ำเรืองแสงในที่มืดด้วยนะ ไม่ต้องเปิดไฟฉายเพื่อส่องดูเวลา ผู้เฒ่าคนนี้จะบอกให้นะ ในบริษัทนี้คนที่มีนาฬิกาดีๆ มีไม่เกิน 100 คนหรอก ถ้าเธอมี ก็ไม่จำเป็นต้องรอวิทยุกระจายเสียงเทียบเวลาหรือเดินมาดูนาฬิกาแขวนที่นี่ เธอจะเป็นคนที่น่าอิจฉาสำหรับคนทั้งชั้น ไม่แน่ว่าอาจจะมีสาวๆ มาสนใจ…”
นาฬิกาข้อมือในมือซางเจี้ยนเย่า สายนาฬิกาสีเงินมีรอยแตกหลายแห่งและมีสนิมเกาะ บนหน้าปัดสีเขียวมรกต เข็มวินาทีเดินขยับ เศษแก้วแตกอยู่ทั่ว
“เท่าไหร่ครับ” ซางเจี้ยนเย่าถามนิ่งสงบ
เฉินเสียนอวี่เงียบไปชั่วขณะก่อนเปิดปากตอบ
“หกหมื่น”
ซางเจี้ยนเย่ารีบวางนาฬิกาลงทันทีราวกับว่ามันร้อนลวกมือ
ด้วยเงินเดือนของพนักงานระดับ D1 จำนวน 1,800 แต้มส่วนร่วมต่อเดือน ต้องใช้เวลาเกือบสามปีโดยไม่ดื่มไม่กินถึงจะสามารถออมได้
เฉินเสียนอวี่ไม่ได้คิดว่าซางเจี้ยนเย่าจะซื้อหรอก เพียงแค่ต้องการล้อชายหนุ่มเล่นเท่านั้น เขาชี้ไปที่กองกระป๋องโลหะทรงกระบอกที่กองอยู่ตรงกลางแล้วพูดต่อ
“สนใจนี่ไหม
“ของดีนะ อาหารกระป๋องทหาร![5]”
ซางเจี้ยนเย่าหยิบขึ้นมาดู ห่อพลาสติกนั้นขาดหมดแล้ว ฉลากเลือนลางจนอ่านไม่ออก เห็นเพียงคำว่า ‘เนื้อวัวตุ๋น’ กับ ‘500 กรัม’ ที่ยังพอดูรู้เรื่องอยู่บ้าง
“ว่าไง หนักไหม นี่แปลว่ามีของดีอัดไว้แน่นไงล่ะ!” เฉินเสียนอวี่พูดน้ำลายกระเด็น “ปู่คนนี้บอกเลยนะ อาหารกระป๋องทหารนี่อร่อยสุดๆ อร่อยจนทำเอาฉันลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต ดีกว่าอาหารแห้งกระป๋องของกองทัพกู้โลกตั้งเยอะ!
“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าสหายรบของเจ้าลูกชายขุดออกมาได้เป็นลังละก็ เธอคงไม่มีโอกาสได้กินหรอก ราคาแค่กระป๋องละ 60 แต้ม ถูกมากใช่ไหมล่ะ ต่อให้ไปซื้อเนื้อหมูสดที่ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ราคาก็ยังตั้ง 50 แต้ม แล้วก็ยังไม่ได้ปรุงมาด้วย ถ้าไม่มีใครช่วยทำให้เธอกิน ถึงซื้อไปก็กินไม่ได้! นอกจากนี้นะ อะแฮ่ม กินหมดแล้วกระป๋องยังเอาไปขายแลกแต้มที่ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ได้อีกด้วย เป็นไง คุ้มค่าไหมล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่ามองชายสูงวัย รอเขาพูดจบก็ถามขึ้น
“หมดอายุไปนานแค่ไหนแล้วเหรอครับ”
“หมดอายุเหรอ ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ฉันไม่รู้วิธีแปลงปีปฏิทินของโลกเก่าซักหน่อย” ผู้เฒ่าเฉินเบิกตาโพลง “นวศักราชเพิ่งจะปีที่ 46 เอง กินได้อยู่แล้วแหละน่า”
ขณะพูด เขาก็ย้อนรำลึกความหลัง
“ตอนที่ฉันยังอยู่ ‘แผนกความมั่นคง’ มีครั้งหนึ่งออกไปปฏิบัติภารกิจแล้วเสียเสบียงไป เกือบอดตาย แต่โชคยังดีที่ไปเจอโกดังทหารเข้าแล้วก็เจออาหารกระป๋องอะไรแบบนี้ ในตอนนั้นใครจะไปรู้ว่ามันหมดอายุไปนานกี่มากน้อยแล้ว แต่ฉันก็ยังกินเข้าไป รสชาติมันช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
* * * * *
[1] กองทัพกู้โลก (救世军) แปลตามตัวอักษรว่ากองทัพช่วยโลก ซึ่งชื่อนี้เป็นองค์กรที่มีอยู่จริง ชื่อว่า ‘The Salvation Army’ (เดอะซาลเวชันอาร์มี – คริสตจักรแห่งการช่วยชีวิต)
[2] แม่พระ (精神上的妈妈) ถ้าแปลตามตัวอักษรจีนน่าจะหมายถึงแม่ทางจิตวิญญาณ
[3] น.ศ. (新历) ในที่นี้ “น.ศ.” ย่อมาจาก “นวศักราช” แปลว่า “ปีศักราชใหม่”
[4] จิน (斤) หน่วยวัดน้ำหนักของจีน เท่ากับ 500 กรัม
[5] อาหารกระป๋องทหาร (军用罐头) อาหารสำเร็จรูปบรรจุกระป๋องสำหรับทหาร หรือคณะเดินทาง